เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง แต่ทั้งเมืองชางกลับคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
วันนี้เป็วันแรกของปีที่ 9998 ตามปฏิทินัเพลิง และยังเป็วันงานเทศกาลัเพลิงซึ่งจัดขึ้นเป็ประจำทุกปี ปีละครั้ง งานเทศกาลนี้มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปัเพลิง
ปังงงง...!
ภายนอกเสียงประทัดดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ผสมกับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเด็กที่หยอกล้อเล่นกัน ยิ่งเสริมบรรยากาศของการเฉลิมฉลองในวันงานเทศกาลให้ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ของเมือง ในส่วนของบ้านตระกูลเย่ภายในจวนจ้าวเมืองก็คึกคักขึ้นมาั้แ่เช้าไม่แพ้กัน เหล่าบ่าวรับใช้ต่างพากันสาละวนทำความสะอาดและจัดตกแต่งสถานที่ ทำให้ทั่วทั้งหมู่ตึกตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสุขสันต์รื่นเริง
ณ เขตลานที่พักขนาดใหญ่ทางทิศเหนือ มีเด็กชายหลายสิบคนมายืนชุมนุมกันอยู่ั้แ่เช้าตรู่ หากนับรวมผู้ปกครองที่มาด้วยคาดว่าน่าจะมีจำนวนนับร้อยกว่าคน สีหน้าของทุกคนที่อยู่ที่นี่ดูเคร่งขรึม จริงจัง และยืนอยู่ในอาการสงบ แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุห้าถึงหกปีก็ถูกผู้ปกครองที่พามาด้วยว่ากล่าวตักเตือนให้อยู่ในอาการสงบเช่นกัน บรรยากาศเช่นนี้ช่างแตกต่างจากผู้คนที่อยู่ด้านนอกที่กำลังเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนานโดยสิ้นเชิง
“ปีนี้ผู้คนมากันมากมายเสียจริง...” เย่ชิงหานและเย่ชิงอวี่ยืนหลบมุมอยู่ด้านซ้ายมือ ทั้งสองยืนอยู่อย่างเงียบๆ กวาดสายตามองดูเหล่าลูกหลานของตระกูลที่มาเข้าร่วมพิธีปลุกพลังทางสายเื
สำหรับลูกหลานของตระกูลที่ยังไม่สามารถเรียกสัตว์อสูรออกมาได้นั้น...งานเทศกาลัเพลิง ถือว่าเป็่เวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาเลยก็ว่าได้
เพราะว่าเทศกาลัเพลิงที่จัดขึ้นปีละครั้งนี้ ลูกหลานตระกูลเย่ที่มีอายุห้าปี สิบปี และสิบห้าปี จะมีโอกาสเข้าร่วมทดสอบการปลุกพลังทางสายเื และตลอดชีวิตของทุกคนมีโอกาสเพียงแค่สามครั้งเท่าๆ กันในการเข้าร่วม หากทำการปลุกพลังทางสายเืได้สำเร็จก็จะได้รับพลังเทพามาช่วยในการเรียกสัตว์อสูรออกมา แน่นอนว่าเมื่อปลุกพลังทางสายเืได้ครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่สามารถปลุกได้อีก
สัตว์อสูร! คล้ายๆ กับมารอสูรทั่วๆ ไป เป็สิ่งที่เทพามอบให้ตระกูลเย่ด้วยความคิดถึงและมีพระคุณ
คุณสมบัติโดยพื้นฐานของสัตว์อสูรคือพลังการโจมตีที่รุนแรงและพลังความสามารถพิเศษ หากสามารถเรียกสัตว์อสูรในระดับสูงออกมาได้เฉกเช่นเดียวกันกับหัวหน้าตระกูลเย่เทียนหลงที่มีสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปด หมีั์เ้าดินแดน เพียงเท่านี้ก็ไม่จำเป็ต้องฝึกพลังยุทธ์ก็ได้ ขอเพียงรอให้สัตว์อสูรเติบโตเต็มวัยก็จะมีพลังโจมตีเทียบเท่าผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตาาจักรพรรดิเลยทีเดียว
ลองคิดดูว่าคนๆ หนึ่งไม่จำเป็ต้องฝึกฝนพลังยุทธ์ ขอแค่เพียงเรียกสัตว์อสูรในระดับสูงออกมาได้ เส้นทางชีวิตของเขาต่อจากนั้นจะกลายเป็ผู้ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อนาคตจะกลายเป็ผู้มีตำแหน่งระดับสูงของตระกูลเย่ และกลายเป็ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของทวีป
อำนาจบารมี ตำแหน่งฐานะ ทรัพย์สินเงินทอง สาวงาม...ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ล้วนมาจากการมีสัตว์อสูร
ฮู่ว! ฮู่ว!
ต้องสำเร็จ...อย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จ เย่ชิงหานสูดลมหายใจลึกพร่ำบอกตนเองอยู่ภายในใจพร้อมกับสองตาที่จับจ้องไปที่ประตูลานที่พักใหญ่นั้น ไม่เพียงแค่เย่ชิงหาน แต่ทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็จับจ้องไปยังประตูนั้นเช่นเดียวกัน ที่้าของประตูมีตัวอักษรสามคำสลักไว้ดูมีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงทรงพลัง – หอสัตว์อสูร
เอี๊ยด!
ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออก ในขณะเดียวกันก็มีผู้เฒ่าสี่คนที่เดินออกมาพร้อมกัน
“คารวะผู้าุโทั้งสี่แห่งหอสัตว์อสูร”
ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างรีบโค้งตัวทำความเคารพและพูดออกมาพร้อมๆ กัน ผู้าุโทั้งสี่ท่านนี้เย่ชิงหานรู้จักมานานแล้ว ทั้งสี่ล้วนเป็ผู้าุโของหอสัตว์อสูร มีหน้าที่จัดงานและควบคุมดูแลการปลุกพลังทางสายเืของลูกหลานของตระกูลที่มาเข้าร่วม เมื่อครั้งที่เย่ชิงหานอายุห้าปีและสิบปีก็เป็ผู้าุโทั้งสี่ท่านที่เป็คนดูแลจัดการ
“ไม่ต้องมากพิธี ทุกท่านตามข้ามาเถอะ!” ผู้าุโทั้งสี่ใบหน้าแสดงรอยยิ้ม ผู้ที่พูดขึ้นคือผู้าุโที่ยืนอยู่ด้านซ้ายซึ่งผมและหนวดเคราล้วนขาวราวกับสีของหิมะ
“ฮ่าๆ ต่างพากันมาั้แ่เช้าตรู่เลยเชียว!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังเดินตามผู้าุโทั้งสี่เตรียมที่จะเข้าไปยังภายในหอสัตว์อสูร ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงดังกังวานสายหนึ่งดังลอยมา ทุกคนต่างหันไปยังทิศทางของเสียง พบว่าบนท้องฟ้ามีเงาร่างสีน้ำเงินสายหนึ่งซึ่งพาเด็กน้อยอายุห้าปีมาด้วยกำลังเหาะลอยมาอย่างเร่งรีบ ชั่วพริบตาก็เหาะลอยมาอยู่เหนือศีรษะของทุกคน จากนั้นจึงค่อยๆ ลอยต่ำลงมาสู่พื้นเบื้องล่างอย่างช้าๆ
ล่องลอยบนท้องนภา...เหาะไปมาได้อย่างใจนึก ระดับขอบเขตาาจักรพรรดิ!
เย่ชิงหานในใจลอบตื่นตระหนก ผู้ที่สามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหาะไปมาได้ พลังฝีมือต้องบรรลุถึงระดับขอบเขตาาจักรพรรดิแล้วอย่างแน่นอน แต่เมื่อมองเห็นเ้าของเงาร่างสีน้ำเงินนั้นได้อย่างชัดเจน เย่ชิงหานกลับหัวเราะออกมาอย่างเ็า
“คารวะท่านจ้าวเมือง”
ทุกคนรวมถึงผู้าุโอีกสามท่านต่างรีบพากันทำความเคารพ จะมีก็เพียงผู้าุโผมขาวผู้นั้นที่ทำเพียงแค่พนักหน้าและยิ้มให้ ส่วนเย่ชิงหานและน้องสาวทำเพียงยกสองมือขึ้นทำท่าคารวะพอเป็พิธีให้ผ่านๆ ไป
ผู้ที่มาคือจ้าวเมืองแห่งเมืองชางลุงใหญ่ของเย่ชิงหาน...เย่เจี้ยน หลังจากหัวหน้าตระกูลเย่เทียนหลงเร้นกายไม่ใส่ใจเื่ภายนอกั้แ่หลายปีก่อน ตำแหน่งจ้าวเมืองจึงถูกส่งต่อให้ลูกชายคนโตซึ่งก็คือเย่เจี้ยนที่เป็ตัวแทนครอบครัวลูกคนโต เขาไม่ค่อยจะลงรอยกับบิดาของเย่ชิงหานซึ่งก็คือครอบครัวลูกคนรอง เมื่อไม่นานที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์ที่มารดาของเย่ชิงหานเสียชีวิตและจะขอฝังไว้ในสุสานบรรพชนตระกูลเย่ ผู้ที่คัดค้านเื่นี้อย่างแข็งขันคือเย่เจี้ยนผู้นี้ ด้วยเหตุนี้ภายในใจของเย่ชิงหานจึงไม่ชอบคนผู้นี้เป็อย่างมาก ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกเคารพนับถือเลย
“ฮ่าๆ...คารวะท่านผู้าุโเทียนชิงและผู้าุโทั้งสาม เชิญทุกท่านทำตัวตามสบายไม่ต้องสนใจข้า วันนี้ข้านำบุตรชายคนเล็กชิงเฟิงมาเข้าร่วมการปลุกพลัง” เย่เจี้ยนรูปร่างสูงใหญ่ผ่าเผย สองคิ้วรูปกระบี่หนาดกดำ ดวงตาพยัคฆ์เปล่งประกายเย็นเฉียบดูแล้วน่าเกรงขาม เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ ทุกคนที่ถูกเขากวาดตามองผ่านรู้สึกราวกับว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ไม่มีความลับอะไรที่จะสามารถปิดบังไว้ได้ เหมือนถูกมองทะลุไปจนถึงภายในจิตใจ เย่เจี้ยนให้ความรู้สึกแก่ผู้ที่พบเห็นว่าเขาเป็ผู้ที่มีลักษณะของผู้ที่องอาจผึ่งผาย กล้าหาญชาญชัย เห่อเหิมทะเยอทะยานและเหี้ยมเกรียม
แม้ทุกคนจะรู้สึกเช่นนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะระมัดระวังกิริยาของตนเองมากขึ้น คนทั้งหมดในที่นี้ส่วนมากจะเป็เด็กอายุสิบปี จะมีก็ส่วนน้อยที่มีอายุห้าปีหรือสิบห้าปี สำหรับพวกเขาแล้วแค่ผู้าุโทั้งสี่แห่งหอสัตว์อสูรก็นับว่าเป็บุคคลผู้ยิ่งใหญ่แล้ว แต่เย่เจี้ยนที่เป็จ้าวเมืองแถมยังสามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหาะไปมาได้อีก บุคคลเช่นนี้ยิ่งสูงส่งและยิ่งใหญ่กว่า แม้ตระกูลเย่จะยิ่งใหญ่และเปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจบารมี แต่ผู้ที่สามารถทะยานเหาะขึ้นไปบนฟ้าได้นั้นมีไม่กี่สิบคนเท่านั้นเอง
เย่ชิงหานชายตามองไปคราหนึ่ง เห็นเย่เจี้ยนจูงมือน้องชายตัวเล็กเย่ชิงเฟิงที่รูปร่างลักษณะแข็งแรงหน้าตาน่ารักน่าชัง มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เย่ชิงหานเกิดความรู้สึกไม่ชอบเด็กคนนี้ขึ้นมาทันทีซึ่งก็คือ ความหยิ่งยโสอวดดีและการดูถูกเหยียดหยามที่แสดงออกมาทางสายตาของเขา เด็กคนนี้ไม่ต่างจากพี่ชายทั้งสองของเขาเย่ชิงขวงและเย่ชิงเสียนเลยสักนิด ที่ทั้งหยิ่งยโส โอหัง และอวดดี
ในขณะที่เย่ชิงหานกำลังเดินไปพลางคิดไปพลางอยู่นั้นตนเองก็ได้เข้ามาถึงภายในหอสัตว์อสูรแล้ว หอสัตว์อสูรยังคงสภาพเหมือนเช่นแต่ก่อน ห้องโถงที่ใหญ่โต ตรงกลางมีแท่นบวงสรวงเก่าแก่ขนาดใหญ่อยู่สามแท่น ด้านหน้าแท่นบวงสรวงมีที่นั่งจัดเรียงรายอยู่อย่างเป็ระเบียย เย่ชิงหานมองอยู่สักพักจึงจูงมือน้องสาวเดินไปมุมทางด้านซ้ายมือแล้วนั่งลง
“อะแฮ่ม!”
ผู้าุโทั้งสี่และเย่เจี้ยนจึงนั่งลงตรงที่นั่งแถวหน้าของห้องโถง ผู้าุโเทียนชิงลุกขึ้นประสานมือสองข้างเข้าด้วยกันแสดงมารยาทแก่บุคคลทั้งสี่แล้วจึงเดินมายังด้านหน้าของทุกคน เมื่อเห็นว่าใช้การกระแอมเบาๆ ดึงความสนใจของทุกคนได้แล้วจึงเริ่มพูดขึ้น
“พวกเ้าทั้งหลายล้วนเป็ลูกหลานของตระกูลเย่ เกี่ยวกับพิธีปลุกพลังทางสายเืคิดว่าพวกเ้าคงรู้กันดีอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะขอพูดเพียงสั้นๆ ก็แล้วกัน อีกสักครู่ผู้าุโทั้งสามจะทำการเปิดผนึกแท่นบวงสรวงเพื่อเริ่มพิธี พวกเ้าจะถูกแบ่งออกเป็สามกลุ่มแยกกันเข้าไปยังภายในแท่นบวงสรวง ทุกคนมีเวลาเพียงสิบห้านาทีที่จะอยู่ข้างในนั้น จงจำเอาไว้ให้ดี! ในขณะที่ทำการปลุกพลังทางสายเือยู่นั้น ดวงจิตของพวกเ้าจะเข้าไปสู่ดินแดนลี้ลับมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ดินแดนแห่งนั้นคือมิติลับแดนอสูร ไม่ได้มีอันตรายใดๆ สิ่งที่พวกเ้าควรทำคือ ใช้สุดยอดวิชาลับของตระกูลปลุกเรียกในสิ่งที่พวกเ้าเห็นอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะเป็ สัตว์อสูร มารอสูร สัตว์ หรือแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า ชักนำพวกมันให้เชื่อมต่อกับดวงจิตพวกเ้าแล้วนำมันออกมา เพียงเท่านี้ก็เป็อันสำเร็จ
“ยังมีอีกนิด...ข้อควรระวัง! อย่าได้ฝืนจนเกินไป หาไม่แล้วอาจจะถูกพลังตีกลับได้รับาเ็สาหัสหรือถึงแก่ชีวิตได้ อย่าลืมเื่เวลา แต่ละคนมีเวลาเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น ตอนนี้ใครที่ถูกเรียกชื่อให้เดินเข้าไปภายในแท่นบวงสรวงได้ กลุ่มที่หนึ่ง เย่ชิงเฟิง เย่ชิงอวิ๋น เย่เสียวหู่”
ผู้าุโเทียนชิงพูดจบจึงหยิบกระดาษออกมาอ่านรายชื่อ เย่เจี้ยนที่นั่งอยู่ตำแหน่งหน้าสุดได้ยินผู้าุโเอารายชื่อลูกชายของตนจัดไว้เป็ลำดับแรก จึงได้ส่งสายตามองไปยังผู้าุโอย่างรู้สึกขอบคุณ จากนั้นจึงมองไปยังเย่ชิงเฟิงที่ยืนอยู่บนแท่นบวงสรวงอย่างให้กำลังใจ
“เริ่มพิธีได้!”
ผู้าุโเทียนชิงเห็นว่าผู้าุโทั้งสามเข้าประจำที่ทั้งสามจุดเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับไปบอกคำหนึ่ง ผู้าุโทั้งสามพยักหน้าเป็การตอบรับแล้วใช้มือล้วงเข้าไปภายในเสื้อบริเวณอกหยิบเอาหินผลึกออกมาแล้วชูสูงขึ้นกลางอากาศ
ทันใดนั้น หินผลึกพลันเปล่งแสงเจิดจ้าสาดส่องไปยังทุกคนที่อยู่ในห้องโถง ผู้คนทั้งหมดต่างพากันรู้สึกได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์และสงบสุขสายหนึ่ง ฉับพลันนั้นแท่นบวงสรวงทั้งสามเริ่มปรากฏแสงอ่อนโยนชนิดหนึ่งออกมาอย่างช้าๆ ทีละน้อย จนในที่สุดแสงที่ปรากฏออกมาได้รวมตัวกันเป็รูปวงแหวน แปรเปลี่ยนแท่นบวงสรวงทั้งสามให้กลายเป็วงแหวนแสงรูปวงรีสามวง ดูคล้ายกับไข่ไก่ขนาดใหญ่วางตั้งอยู่ตรงนั้น และที่ผิว้าของวงแหวนแสงทั้งสามราวกับมีระลอกคลื่นน้ำขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง
“ฮู่ว!”
หลังจากที่แสงรวมตัวกันเป็ผลสำเร็จ ลำแสงที่อยู่บนมือของผู้าุโทั้งสามก็ค่อยๆ จางหายไป จนในที่สุดก็สงบราบเรียบลงดังเดิม ผู้าุโทั้งสามที่กำลังเดินกลับมายังตำแหน่งที่นั่งของตน ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด ทั่วสรรพางค์กายไร้เรี่ยวแรง
“ลำบากผู้าุโทั้งสามท่านแล้ว” เย่เจี้ยนเอ่ยบำรุงขวัญผู้าุโทั้งสามด้วยเสียงแ่เบาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“หามิได้...มันเป็หน้าที่ของข้าน้อยทั้งสามอยู่แล้ว” ผู้าุโทั้งสามรีบพากันแสดงอาการโบกมือกล่าวปฏิเสธอย่างนอบน้อม ไม่นานนักพลังของผู้าุโทั้งสามก็ค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมา ใบหน้าเริ่มมีสีเืปรากฏให้เห็น
“ท่านจ้าวเมือง จากที่ข้าสังเกตดูชิงเฟิงเด็กคนนี้ลักษณะเหนือคนมาแต่กำเนิด เชื่อว่าจะต้องเรียกสัตว์อสูรออกมาได้สำเร็จอย่างแน่นอน” ผู้าุโท่านหนึ่งมองไปที่แท่นบวงสรวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
“ใช่ ข้าว่าชิงเฟิงเด็กคนนี้อย่างต่ำสุดน่าจะสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับหกออกมาได้ หรือไม่แน่ว่าอาจจะเหมือนพี่ชายของเขาชิงขวงที่สามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดออกมาได้” ผู้าุโอีกท่านรีบกล่าวประจบเสริมขึ้นอีก
“เหอะๆ...ขอให้เป็ดั่งคำที่ทุกท่านอวยพรก็แล้วกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอาศัยพร์ของตัวเขาเองด้วยเป็หลัก” เย่เจี้ยนกล่าวพร้อมกับยิ้มขึ้นเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่เย่ชิงเฟิงที่อยู่บนแท่นบวงสรวงอยู่ไม่ขาด
ฉับพลันนั้น อย่างไม่คาดคิด...
ณ แท่นบวงสรวงตำแหน่งที่เย่ชิงเฟิงอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาดขึ้น จากเดิมวงแหวนแสงสีขาวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็สีแดง จากนั้นแปรเปลี่ยนจากสีแดงเป็สีส้ม จากสีส้มเป็สีเหลือง จากสีเหลืองเป็สีเขียว ท้ายที่สุดแปรเปลี่ยนเป็สีม่วงและหยุดอยู่แค่นั้น
“ขอแสดงความยินดีกับท่านจ้าวเมือง ชิงเฟิงมีหวังเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดออกมาได้”
“ลูกชายของท่านจ้าวเมืองแต่ละคนล้วนมีพร์ที่สูงกันทุกคนเสียจริงๆ”
“ขอแสดงความยินดีและดีใจต่อท่านจ้าวเมืองด้วย ความสำเร็จของนายน้อยเฟิงในวันข้างหน้าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน...”
ชั่วระยะเวลาประเดี๋ยวเดียว คำกล่าวยกยอประจบประแจงต่างๆ นานา ดังมาอย่างไม่ขาด บรรยากาศภายในห้องโถงคึกคักขึ้นมาทันใด แม้กระทั่งผู้าุโหนวดขาวเทียนชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่ไม่ค่อยพูดก็ยังพยักหน้ายิ้มออกมาเล็กน้อย ยิ่งทำให้ใบหน้าของเย่เจี้ยนยิ้มอิ่มเอิบอย่างมีความสุขยิ่งขึ้น
การแบ่งระดับคุณภาพสัตว์อสูรของตระกูลเย่เหมือนกันกับการแบ่งระดับพลังฝีมือนักรบของทวีปัเพลิง โดยแบ่งออกเป็ระดับหนึ่งถึงเก้า ทั้งหมดเก้าระดับ แต่ระดับที่เก้ายังมีชื่อเรียกอีกชื่ออย่างหนึ่งว่า อสูรศักดิ์สิทธิ์
การแบ่งระดับพลังฝีมือของนักรบในเขตปกครองเทพาเริ่มจากระดับขอบเขตปุถุชน ระดับขอบเขตผู้กล้า ระดับขอบเขตขั้นสูง ระดับขอบเขตยอดยุทธ์ ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ ระดับขอบเขตนักรบ ระดับขอบเขตจ้าวนักรบ ระดับขอบเขตาาจักรพรรดิ ระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์
หากเป็คนตระกูลเย่ เพียงแค่ทำความเข้าใจสักเล็กน้อยเกี่ยวกับพิธีปลุกพลังทางสายเืก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า ในขณะที่ทำการปลุกพลังทางสายเืสีของวงแหวนแสงที่อยู่ภายนอกแท่นบวงสรวงจะแปรเปลี่ยนไปเป็สีต่างๆ จากระดับต่ำสุดไปจนถึงระดับสูง โดยแบ่งเป็สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีเขียวอ่อน สีน้ำเงิน สีม่วง สีดำ และสีทอง ที่สำคัญคือสีของวงแหวนแสงยิ่งแปรเปลี่ยนสูงขึ้นมากเท่าไร ระดับคุณภาพของสัตว์อสูรที่เรียกออกมาได้ยิ่งสูงขึ้นตาม สิ่งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็คนกำหนด แต่เป็ความรู้และประสบการณ์ของคนตระกูลเย่ที่ตกทอดมานับพันปี
หัวหน้าตระกูลเย่ เย่เทียนหลง ในปีที่เขาปลุกพลังทางสายเืนั้น วงแหวนแสงที่อยู่ภายนอกเปลี่ยนกลายเป็สีดำจึงสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปด “หมีั์เ้าเดินแดน” ออกมาได้ และเย่เตาบิดาของเย่ชิงหานวงแหวนแสงก็กลายเป็สีดำ จึงสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปด “ราชสีห์ั” ออกมาได้เช่นกัน ส่วนเย่เจี้ยนและลูกชายคนโตของเขาวงแหวนแสงต่างก็กลายเป็สีม่วง ดังนั้นจึงสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดออกมาได้
ผู้ที่มีสัตว์อสูรคุณภาพระดับสูงภายในตระกูลเย่มีเพียงไม่กี่คน คุณภาพระดับแปดมีเพียงสองคน คุณภาพระดับเจ็ดก็มีเพียงแค่นับนิ้วมือได้ ส่วนคุณภาพระดับเก้าอสูรศักดิ์สิทธ์นั้น ในบันทึกของตระกูลปรากฏออกมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งในครั้งนั้นสีของวงแหวนแสงที่ปรากฏในขณะที่ผู้าุโท่านนั้นทำการปลุกพลังทางสายเืคือ วงแหวนแสงสีทองอันเจิดจ้าลานตา
ตอนนี้พิธีปลุกพลังทางสายเืเพิ่งจะเริ่มขึ้นก็ปรากฏผู้มีวงแหวนแสงสีม่วงออกมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นิมิตหมายที่ดี ดังนั้นทุกคนจึงเฝ้าคอยลุ้นและตื่นเต้นเป็อย่างมาก
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิจารณ์กันเกรียวกราวอยู่นั้น แท่นบวงสรวงอีกสองแห่งที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ก็น่าเสียดายที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียงแค่สามสี่ครั้งเท่านั้นก็ยุติลง เย่ชิงอวิ๋นที่อยู่ตรงกลางวงแหวนแสงหยุดอยู่ที่สีเหลือง ส่วนเย่เสียวหู่ที่อยู่ข้างๆ วงแหวนแสงหยุดอยู่ที่สีเขียว
เมื่อทุกคนเห็นว่าสีวงแหวนแสงของทั้งสองไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก จึงได้หันเหความสนใจไปยังแท่นบวงสรวงที่เย่ชิงเฟิงอยู่ ที่เป็เช่นนี้เพราะวงแหวนแสงสีเหลืองและสีเขียวระดับคุณภาพของสัตว์อสูรที่เรียกออกมาได้อย่างไรก็ไม่สูงมากนัก แต่วงแหวนแสงสีม่วงของเย่ชิงเฟิงนั้นต่างออกไป มันแสดงให้เห็นว่าระดับคุณภาพของสัตว์อสูรที่เรียกออกมาได้นั้นต้องมีระดับที่สูงอย่างแน่นอน
ฉับพลันนั้น...
แท่นบวงสรวงที่เย่ชิงเฟิงอยู่ วงแหวนแสงกระเพื่อมคราหนึ่ง แสงสีม่วงค่อยๆ จางหายจนกลับกลายเป็สีขาวดังเดิม ใจกลางของวงแหวนแสงปรากฏเงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งกำลังอุ้มสัตว์แปลกๆเดินออกมา
“นั่นคือ...? สัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดหมาป่าสีเทา!” ผู้าุโแห่งหอสัตว์อสูรท่านหนึ่งร้องโพล่งดังออกมาเป็คนแรก
“ว้าว! หมาป่าสีเทาไม่ผิดแน่ ตระกูลเรามีสัตว์อสูรระดับสูงเพิ่มขึ้นอีกตัวแล้ว เป็เื่น่ายินดีและน่าเฉลิมฉลองเป็อย่างยิ่ง!”
ฟิ้ว...
เย่เจี้ยนราวกับเงาภูติพราย เขาเหาะทะยานออกมาจากด้านหน้าห้องโถงด้วยความรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบดูสัตว์อสูรที่อยู่ในอ้อมกอดของเย่ชิงเฟิงอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าพลันยิ้มออกมาราวกับดอกไม้บาน เขาลูบหัวเย่ชิงเฟิงอย่างรักใคร่เอ็นดูพร้อมกับหัวเราะร่าขึ้นมาทันที “ไม่เลว...เฟิงเอ๋อร์ลูกพ่อ เ้าสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดออกมาได้ กลับไปพ่อจะให้รางวัลแก่เ้า ฮ่าๆ...”
ทันใดนั้นห้องโถงก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างเข้ามารุมล้อมเย่ชิงเฟิง ทั้งประหลาดใจ ทั้งอยากรู้อยากเห็น ทั้งยกยอประจบประแจง ทั้งสานสัมพันธ์ไมตรี ที่เป็เช่นนั้นเพราะเย่ชิงเฟิงสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดออกมาได้ ต่อไปภายภาคหน้าตำแหน่งภายในตระกูลย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในขณะที่ทุกคนกำลังห้อมล้อมเย่ชิงเฟิงอยู่นั้น เด็กหนุ่มสองคนเดินออกมาจากแท่นบวงสรวงอีกสองแห่งข้างๆ ซึ่งต่างก็มีลูกสัตว์อสูรอยู่ในอ้อมกอดเช่นเดียวกันทั้งสองคน
เมื่อมองเห็นทั้งสองเดินออกมาแล้ว ผู้าุโเทียนชิงจึงกระแอมออกมาครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นอย่างราบเรียบ “ทั้งหมดกลับไปยังที่เดิมของตนเอง ส่วนพวกเ้าสามคนอุ้มสัตว์อสูรของตนเองมาลงบันทึกไว้”
ผ่านไปได้ไม่นาน เสียงพูดของผู้าุโเทียนชิงก็ดังก้องขึ้นท่ามกลางห้องโถงอีกครั้ง “เย่ชิงเฟิง...สัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ด หมาป่าสีเทา เย่ชิงอวิ๋น...สัตว์อสูรคุณภาพระดับสาม หนูเงา เย่เสียวหู่...สัตว์อสูรคุณภาพระดับสี่ หมูเขี้ยวดาบ เอาละกลุ่มต่อไป เย่เซียวเอี๋ยน เย่ซวินเออร์ เย่เซียวเม่ย...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้