“ไท่ไท่ท่านนี้ ไม่ทราบว่าจะเลือกซื้อสิ่งใดดีขอรับ?” พนักงานคนหนึ่งเข้ามาถามหลินหวั่นชิว เห็นนางจ้องดอกไม้ลูกปัดที่วางแสดงก็พูดว่า “นี่เป็ดอกไม้ลูกปัดที่เพิ่งมาใหม่ของร้านเรา ขายถูกกว่าร้านจวี้ฝูหนึ่งร้อยอีแปะ”
ขายถูกกว่าร้านจวี้ฝูหนึ่งร้อยอีแปะ แต่ได้กำไรเท่ากัน
เพราะพวกเขารับซื้อถูกกว่าร้านจวี้ฝูหนึ่งร้อยอีแปะ
หลินหวั่นชิวไม่ได้อยากรู้ว่าเฉียวว่านชิงรู้ราคารับซื้อของร้านเฟิ่งไหลได้อย่างไร นางรู้ผลลัพธ์ก็พอ
“ข้ามีดอกไม้ลูกปัดแบบนี้แล้ว วันนี้ยังไม่ซื้อก่อน แต่อีกไม่กี่วันน้องสาวข้าจะมาเที่ยวเล่นในอำเภอ ไม่ทราบว่าถึงตอนนั้นพวกเ้าจะยังมีสินค้าหรือไม่”
พนักงานตอบว่า “เช่นนั้นท่านคงต้องเสี่ยงดวงแล้วขอรับ หากบังเอิญขายหมดคงทำกระไรไม่ได้ แต่ท่านวางใจได้ แม้จะสินค้าจะหมดแต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานก็มีมาเติม”
หลินหวั่นชิวยิ้มเยาะในใจ คิดในใจว่าจ้าวหงฮวาคงคิดจะมาขอวัสดุเพิ่มจากตัวเองอีก
“ข้าอยากซื้อต่างหูเงินสองสามคู่กับปิ่นปักผมทองสองสามอัน ลวดลายต้องสวย ใช้ช่างฝีมือเก่า” หลินหวั่นชิวบอกพนักงาน เครื่องประดับเงินแท้ทองแท้ที่ทำโดยช่างฝีมือเก่าขายดีบนเสียนอวี๋มาก นำไปขายแล้วถูกระบุว่าเป็วัตถุโบราณ ราคาน่าพึงพอใจมากเช่นกัน
พนักงานได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง โค้งตัวผายมือเชิญหลินหวั่นชิว “เชิญมากับข้าขอรับ ต่างหูเงินอยู่ทางนี้ เชิญท่านเลือกเครื่องประดับเงินไปก่อน เสร็จแล้วข้าน้อยจะพาไปเลือกเครื่องประดับทองขอรับ”
ต่างหูที่จะให้เป็ของขวัญ นางเลือกเป็ต่างหูแบบก้านกับต่างหูแบบวงเรียบๆ
จากนั้นหลินหวั่นชิวเหลือบไปเห็นกำไลเงิน มีแบบเส้นบาง แบบแกะสลัก แบบเกลียว…ทุกชิ้นสวยหมด ฝีมือประณีตกว่าร้านจวี้ฝูเช่นกัน
ต่อด้วยปิ่นปักผมเงิน…
ปิ่นหยก…
ไม่นาน หลินหวั่นชิวก็เลือกสินค้าออกมาเต็มถาด
“เ้าช่วยคิดราคาของพวกนี้ให้ก่อน ข้ากลัวนำเงินมาไม่พอ” นางแค่พูดไปอย่างนั้น ช่องเก็บของในเสียนอวี๋มีตั๋วเงินเป็บึก!
สตรีเราก็เช่นนี้…การได้เลือกซื้อของช่างเป็กระไรที่น่าอภิรมย์เสียจริง
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มจนปากเบี้ยวแล้ว “เชิญท่านรอประเดี๋ยว” เขานำลูกคิดออกมาคำนวณ เพียงครู่เดียวก็คิดเสร็จ “ทั้งหมดยี่สิบสองตำลึงกับสามเฉียนขอรับ ท่านซื้อเยอะ ข้าขอไปถามเถ้าแก่ให้ก่อนว่าข้าลดราคาให้ได้หรือไม่”
“ได้ ขอบคุณเ้ามาก พาข้าไปเลือกเครื่องประดับทองก่อนก็ได้ ถึงเวลาจะได้คิดทีเดียว”
“ได้เลยขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ถือถาดพาหลินหวั่นชิวไปที่ตู้วางเครื่องประดับทอง
จุดที่ขายเครื่องประดับทองมีลูกค้าน้อยกว่าเครื่องประดับเงินมาก ที่นี่มีลูกค้าแค่สองสามคน ตอนหลินหวั่นชิวเข้าไปมีลูกค้ากลับออกมาสองคน อีกคนที่เหลือจ่ายเงินแล้วก็ไปเช่นกัน
หลินหวั่นชิวรอให้พนักงานยกถาดออกมาให้เลือก
นางเลือกต่างหูที่ฝีมือประณีตออกมาสองสามคู่ แม้ลวดลายจะแก่ไปบ้างแต่มีเครื่องหมายของความเป็สิริมงคล วัตถุโบราณก็เช่นนี้ ยิ่งลวดลายแก่ยิ่งโบราณ
อืม นางเข้าใจวัตถุโบราณเช่นนี้
จากนั้นใช้จังหวะเดียวกับตอนเลือกเครื่องประดับเงิน ทั้งกำไลทั้งปิ่นปักผม ขอแค่สวยก็เอาหมด
“มีมงกุฎหงส์สำหรับงานแต่งหรือไม่?” หลินหวั่นชิวเลือกของเสร็จก็ถาม
เมื่อคืนนางเห็นประกาศรับซื้อบนเสียนอวี๋ อีกฝ่ายยินดีรับซื้อมงกุฎหงส์ที่คนโบราณใช้แต่งงาน ขอเพียงเป็ของแท้และราคาสมเหตุสมผล เช่นนั้นจะยอมจ่ายราคาให้มากกว่าที่เสียนอวี๋ประเมินห้าสิบเปอร์เซ็นต์
ให้ตาย
เศรษฐีอวดรวย!
แต่นางรักเศรษฐีอวดรวย!
“มีขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงท้ายทอยแล้ว
มงกุฎหงส์เชียวนะ…วันนี้เขาเจอลูกค้ารายใหญ่เสียแล้ว หากซื้อขายสำเร็จ เขาจะได้ค่านายหน้าเท่าไร…
แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
“เชิญด้านในขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์รีบเชิญหลินหวั่นชิวเข้าห้องแขกพิเศษ ลูกค้ารายใหญ่ก็แบบนี้ ปฏิบัติไม่เหมือนกัน
เขาวางเครื่องประดับสองถาดที่หลินหวั่นชิวเลือกเสร็จแล้วไว้บนโต๊ะ ให้สาวใช้ในห้องแขกพิเศษไปแจ้งว่ามีลูกค้าอยากเลือกมงกุฎหงส์
ผ่านไปสักพักก็มีพนักงานเดินเรียงกันเข้ามา ทุกคนถือกล่องไม้จันทร์ ยืนเรียงตรงหน้าหลินหวั่นชิวและเปิดกล่องออกตามลำดับ นำมงกุฎหงส์ด้านในออกมาวางบนผ้ากำมะหยี่บนแท่นจัดแสดงอย่างระมัดระวัง
ทุกชิ้นทำจากทองคำ
มีสองชิ้นที่ค่อนข้างเรียบง่าย ใช้ทองคำไม่มาก
ที่เหลือหรูหราอลังการหมด ไม่เพียงทำจากทองคำบริสุทธิ์ แต่ยังเลี่ยมฝังอัญมณีหลายชิ้น
ที่สำคัญคือฝีมือประณีตละเอียดมาก มีมงกุฎหงส์อัญมณีชิ้นหนึ่งทำเป็ลายหงส์กางปีก รอบๆ มีมวลบุปผาล้อมรอบ ใต้มวลบุปผาเป็พู่ระย้าทองคำ…จินตนาการถึงตอนส่ายไปมาตามจังหวะก้าวเดินได้เลยว่าจะงดงามเพียงใด ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังพู่ระย้าต้องเขินอายเพียงใด
หลินหวั่นชิวถูกใจมงกุฎหงส์ชิ้นนี้ทันที
เศรษฐีอวดรวยอยากได้ความหรูหรา มงกุฎหงส์ชิ้นนี้น่าจะตรงกับความ้าของเขา
อีกอย่าง ต่อให้เศรษฐีอวดรวยไม่ซื้อ นำไปขายในเสียนอวี๋ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้
“ชิ้นนี้เท่าไร?” หลินหวั่นชิวชี้มงกุฎหงส์แล้วถาม
“ชิ้นนี้หนึ่งพันสามร้อยสี่สิบตำลึงขอรับ ไท่ไท่ มงกุฎหงส์ชิ้นนี้ใช้อัญมณีมากที่สุด เป็ผลงานที่ช่างฝีมือเก่าแก่ของร้านเราใช้เวลาสร้างถึงหนึ่งปีเต็มๆ แต่สองชิ้นนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน ชิ้นนี้สองร้อยแปดสิบตำลึง ชิ้นนี้สามร้อยห้าสิบหกตำลึง…”
ไม่ใช่ว่าพนักงานดูถูกหลินหวั่นชิว แต่นางแต่งกายธรรมดาเรียบง่ายมาก ที่สำคัญคือก่อนหน้านี้บอกว่ากลัวนำเงินมาไม่พอ…
เขามองว่าหลินหวั่นชิวน่าจะเป็ไท่ไท่ของครอบครัวร่ำรวยเล็กๆ ที่เลือกของเยอะขนาดนี้คงซื้อเป็สินเดิมให้น้องสาวบ้านสามี
แต่นางกลับเลือกมงกุฎหงส์ที่แพงที่สุด เื่นี้ทำให้พนักงานลำบากใจ กลัวนางซื้อไม่ไหวแล้วโกรธ ยกเลิกของที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้หมด
“เอาชิ้นนี้แหละ! ให้เถ้าแก่พวกเ้ารวมราคามา บอกให้ช่วยลดราคาให้ข้าด้วย”
พนักงาน “…”
กระไรนะ
นางจะซื้อ?
พนักงานไม่กล้าชักช้า รีบวิ่งไปหาเถ้าแก่
เถ้าแก่ออกมารับหลินหวั่นชิวด้วยตัวเอง “ทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง ให้ราคาท่านเป็เลขกลมๆ ทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยตำลึงขอรับ”
นอกจากมงกุฎหงส์ เครื่องประดับอย่างอื่นที่หลินหวั่นชิวเลือกก็เป็ราคาหลายร้อยตำลึงไปแล้ว
“ได้! เถ้าแก่เป็คนสบายๆ ข้าเองก็สบายๆ เช่นกัน” หลินหวั่นชิวหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ(ความจริงคือหยิบจากช่องเก็บของในเสียนอวี๋) นับออกมาสิบหกใบ เหลือในมือสองใบ
นางมอบตั๋วเงินให้เถ้าแก่แล้วเก็บตั๋วเงินที่เหลือ
พนักงานที่อยู่ด้านข้างมองหลินหวั่นชิวตาปริบๆ…
พี่สาว ทั้งที่ท่านพกเงินมาเยอะขนาดนี้ เหตุใดตอนเลือกซื้อของแค่ยี่สิบกว่าตำลึงถึงต้องบอกว่ากลัวเงินไม่พอเล่า…
ฮือฮือฮือ เศรษฐีอวดรวยที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นไม่ใช่เศรษฐีอวดรวยที่ดี!