พี่ชายกับน้องสาวได้รับชัยชนะในการละเล่นใบไม้กับเพื่อน พวกเขาจูงมือกันกลับบ้านด้วยความร่าเริง หมี่หลันเยว่ไม่เคยคิดเลยว่าการละเล่นไร้สาระแบบนั้นจะทำให้เธอสนุกได้ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าสภาพแวดล้อมที่เรียบง่ายสร้างความสุขที่แท้จริงได้
"พ่อครับ แม่ครับ พวกเรากลับมาแล้ว"
หมี่หลันหยางพาน้องสาวเดินเข้าประตูบ้าน ปีนบันไดหินในลานบ้านพลางะโเสียงดังด้วยความดีใจ แต่ก็กลัวว่าน้องสาวจะสะดุดบันได จึงเก็บซ่อนความตื่นเต้นและเดินตามจังหวะก้าวของน้องสาวอย่างระมัดระวัง
"เสียงดังอะไรขนาดนั้น อย่ารบกวนคนอื่น รีบเข้าบ้านเถอะ"
หวังหย่วนฉิงได้ยินเสียงร่าเริงของลูกชายก็ออกมาต้อนรับจากในบ้าน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข ลูกๆ โตขึ้น พวกเขาเริ่มมีความสุขในแบบของตัวเองแล้ว
เธอพาลูกชายลูกสาวเข้าไปในบ้าน รินน้ำให้พวกเขา และช่วยล้างมือล้างหน้า
"เก็บใบไม้สวยๆ มาได้เหรอ ถึงได้ดีใจขนาดนี้?"
เธอเช็ดมือให้ลูกชายพลางพูดคุยไปด้วย
"แม่ครับๆ ผมกับน้องสาวชนะพวกเขาสามคน พวกเขาโง่มาก เอาแต่เอาใบไม้มาชนกันตรงๆ อย่างนั้นมันก็ต้องแพ้อยู่แล้วสิ"
หมี่หลันหยางได้ยินแม่ถามก็รีบทำท่าทางประกอบคำพูด จนหวังหย่วนฉิงต้องคอยเช็ดมือให้เขาไปด้วย
"แล้วต้องทำยังไงถึงจะไม่แพ้ล่ะ?"
หวังหย่วนฉิงถามลูกชายอย่างใจเย็น หมี่หลันเยว่ยืนฟังแม่กับพี่คุยกันอยู่ข้างๆ เธอรู้สึกชื่นชมแม่จากใจจริง
ั้แ่เด็ก แม่ก็คอยอบรมสั่งสอนพี่น้องทั้งสามคนด้วยความอดทนแบบนี้เสมอ แต่เธอไม่เคยใส่ใจความรักและความห่วงใยนั้นเลย แถมยังคิดเสมอว่าแม่กับพ่อเอาใจใส่ลูกศิษย์มากเกินไป ที่จริงแล้วความรักของแม่และพ่ออยู่ในทุกรายละเอียดของชีวิต แต่เธอไม่เคยพยายามที่จะรับรู้เองต่างหาก
เหมือนอย่างตอนนี้ แม่ถามพี่ชายด้วยความอดทน เป็การฝึกทักษะการสื่อสารของพี่ชาย และยังเป็การทดสอบความฉลาดของพี่ชายด้วย จากการพูดคุย แม่ก็จะรู้ว่าพี่ชายใช้วิธีอะไร ถ้าวิธีนั้นเหมาะสม แม่ก็จะชมเชย ถ้าวิธีนั้นไม่เหมาะสม แม่ก็จะช่วยแนะนำ
ั้แ่เด็ก แม่ก็เริ่มปลูกฝังความรู้ที่เป็ประโยชน์มากมายให้กับเธอ พี่ชาย และน้องชาย แต่เธอไม่เคยสังเกตเลย ถ้าเธอเข้าใจเื่นี้เร็วกว่านี้ บางทีเธอคงได้รับการเลี้ยงดูให้เป็ลูกสาวที่ยอดเยี่ยมมากกว่านี้ เมื่อนึกถึงเื่การเลี้ยงลูก เธอยังห่างไกลจากแม่มากนัก
"ถ้าอยากให้ก้านใบไม้ไม่หักง่ายๆ ก็ต้องขยี้ตรงกลางก้านใบไม้ก่อนชนกัน ให้มันอ่อนตัวลง ถึงมันจะดูอ่อน แต่จริงๆ แล้วมันแข็งแรงมาก ไม่หักง่ายๆ หรอกครับ"
พี่ชายควานหาก้านใบไม้จากในกระเป๋าเสื้อออกมาให้แม่ดู
"แม่ครับ ดูสิ เป็แบบนี้แหละ ไม่เชื่อเรามาลองดูกัน"
หมี่หลันหยางกระตือรือร้นที่จะลอง
"ก็ได้ แม่จะชนใบไม้แข่งกับหลันหยางสักหน่อย ดูสิว่าใครจะชนะ"
พอได้ยินว่าแม่จะเล่นด้วย หมี่หลันหยางก็ยิ่งตื่นเต้น รีบดึงแม่เข้าไปในห้องเล็ก เอาใบไม้ทั้งหมดในกระเป๋าเสื้อออกมาวางไว้ข้างเตียง
"แม่ครับๆ เลือกก้านอันนึง เลือกอันที่หนาๆ นะ อันหนาๆ มันไม่หักง่าย"
หวังหย่วนฉิงเขกศีรษะลูกชายเบาๆ
"ลูกจะแข่งกับแม่ไม่ใช่เหรอ ถ้าแม่เลือกอันหนาๆ ที่ไม่หักง่ายๆ ลูกก็แพ้น่ะสิ ทำไมยังบอกวิธีเลือกให้แม่ด้วยล่ะ?"
หมี่หลันเยว่ฟังแม่ที่คอยกระตุ้นและสอนอยู่ตลอดเวลา เธอก็รู้สึกสั่นะเืในใจ ชาติที่แล้ว เธอพลาดอะไรไปมากมายขนาดไหนนะ ความรักและการสอนสั่งที่มีอยู่ตลอดเวลา เธอปล่อยปละละเลยไปได้ยังไง
"ก็แม่สอนพวกเรามานี่นา ชนะก็ต้องชนะอย่างใสสะอาด ถ้าแม่เอาก้านดีๆ มาชนกับผม แล้วผมชนะได้ นั่นแหละคือชนะจริงๆ แล้วมันก็พิสูจน์ได้ว่าวิธีของผมถูกต้องด้วย"
หมี่หลันหยางส่ายก้านใบไม้ที่ขยี้แล้วในมือ
"ก็ได้ แม่จะเลือกอันที่แข็งแรงที่สุดมาชนกับหลันหยาง หลันหยางแพ้แล้วอย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งนะ"
หวังหย่วนฉิงจิ้มจมูกหมี่หลันหยางเบาๆ เ้าหนูไม่พอใจส่งเสียงฮึดฮัด
"ผมไม่แพ้หรอก"
ข้อพิสูจน์คือวิธีของเขาได้ผล เมื่อเขาชนะแม่ได้ ทำให้ก้านหนาๆ ในมือแม่หัก เขาจึงะโโลดเต้นด้วยความดีใจ
"ผมชนะแล้วๆ"
หวังหย่วนฉิงมองดูลูกชายด้วยความสุขใจ ลูบศีรษะลูกชาย
"ลูกชายแม่เก่งจัง เก่งมาก แล้วบอกแม่หน่อยสิ วิธีนี้ลูกคิดเองเหรอ?"
"ไม่ใช่ครับ พ่อสอน"
หมี่หลันหยางไม่ได้มีความคิดที่จะอ้างความดีความชอบเป็ของตัวเองแม้แต่น้อย ทำให้หวังหย่วนฉิงและหมี่หลันเยว่พยักหน้าเห็นด้วย
"แล้วพ่อได้บอกไหมว่า ทำไมใบไม้แบบนี้ถึงชนะก้านที่หนาและแข็งกว่าได้?"
หมี่หลันหยางเกาหัวเล็กน้อย พยายามนึกถึงคำพูดที่พ่อเคยพูดไว้
"พ่อบอกว่า บางทีของที่แข็งเกินไปก็หักง่าย แต่ของที่อ่อนนุ่มกว่า อาจจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า ไม่มีอะไรแน่นอน นี่แหละคือการเอาชนะความแข็งแกร่งด้วยความอ่อนโยน"
"หลันหยางเก่งมาก จำคำพูดของพ่อได้หมด แล้วลูกต้องจำหลักการนี้ไว้ตลอดนะ ห้ามลืมเด็ดขาด มันจะมีประโยชน์ต่ออนาคตของลูกมาก"
เห็นไหม ความรักของพ่อแม่มีอยู่ทุกที่เลยจริงๆ
"หลันหยาง เสื้อลูกขาดนี่นา มานี่แม่ดูหน่อย"
ขณะที่กำลังสอนลูกชายอยู่ หวังหย่วนฉิงก็สังเกตเห็นว่าชายเสื้อด้านหลังของลูกชายขาดเป็รูปสามเหลี่ยม ผ้าชิ้นหนึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ด้านหลัง
"โอ๊ะ ขาดเหรอครับ ผมไม่ทันเห็น หลันเยว่ พี่ไปขูดโดนอะไรมาหรือเปล่า?"
หมี่หลันเยว่ส่ายหน้า บอกว่าเธอก็ไม่เห็นเหมือนกัน
"แม่ครับ ผมก็ไม่รู้ว่าไปขูดอะไรมาตอนไหน แม่ช่วยเย็บให้ผมหน่อยนะครับ"
หมี่หลันหยางไม่ได้ใเลยแม้แต่น้อย ถอดเสื้อคลุมส่งให้แม่ด้วยท่าทีที่คุ้นเคย ส่วนหวังหย่วนฉิงรับเสื้อของลูกชายมาโดยไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมาแม้แต่น้อยเช่นกัน หมี่หลันเยว่ก็นึกถึงคำพูดที่แม่มักจะพูดกับเธอเมื่อเธอมีลูกสาวในอีกหลายปีต่อมา
ตอนนั้น เธอออกจะรำคาญที่ลูกสาวออกไปเล่นข้างนอกแล้วทำให้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน มือไม้เลอะเทอะกลับมา ดังนั้นทุกครั้งที่ลูกสาวออกไปข้างนอก เธอจึงกำชับแล้วกำชับอีก ว่าอย่าไปนั่งเล่นตามพื้น อย่าเก็บของสกปรก อย่าเล่นซนกับเพื่อนๆ มากเกินไป เพื่อไม่ให้ลูกสาวกลับมาในสภาพมอมแมม
แล้วแม่ก็จะพูดกับเธอว่า
"หลันเยว่ เด็กก็คือเด็ก มีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ของเล่นหรือหุ่น เขา้าพลัง เด็ก้าแค่ความสุข ความสุขที่ไม่จำเป็ต้องกังวลอะไรมากมาย"
"ถ้าเขาวิ่งเล่นสนุกจนลืมตัว แล้วต้องคอยกังวลว่าอย่าให้เสื้อผ้าเลอะเทอะ อย่าให้รองเท้าสกปรก อย่างนั้นมันจะสนุกหรือลูก? หรือเล่นจนเพลินแล้วทำเสื้อผ้าเปื้อน แต่กลับกลัวไม่กล้ากลับบ้าน แอบอยู่หน้าประตูบ้าน แบบนั้นมันมีประโยชน์อะไร?"
"เสื้อผ้าเปื้อนก็ซักได้ ขาดก็เย็บได้ แต่ถ้าเด็กเสียความเป็เด็กไป กลายเป็เพียงหุ่นตัวหนึ่ง แล้วเขาจะมีความสุขอะไร ผู้ใหญ่แค่อดทนหน่อยเด็กก็มีความสุขมากขึ้นแล้ว แค่ซักเสื้อผ้า ล้างมือล้างหน้า มันยากตรงไหนล่ะจ้ะ?"
"ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจเถอะ วันเวลาแบบนี้มันไม่ได้มีมาก พวกเขาจะโตกันเร็วมาก เหมือนตอนที่พวกลูกยังเป็เด็กนั่นไง พวกลูกใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลขนาดไหน ทำไมถึงไม่ยอมให้ลูกตัวเองมีโอกาสแบบนั้นบ้าง รอจนพวกเขาโตขึ้น ความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้จะเป็สิ่งที่ลืมไม่ได้ตลอดไป"
ตอนนั้นเธอทำยังไงกันนะ ปากก็รับปากแม่ไป แต่ในใจกลับคิดว่า ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันเหมือนกันที่ไหน สภาพสังคมก็ไม่เหมือนกัน การศึกษาที่เด็กได้รับก็ไม่เหมือนกัน จะปล่อยให้ลูกวิ่งเล่นซนเหมือนเด็กบ้านนอกได้ยังไง ไม่มีทาง ลูกของเธอต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ดังนั้นตอนนั้น เธอจึงไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูด เธอยังคงย้ำกับลูกสาวว่า อย่าทำเสื้อผ้าเลอะเทอะ อย่าทำให้มือไม้เปรอะเปื้อน เพราะจะเป็ภาระให้กับผู้ใหญ่ จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ เมื่อมองดูแม่เย็บเสื้อผ้าให้พี่ชายด้วยรอยยิ้ม เธอก็รู้ว่าความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความใจกว้างของพ่อแม่ จะเป็ความสุขแบบไหนในใจของเด็กคนหนึ่ง
เด็กคนอื่นเสื้อผ้าขาด เปื้อน จะโดนพ่อแม่ดุด่า ดังนั้นเวลาออกไปเล่นจึงต้องระมัดระวังตัว ไม่สามารถปลดปล่อยได้อย่างเต็มที่ แต่เธอและพี่ชายจะไม่ต้องกังวลเื่นี้เลย
แต่ลูกสาวของเธอล่ะ ั้แ่เล็กก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้สายตาของเธอ ที่แท้แล้วความรักของแม่ที่ลูกขาดหายไปกลับมีมากมายขนาดนี้
พอนึกถึงลูกสาว ดวงตาของหมี่หลันเยว่ก็คลอไปด้วยน้ำตา แต่เธอไม่กล้าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ทำได้เพียงหันหลังกลับไป คว้าแก้วน้ำบนโต๊ะมาดื่ม เพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง
"หลันเยว่จะกินน้ำเหรอ เดี๋ยวพี่ช่วย"
หมี่หลันหยางรีบวิ่งมาช่วยน้องสาวรินน้ำ ที่จริงแล้วโต๊ะก็สูงเกินไปสำหรับเขา การรินน้ำของเขาจึงเป็งานที่ยากลำบาก เมื่อมองดูพี่ชายกำลังทำเพื่อเธออย่างยากลำบาก แต่แม่ก็ยังนั่งอยู่บนเตียง เฝ้าดูพลางเย็บเสื้อผ้าไป ไม่ได้คิดที่จะเข้ามาช่วยเลย
หมี่หลันเยว่มองดูพี่ชายที่กำลังวุ่นวายเพื่อเธอ จนกระทั่งน้ำหนึ่งแก้วถูกส่งมาถึงมือเธอ
"หลันเยว่ ไม่หิวน้ำเหรอ รีบกินสิ"
ดวงตาเป็ประกายของหมี่หลันหยางมองน้องสาวอย่างคาดหวัง เหมือนกำลังบอกว่า น้องสาวรีบกินสิ รีบกินสิ
เมื่อยกแก้วขึ้นดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้ววางลง หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกว่าอารมณ์ของเธอดีขึ้นแล้ว มีเื่มากมายที่เธอเสียใจ ที่เธอไม่สามารถชดเชยได้ ชาตินี้ที่ได้กลับมาเกิดใหม่ เธอไม่รู้ว่าตัวเองยังมีโอกาสที่จะแก้ไขหรือไม่
หมี่หลันเยว่เองก็รู้สึกสับสน เธออยากจะมีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม อยากจะเดินในเส้นทางที่ไม่เคยเดิน แต่ชีวิตที่เคยมีของเธอก็จะไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกแล้ว แล้วความอาลัยอาวรณ์เ่าั้ล่ะ จะทำยังไง? อดีตเ่าั้ ถึงแม้จะหายไปแล้ว แต่ก็เป็ความทรงจำที่เธอไม่อาจลบเลือนได้ในชาตินี้
"หลันหยางโตขึ้นมากเลยนะ รู้จักดูแลน้องสาวแล้ว"
หวังหย่วนฉิงนั่งอยู่บนเตียง กัดด้ายที่อยู่ในมือ ดึงเข็มที่เย็บแล้วอย่างละเอียด แล้วพับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ตั้งใจว่าอีกสักพักจะลงไปซักให้สะอาด
"แน่นอนสิครับ ในนิทานที่แม่เล่า พี่ชายต้องดูแลน้องสาวอยู่แล้ว"
หมี่หลันหยางวิ่งไปที่ข้างเตียง หมอบลงบนขอบเตียง ยิ้มกว้างให้แม่เหมือนจะบอกว่าตัวเองทำดี หวังหย่วนฉิงดึงลูกชายลูกสาวขึ้นมานั่งข้างๆ ตัว
"มาๆ วันนี้มีลูกแพรลูกใหญ่ให้กินด้วย พ่อล้างสะอาด หั่นเรียบร้อยc]h;"
หวังหย่วนฉิงกำลังจะพูดกับลูกชายลูกสาว พอเห็นหมี่จิ้งเฉิงถือลูกแพรเข้ามา เธอก็เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาทันที
"พอดีเลย พ่อของลูกเอาลูกแพรมาให้ แม่จะเล่านิทานเื่ขงหยงแบ่งแพรให้ฟัง"
เธอส่งลูกแพรที่หั่นแล้วให้กับเด็กๆ หวังหย่วนฉิงก็เริ่มเล่านิทาน หมี่หลันหยางตั้งใจฟังมาก หมี่หลันเยว่ตั้งใจฟังเป็อย่างยิ่ง ส่วนหมี่จิ้งเฉิงก็ค่อยๆ ถอยออกไป ไม่อยากทำลายบรรยากาศที่อบอุ่นนี้