หลังจากที่หลินเยว่กล่าวขอบคุณและเตรียมเดินออกมาจากสถานที่แห่งนี้นั้นคนเบื้องหน้าของเขาก็ได้พูดย้ำขึ้นอีกครั้ง “ที่นี่ไม่มีเครื่องลายครามลายดอกไม้ในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อแห่งราชวงศ์ิหรอกนะคุณลองไปหาจากที่อื่นดูก็แล้วกัน”
สีหน้าท่าทางของคนเบื้องหน้าทำให้หลินเยว่อดข้องใจไม่ได้ทำไมคนผู้นี้ถึงได้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขนาดนี้ล่ะ?
แล้วทำไมยังต้องพูดซ้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วย?
หลินเยว่บอกลาอีกฝ่ายและเดินจากมาพร้อมพกความสงสัยนี้ติดตัวมาด้วยหลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปทางที่เขาเดินเข้ามา
คนที่หลินเยว่ถามเป็ชายชราอายุห้าสิบกว่าๆ เขามองเื้ัของหลินเยว่พร้อมถอนหายใจและพูดขึ้น“ผมเห็นว่าคุณเป็คนมีมารยาทถึงได้บอกความจริงกับคุณ มันมีเครื่องลายครามลายดอกไม้ในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อแห่งราชวงศ์ิเสียที่ไหนล่ะทั้งหมดนี้ล้วนเป็เื่โกหก เป็เื่หลอกลวงทั้งนั้น”
ขณะที่พูดสายตาของชายชราก็สะท้อนถึงความพอใจและความตื่นเต้น
แต่ทว่าหลินเยว่กลับไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของชายชราในตอนนี้เลย
หลินเยว่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าๆในการเดินทางกลับ แต่เขาก็ต้องยอมรับกับตัวเองอย่างอ่อนใจอีกครั้ง... เพราะเขาหลงทางอีกแล้ว
ตรอกเล็กๆ แต่ละแห่งของที่นี่มันเหมือนกันราวกับหลุดออกมาจากบล็อกพิมพ์เดียวกันเขาแยกความแตกต่างไม่ได้เลย เขาจึงเลือกเดินไปตามความรู้สึก เลี้ยวซ้ายทีขวาทีจนมึนงงไปหมดยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกไม่คุ้นเคยเขารู้สึกแม้กระทั่งเขาอาจจะไม่สามารถเดินออกไปจากที่นี่ได้ด้วยตนเอง
และ 40 กว่านาทีหลังจากนั้นหลินเยว่จึงใช้วิธีที่โง่ที่สุดก็คือเขาพยายามเดินไปตามเส้นทางเดียวตลอดทางเขาไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะหลุดออกไปจากที่นี่ไม่ได้!
แต่ทว่าหลังจาก 40 กว่านาทีนี้ผ่านไป หลินเยว่ก็ต้องเชื่อแล้วจริงๆ...เขาต้องเชื่อว่าตนเองคงไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้ว
ตรอกเล็กๆ แห่งนี้จะเป็เส้นทางที่เฉียง และก็จะมุ่งเข้าสู่จุดเดียวกัน
สุดท้าย หลินเยว่จึงได้แต่นั่งยองๆ บนก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเขามองท้องฟ้าอย่างไร้คำพูด...
ทำไมเขาถึงเป็มนุษย์จอมหลงทางล่ะ?
เพราะอะไร???
หลินเยว่ได้แต่พูดเย้ยตัวเอง ั้แ่เด็กเขาต้องลำบากเพราะการหลงทางมาไม่รู้ตั้งเท่าไรตอนที่เรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ตัวเขาแทบไม่อยากเดินออกไปนอกมหาวิทยาลัยเกิน 500เมตรเลยมิฉะนั้นแล้วเขาจะกลับมาไม่ถูก หากต้องเดินทางออกไปไกลๆแล้วมองไม่เห็นบริเวณมหาวิทยาลัย เขาก็แทบไม่กล้าก้าวออกไปเพราะหากไม่รู้ทิศทางก็อาจจะหลงทางได้เลย
การเป็มนุษย์จอมหลงทางมันช่างน่าเบื่อจริงๆ!
หลินเยว่ได้แต่ด่าตัวเองแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้งเขาต้องหาสถานที่สักแห่งแล้วขอน้ำดื่มสักหน่อย หลังจากนั้นเขาก็ต้องถามเส้นทางจากคนอื่นดู
ต่อไปเขาต้องห้ามอวดเก่งแล้วล่ะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็มนุษย์จอมหลงทางแต่ทำไมยังคิดว่าตัวเองจะสามารถเดินออกไปจากที่นี่ได้ด้วยตนเองอีกล่ะ!
หลินเยว่พูดเตือนสติตัวเองอยู่ในใจหลังจากนั้นจึงเคาะประตูบ้านที่ทาด้วยสีดำหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดแล้ว
เพียงไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก เป็เด็กน้อยที่อายุประมาณ12 - 13 ปีเท่านั้น
“สวัสดีครับ ผมขอน้ำดื่มจากบ้านของคุณหน่อยได้ไหม?”
ยุคสมัยนี้ ถึงจะเป็เด็ก แต่พวกเขาก็รู้จักระวังตัวสูงมากหลินเยว่จึงทำสีหน้าอ่อนโยนมีอัธยาศัยดี เพราะเขาหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ปฏิเสธให้เขาเข้ามาภายในบ้าน
แต่ทว่าเพียงไม่นานหลินเยว่ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ดูไม่เหมือนที่อื่นๆเขาไม่เห็นการกระทำที่ดูระแวดระวังตัวจากเด็กน้อย และเด็กคนนี้ดูเป็คนเ็ามากกว่าเสียอีก
เป็ความเ็าถือตัวของคนที่รู้สึกว่าตนเองเก่งตนเองแน่
มีเพียงเด็กอัจฉริยะที่ไม่เป็รองใครเท่านั้นถึงจะมีสายตาเช่นนี้
ดูถูกใต้หล้า... จิตใจไม่สั่นคลอน...
หลินเยว่อึ้งไปชั่วขณะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือว่าเด็กน้อยเบื้องหน้าจะเป็เด็กอัจฉริยะทางด้านใดด้านหนึ่งหรือเปล่า?
หลินเยว่ยังไม่ทันคิดให้รอบด้าน เด็กน้อยก็เปิดทางให้กับเขาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น “เชิญเข้ามา”
ขณะที่พูด เขาก็ไม่ได้สนใจหลินเยว่เลย แต่กลับเดินเข้าไปในเขตสวนของบ้านตัวเอง
หลินเยว่เคยเจอคนอัจฉริยะที่ถือดีเพราะคิดว่าตนเองมีความสามารถเหนือคนอื่นถึงแม้ว่าเขาจะเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมดาเท่านั้น แต่ที่นั่นก็มีคนอัจฉริยะเช่นกันเพื่อนที่นอนร่วมหอพักเดียวกันกับเขาเป็อัจฉริยะในการเรียนด้านหนึ่งพฤติกรรมของเขาถึงไม่ได้ดูถือดีเหมือนกับเด็กน้อยผู้นี้แต่ทว่าก็ไม่ได้แตกต่างไปสักเท่าไร
หลินเยว่จึงเดินตามเข้าไปในสวนอย่างไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไรบริเวณสวนปูด้วยอิฐดำ ตรงกลางมีอ่างขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่ ในอ่างบรรจุน้ำไว้จนเต็มแต่เมื่อเขาเดินไปที่ชายคาบ้านแล้วมองเข้าไปยังด้านใน เขาก็ถึงกับตกตะลึง
ภายใต้หลังคานั้นมีการวางอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับการผลิตเครื่องเคลือบอยู่เต็มไปหมดมีแม่พิมพ์แบบต่างๆ มากมาย และยังมีดินเกาลิน หินพอร์ซเลนที่ผ่านการบดละเอียดและทำความสะอาดแล้วและดินเหนียวที่ผ่านการกรองและการนวดที่พร้อมจะนำไปปั้นเป็ชิ้นงาน นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือที่จำเป็ในการผลิตเครื่องเคลือบตามขั้นตอนต่างๆ เช่น ชุบแม่พิมพ์วงแหวนกลึงแม่พิมพ์ ทำความสะอาดวัตถุดิบ ขึ้นรูป พิมพ์รูป เป็ต้นหากมีเตาเผาเครื่องเคลือบตั้งอยู่ด้วยแล้ว ที่นี่ก็ถือว่าเป็โรงงานผลิตเครื่องเคลือบขนาดย่อมได้เลยทีเดียว
ที่นี่เป็สถานที่เอาไว้ทำอะไรกันแน่?
สีหน้าของหลินเยว่มีแต่ความตกตะลึงเขาแอบคิดอยู่ในใจ“หรือว่าเขาได้เดินมายังแหล่งผลิตเครื่องเคลือบของจิ่งเต๋อเจิ้นอย่างนั้นหรือ?”
และเวลานี้เอง เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นรอยดินเหนียวบนตัวของเด็กน้อยเขาจึงนิ่งไปชั่วครู่
หรือว่าเด็กน้อยเบื้องหน้านี้เมื่อสักครู่กำลังปั้นชิ้นงาน?
ราวกับว่าเป็การพิสูจน์ความคิดของหลินเยว่ เด็กน้อยได้เดินไปหยุดตรงด้านข้างดินเหนียวที่ถูกปั้นขึ้นเรียบร้อยแล้วเขาหยิบเครื่องมือขึ้นมาทำการตัดดินเหนียว หลังจากนั้นจึงปั้นดินเหนียวขึ้นเป็รูปทรงเสา
หลินเยว่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เพื่อที่จะสะดวกในการดึงขึ้นเป็รูปในขั้นตอนต่อไป
เมื่อมองเห็นถึงความชำนาญในการปั้นของอีกฝ่ายแล้วหลินเยว่ก็ถึงกับตกตะลึง
ช่างชำนาญจริงๆ!
และเวลานี้เองที่หลินเยว่สังเกตเห็นถึงสายตาของเด็กน้อยผู้นี้เขากำลังจดจ่อเป็อย่างมาก ราวกับว่าสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้ก็ไม่อาจทำลายสมาธิของเขาได้เลยท่าทีเอาจริงเอาจังของอีกฝ่ายทำให้หลินเยว่รู้สึกว่าตนเองสู้เด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้เลย
นี่เป็สายตาที่จดจ่อกับสิ่งที่ตนเองหลงใหลที่สุดอย่างแท้จริง
ณ เวลานี้ สายตาของเด็กน้อยเหลือเพียงดินเหนียวในมือของเขาเพียงอย่างเดียว
ถึงแม้ว่าหลินเยว่จะกระหายน้ำจนเริ่มรู้สึกทรมานแต่ทว่าเขาพยายามลบความคิดที่จะขัดจังหวะเด็กน้อยผู้นี้ เขามองการกระทำของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆทุกอากัปกิริยาของเด็กน้อยเป็ความกลมกลืนเป็ธรรมชาติ ราวกับก้อนเมฆล่องลอยราวกับสายน้ำไหลผ่าน ไม่มีความลังเลหรือติดขัดเลยสักนิด
สีหน้าและการกระทำของเด็กน้อยทำให้หลินเยว่จิตใจเบาสบายเด็กน้อยเบื้องหน้านี้ทำให้การปั้นดินเหนียวที่แสนน่าเบื่อเกิดเป็ศิลปะที่สวยงามน่าดึงดูดการมองทุกการกระทำของอีกฝ่ายล้วนเป็การเสพงานศิลป์อย่างหนึ่ง
และการกระทำที่เต็มไปด้วยความชำนาญของเด็กน้อยก็ทำให้หลินเยว่เกิดความสงบเงียบในจิตใจ
จิตสงบนิ่ง!
สมองของหลินเยว่พลันเกิดคำคำนี้ลอยขึ้นมา
มีเพียงการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่สนใจสิ่งอื่นเท่านั้นถึงจะได้ผลเช่นนี้แล้วยังสามารถสร้างความรู้สึกเช่นนี้ให้กับคนอื่นได้อีกด้วย
และแล้ว...หลินเยว่พลันรู้สึกราวกับหาวิธีการปลดปล่อยจิตใจของตนเองได้แล้ว ในใจเกิดเป็ความว่างเปล่า จิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กราวกับบ่อน้ำแห้งไร้คลื่นพลันปรากฏขึ้น
ในใจของหลินเยว่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขากำลังัักับความรู้สึกนี้อย่างเงียบๆ เขารู้สึกราวกับว่าตัวเขากับเด็กน้อยเบื้องหน้าผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างมันเป็ความสงบที่ไม่สามารถบรรยายได้ ราวกับว่าบ้านหลังนี้และโลกใบหนี้ได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียว
ดูเหมือนว่า... พลังลมปราณระหว่างพวกเขาทั้งสองคนถูกหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวพลังนี้ต่างผลักดันให้พวกเขาเข้าสู่ความสงบนิ่งระดับสูง
เขาสงบ ผมสงบ
เขาสงบยิ่งขึ้น ผมสงบยิ่งขึ้น
และเวลานี้เอง การอยู่ในสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กของหลินเยว่กลับไม่มีการสูญเสียพลังใดๆออกไปเลย สมองของเขาไม่มีความรู้สึกเ็ปเหมือนแต่ก่อนและที่น่ามหัศจรรย์ก็คือความคิดของเขายิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆสมองของเขาสดใสชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนทางด้านเด็กน้อย การกระทำของเขามีความรวดเร็วยิ่งขึ้นราวกับว่าเขาไม่สามารถควบคุมได้แต่ก็เหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา
เด็กน้อยนำดินเหนียวที่ปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้บนแป้นหมุนขนาดใหญ่และก็เริ่มเปิดสวิตช์ให้แป้นหมุนทำงานทำให้ดินเหนียวได้หมุนตามความเร็วที่แป้นหมุนหมุนวนอยู่ หลังจากนั้นเด็กน้อยจึงหยิบอุปกรณ์สำหรับขึ้นรูปชิ้นงาน
เป็ความเร็วที่ไร้ขีดจำกัด ชิ้นงานมีความสวยงามไร้ที่ติไม่ว่าจะเป็สัดส่วนหรือว่าความสมดุล ไม่ว่าจะเป็รูปทรงหรือว่าความงามทางศิลปะทั้งหมดนี้ล้วนเป็การสร้างสรรค์ชิ้นงานศิลปะที่สวยงามสมบูรณ์แบบ
ต่อมาเป็ขั้นตอนการพิมพ์รูป เด็กน้อยหยิบแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขึ้นมาเขานำชิ้นงานพิมพ์ขึ้นเป็รูปแจกันเคลือบ
หลังจากนั้นคือการรีดน้ำออกเพื่อให้น้ำที่อยู่ในตัวเครื่องปั้นไหลออกมา เพราะเวลานี้ตัวเครื่องปั้นยังอ่อนตัวจนเกินไป
เวลาค่อยๆ เดินผ่านไปพร้อมกับการกระทำอันแสนชำนาญของเด็กน้อยแต่พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้รับรู้ถึงกาลเวลาที่ค่อยๆ เดินไปเพราะพวกเขาทั้งสองคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ที่เป็การเชื่อมโยงกันระหว่างพวกเขาอย่างน่าอัศจรรย์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้