“วาจาอย่างหมาเห่าหอนเ้ายังเชื่อขี้ข้าตัวนี้อีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นมู่อวิ๋นจิ่นย่อมไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด นางยังมีพี่ชายคนนี้เป็หลักประกันความประพฤติของนาง ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะชมชอบคนประเภทนี้”
ใบหน้าของมู่อวิ๋นหานและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกมู่อี้หยางทั้งเขายังเรียกมู่อี้หยางว่าขี้ข้าต่อหน้าทุกคน
มู่อวิ๋นจิ่นกลั้นขำมองดูภาพเบื้องหน้าด้วยความสงสัย ตามหลักแล้วมู่อวิ๋นหานเป็บุตรชายคนโตของซูปี้ชิง เมื่อก่อนที่นางถูกกักบริเวณอยู่ในจวน น่าจะไม่เคยได้พูดคุยกับมู่อวิ๋นหานมาก่อน
ทำไมในคำพูดของมู่อวิ๋นหานนั้นดูปกป้องมู่อวิ๋นจิ่นในทุกทาง แม้แต่กับซูปี้ชิงและมู่หลิงจูเขากลับไม่แสดงความเมตตาใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อย
เมื่อเว่ยหานเฉียวได้ยินมู่อวิ๋นหานดุด่าว่าลูกชายของนางเช่นนั้นก็รู้สึกเกรี้ยวโกรธอยู่ในใจ ก่อนจะหันไปมองทางมู่อวิ๋นจิ่นและมู่อี้หยางผู้เป็ลูก แล้วร้องคร่ำครวญในทันทีเพราะเห็นมู่อี้หยางมีเืกบปาก
บุตรชายผู้โชคร้ายของนาง ปีนี้เกิดเื่อะไรขึ้นกับเขากัน
“มานี่ โยนสองคนนี้ออกไปนอกจวน ” มู่อวิ๋นหานขมวดคิ้วก่อนจะมองไปที่มู่อี้หยางและเว่ยหานเฉียว
หลังจากพูดเช่นนั้น ยามสองคนในชุดเกราะก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง ก่อนจะเข้ามาลากตัวมู่อี้หยางและเว่ยหานเฉียวออกไป
หลังจากที่มู่อี้หยางและเว่ยหานเฉียวถูกพาตัวไป มู่อวิ๋นหานหันไปทำความเคารพฉู่เย่พร้อมเอ่ยขึ้น “วันนี้ มีเื่น่าขายหน้าต่อองค์ชายสี่ มิทราบว่าองค์ชายสี่ที่มองดูมานานแล้ว เริ่มเข้าใจเื่นี้ขึ้นมาบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉู่เย่แสดงท่าทีใเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มและพยักหน้าให้มู่อวิ๋นจิ่นเบา ๆ
...
หลังจากที่ฉู่เย่จากไป เหลือเพียงตระกูลมู่เท่านั้นที่ห้องโถงด้านหน้า
“อวิ๋นหาน เ้าไม่ได้ติดตามแม่ทัพฉินที่เพิ่งไปตีเป่ยเยี่ยนมาหรือ? ทำไมเ้าถึงกลับมากะทันหันเล่า?” อัครเสนาบดีมู่พยายามยับยั้งอารมณ์ของตนและส่งสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักใคร่ไปยังมู่อวิ๋นหาน
มู่อวิ๋นหานพูดอย่างใจเย็น “ศึกที่เป่ยเยี่ยนใกล้จบลงแล้ว ครั้งนี้ข้ามาที่นี่เพื่อร่วมงานแต่งงานระหว่างอวิ๋นจิ่นกับองค์ชายหกโดยเฉพาะ”
“ทำไมเ้าไม่บอกล่วงหน้าว่าจะกลับมา แม่จะได้เตรียมการบางอย่างไว้ต้อนรับเ้า” ซูปี้ชิงยังมองลูกชายของนางด้วยความรัก
“ข้าเหนื่อยจากการเดินทาง ข้าจะพักผ่อนก่อน” มู่อวิ๋นหานเหลือบมองซูปี้ชิง แล้วเดินไปที่สวนด้านหลัง
มู่อวิ๋นหานเดินไปที่ด้านข้างของมู่อวิ๋นจิ่นก่อนจะหยุดฝีเท้า แล้วเอื้อมมือไปยกคอเสื้อด้านหลังของมู่อวิ๋นจิ่นเพื่อดึงนางออกจากห้องโถงด้านหน้า
พอเดินเข้าไปในสวนด้านหลัง มู่อวิ๋นหานรีบถอดหมวกลงมา และจ้องตำหนิมู่อวิ๋นจิ่น “ไม่ได้เื่เสียจริง ก่อนที่พี่จะออกเดินทางไปทำศึก ได้กำชับแล้วกำชับหนา ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายลงมา ยังมีพี่ชายคนนี้คอยหนุนหลัง เ้าจะคิดแทนคนอื่นไปไย?”
“เ้าทำให้พี่หน้าชาไปหมดแล้ว สตรีดีๆ ที่ไหนยอมให้แม่นมชราพวกนั้นมาตรวจร่างกายได้ตามอำเภอใจ ช่างไม่ห่วงชื่อเสียงของตนเองเสียเลย”
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากบาง นี่เป็ครั้งแรกที่นางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจะตอบโต้เมื่อถูกดุด้วยความเป็ห่วงเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเขินอาย “กว่าพี่จะกลับจวนสักครั้งหนึ่งมิใช่เื่ง่าย อย่ามาเสียเวลากับการตำหนิข้าเลย ไม่เหนื่อยบ้างหรือ เอาเป็ว่าท่านกลับไปพักผ่อนเสียดีกว่า”
มู่อวิ๋นหานรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และมองดูมู่อวิ๋นจิ่นอย่างใกล้ชิดก่อนจะกล่าวสรุปหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ถึงแม้เ้าจะดูอ่อนแอไร้ความสามารถ ทว่านิสัยส่วนลึกของเ้าทั้งเข้มแข็งและสดใสไม่ใช่น้อย”
มู่อวิ๋นจิ่นกระตุกมุมปากของนางและนิ่งเงียบ
หลังจากอำลามู่อวิ๋นจิ่นแล้ว จื่อเซียงซึ่งอยู่เคียงข้างมู่อวิ๋นจิ่นตลอดเวลาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกก่อนพูดว่า “เยี่ยมมาก โชคดีที่นายน้อยกลับมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จะจบลงอย่างไรเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ในดวงตาแฝงด้วยความอันตรายที่ซ่อนไว้เื้ั “ต้องชื่นชมคนพวกนั้นที่สามารถคิดกลอุบายชั้นต่ำแบบนี้ได้ ในเมื่อพวกเขาไม่มีเมตตากรุณาแก่ข้า ก็อย่าตำหนิข้าว่าเป็คนใจดำอำมหิตก็แล้วกัน”
มู่อวิ๋นจิ่นคำนวณดูแล้ว ฉู่เย่คงเดินไปหามู่หลิงจู ตามด้วยมู่อี้หยางและเว่ยหานเฉียวพร้อมกันที่ประตู จากนั้นมู่อี้หยางเอ่ยอย่างไม่คิด มู่หลิงจูกับฉู่เย่ต่างก็กลับมาพอดี เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคงมิใช่เื่บังเอิญกระมัง?
“คุณหนู งานแต่งงานกำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นอย่าเร่งร้อนกระทำการอันใดเลยเ้าค่ะ หากมีเื่ไม่สบายใจนายน้อยมู่อวิ๋นหานจะคอยปกป้องคุณหนูเองนะเ้าคะ”จื่อเซียงปลอบโยนนาง
“ข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายของข้าหรือไม่” มู่อวิ๋นจิ่นถามด้วยความสงสัย
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ มู่อวิ๋หานเป็ลูกชายคนโตในจวนเสนาบดีแห่งนี้ คำพูดและการกระทำของเขามีความสำคัญมาก ถ้ามู่อวิ๋นหานมีความสัมพันธ์อันดีต่อนางจริง ทำไมนางถึงยังถูกคุมขังให้อยู่แต่ในเรือนมวลบุปผาเล่า
“คุณชายใหญ่ดีกับคุณหนูมาแต่ไหนแต่ไร แต่ว่านิสัยของคุณหนูที่ดูขลาดกลัวต่างจากในตอนนี้ จนบ่อยครั้งท่าทีเช่นนี้ทำให้ไม่เป็ที่ถูกใจของคุณชายใหญ่เท่าไหร่นัก” จื่อเซียงกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย
ในสมองมีเื่ราวมากมายพรั่งพรูขึ้นมา หรือว่าคู่รักของนางจะไม่ใช่มู่อี้หยาง แต่กลับเป็มู่อวิ๋นหานงั้นหรือ
ตาย ตาย ตาย! คิดเื่บ้าบออะไรเนี่ย!
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นและมู่อวิ๋นหานออกจากสวนด้านหลัง ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูก็ออกมาจากห้องโถงด้านหน้า
“พี่ชายใหญ่กลับมาครั้งนี้ถือเป็เื่บังเอิญมาก มิอย่างนั้นหากปล่อยให้เื่ดำเนินต่อไป แม่นมพวกนั้นอาจถูกซื้อตัวไปเป็พวก ย่อมทำให้เื่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของมู่อวิ๋นจิ่นมีความด่างพร้อย” มู่หลิงจูแอบพึมพำด้วยมิอยากให้เื่ราวลงเอยเช่นนี้เลย
ซูปี้ชิงถอนหายใจเล็กน้อย ภายในแววตาแสดงออกถึงความไม่พอใจ “ไม่รู้ว่านางคนชั่วมู่อวิ๋นจิ่นมีของดีอะไรกัน ถึงได้โชคดีทุกครั้งไป”
“แต่ตอนนี้ข้าได้สั่งให้คนกระจายข่าวลือเกี่ยวกับมู่อวิ๋นจิ่นและมู่อี้หยาง ในทุกมุมของเมืองเตี๋ยฮวา ข้าเชื่อว่ามันจะแพร่กระจายเข้าไปในพระราชวังในไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะเป็ผู้บริสุทธิ์ แต่หากมีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับนางก็อาจจะทำให้ราชวงศ์ทนไม่ไหว”
มู่หลิงจูพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความสุข “คราวนี้ ต้องข้ากดนางลงได้แน่!”
...
หลังจากที่สองแม่ลูกออกจากสวนหลังบ้าน ร่างของมู่อวิ๋นจิ่นก็หายไปจากพุ่มไม้ข้างๆ เมื่อมองไปยังแผ่นหลังของคนสองคนที่ค่อย ๆ ห่างออกไป ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์และดูถูกดูแคลน
มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือไปแตะแส้หางหงส์ที่ข้อมือก่อนจะเผยยิ้มจาง ๆ พลางพึมพำว่า “หากมีทางใน์ เ้าอย่าไป และถ้าไม่มีทางในโลกนี้ เ้าก็อย่าอยู่เลย!”
...
วันต่อมา ในเมืองเตี๋ยฮวา ข่าวลือก็ได้แพร่สะพัด
ทุกตรอกซอกซอยล้วนกำลังพูดถึงสิ่งที่เป็ความลับที่สุดในจวนสกุลมู่
“ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูสามสกุลมู่เป็จิ้งจอกเ้าเล่ห์ นางกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายหกแท้ๆแต่นางก็มีความสัมพันธ์กับพี่ชายคนที่สองของนางด้วย”
“ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ แล้วข้ายังรู้มาว่าอัครเสนาบดีมู่ถึงกับล้มป่วยด้วยเมื่อวานนี้”
“นางคุณหนูสามสกุลมู่ใกล้จะถึงวันแต่งงานกับองค์ชายหกเข้าไปทุกวันแล้ว คราวนี้แหละองค์ชายหกไม่มีวันแต่งกับนางสารเลวนั่นอย่างแน่นอน สมน้ำหน้า!!!”
มู่อวิ๋นจิ่นสวมชุดเรียบ ๆ คลุมผ้าคลุมเดินกอดอกไปตามถนน และตามตรอกซอกซอยจนสุดทาง นางได้ยินผู้คนต่างก็พูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไปต่าง ๆ นานา
และตัวนางเองนี่แหละที่เป็ตัวเอกของเื่
ในขณะนี้มู่หลิงจูกำลังถือพัดเดินเตร็ดเตร่ไปมาในตลาดอย่างสบายใจเฉิบ โดยไม่รู้ตัวเลยว่านางถูกมู่อวิ๋นจิ่นติดตามมาตลอดทาง
เมื่อฟังข่าวลือที่แพร่สะพัดบนท้องถนน ใบหน้าของมู่หลิงจูก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นไม่นานมู่หลิงจูและหงเซียเข้าไปในโรงน้ำชา มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มและพูดกับจื่อเซียงที่ติดตามนางมาด้วยว่า “ตามแผน!”
“เ้าค่ะคุณหนู” หลังจากตอบรับมู่อวิ๋นจิ่นแล้ว จื่อเซียงก็วิ่งออกไป
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปที่ประตูโรงน้ำชา ย่องเข้าไปในครัวด้านหลังของโรงน้ำชาอย่างเงียบ ๆจากนั้นนางจึงตีหัวคนทำอาหารไปหนึ่งที ก่อนเปลี่ยนเป็ชุดของแม่ครัวและแสร้งทำเป็ชงชา
“ห้องที่สี่สั่งชาผูเอ๋อร์หนึ่งกา ขนมกุ้ยฮวา และขนมหมาถีเกาอย่างละหนึ่งจาน” เสียงด้านนอกะโสั่งเข้ามา
“ตกลงเ้าค่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเบา ๆ นางคว้าใบชาหนึ่งกำมือเทลงในกาน้ำชา และหยิบถุงกระดาษขนาดเล็กออกมา ก่อนจะเทผงสีขาวลงไปในกาน้ำชา
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเหล่านี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็หันหลังกลับและจากไป
หลังจากออกจากครัวด้านหลัง มู่อวิ๋นจิ่นเห็นร่างเดินกะโผลกกะเผลกเดินไปที่ร้านอาหารจากระยะไกล เมื่อเห็นว่าจื่อเซียงทำเื่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้น มู่อวิ๋นจิ่นก็ยิ้มและเดินไปที่ทางเข้าหลักของร้านอาหาร
...
ในห้องส่วนตัวหมายเลขสี่ของโรงน้ำชา มู่หลิงจูกำลังดื่มชาอยู่ แม้ว่าวันนี้นางจะรู้สึกว่ารสชาติของชาผูเอ๋อร์ไม่ค่อยดีนัก แต่วันนี้นางอารมณ์ดีเป็พิเศษจึงดื่มไปสองสามถ้วยในรวดเดียว
“หงเซีย เ้าไปที่จวนเยี่ยนกับจวนเวิน ไปเชิญเหยียนหลิงฉานและเวินหรูฮั่นมา โดยบอกว่าข้าขอเชิญมาดื่มชาที่นี่” มู่หลิงจูสั่งหงเซีย
หงเซียพยักหน้าและยกยิ้มขึ้น “เ้าค่ะบ่าวคนนี้จะไปทันที”
หลังจากที่หงเซียออกไป มู่หลิงจูก็ดื่มชาอีกสองสามจิบ นางค่อย ๆ รู้สึกว่าห้องร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ไหลออกมาจากหน้าผากของนาง นางคิดว่าเป็เพราะอากาศร้อน ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะดื่มชาเพิ่มอีกสองสามจิบ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!” ประตูห้องส่วนตัวถูกเคาะอย่างแรง
เมื่อคิดว่าหงเซียมาพร้อมกับเหยียนหลิงฉานและคนอื่น ๆ มู่หลิงจูก็พูดทันทีว่า “เข้ามา!”
เสียงที่ออกมาจากปากของนางฟังดูเย้ายวน และมีเสน่ห์จนนางไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกและร่างที่เดินเซไปมาของมู่อี้หยางก็เข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็มู่อี้หยาง มู่หลิงจูก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “พี่รอง ทำไมถึงเป็...”
เมื่อมู่อี้หยางเห็นว่ามู่หลิงจูนั่งอยู่ข้างใน เขาก็รู้สึกว่าตนถูกหลอกอีกครั้ง จากนั้นอี้หยางจึงเดินไปที่โต๊ะด้วยความโกรธและรินชาให้ตัวเอง
“ให้ตายสิ เ้าไม่ได้บอกว่ายายตัวแสบมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ที่นี่หรือ? ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อสะสางบัญชีกับนาง! แล้วท่านมาที่นี่ทำไม”
มู่หลิงจูปิดปากและยิ้ม ตอนนี้แก้มของนางซับแดงระเรื่อแล้ว “ที่นี่ไม่มีอะไรที่เหมือนมู่อวิ๋นจิ่นสักหน่อย และข้าก็อยู่ที่นี่มาตลอด”
ตอนที่มู่หลิงจูพูด นางรู้สึกว่าดวงตาของตนพร่ามัวและร่างกายก็ยิ่งรุ่มร้อน ก่อนที่นางจะรู้ตัวนางก็ปลดกระดุมเสื้อของตนออกมาแล้ว
มู่อี้หยางมองดูเหตุการณ์ด้วยคิดว่ามู่หลิงจูเสียสติขึ้นมาแล้ว เดิมทีมู่อี้หยางจะเตรียมตัวออกจากที่นี่ ทว่าท้องกลับร้อนวูบขึ้นมา
“องค์ชายหก หรือเพคะ” จู่ ๆ มู่หลิงจูก็พูดขึ้น นางมองมู่อี้หยางด้วยดวงตาที่พร่ามัว ก่อนจะร้องออกมาด้วยความดีใจ
มู่อี้หยางมองไปที่มู่หลิงจู่ที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา และกลืนน้ำลาย “น้องสี่ น้องสี่ เ้าจำคนผิดแล้ว...”
ความร้อนในอกที่อธิบายไม่ได้กำลังค่อยๆ บั่นทอนความอดทนของทั้งคู่ จนท้ายที่สุดมู่อี้หยางได้ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกโดยไม่รู้ตัว และโผเข้ากอดมู่หลิงจูไว้เสียแแ่
พวกเขาสองคนถูกวางยาปลุกกำหนัดไปแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่มีสติพอที่จะรับรู้ว่าคนตรงหน้าของตนเองนั้นเป็ใคร
“องค์ชายหกเ้าคะ หลิงจูจริงใจต่อท่าน และหวังว่าหลิงจูจะไม่สูญเสียท่านไป” มู่หลิงจูพิงแขนของมู่อี้หยาง มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย
“ได้สิหลิงจู ข้าจะมิทำให้เ้าต้องผิดหวัง! ข้าเคยลั่นวาจาไปแล้ว ในที่นี้เ้างดงามที่สุด”
ในระหว่างที่คนทั้งสองกำลังพลอดรักกันได้ที่ ประตูห้องกลับถูกคนผลักออก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องตื่นตระหนกจากด้านนอก
“ว๊าย!!!”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”