วันที่แปดของเดือนสิบ
วันนี้ ซูฉางอันจบการฝึกซ้อมวิชารวดเร็วกว่าทุกๆ วัน
ฝานหรูเยว่เตรียมน้ำอุ่นมาให้ตั้งนานแล้ว
เขาชำระล้างร่างกายจนสะอาดเอี่ยมอย่างตั้งใจ สวมชุดคลุมยาวสีขาวที่เพิ่งซื้อมาใหม่เกล้าผมเส้นยาวให้เป็ระเบียบเรียบร้อย แล้วใช้ปิ่นปักผมให้อยู่ทรงในที่สุดเขาทำทั้งหมดอย่างเชื่องช้า แม้อีกเพียงเดือนเดียวเขาจะมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้วก็ตามแต่จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่ชินกับการไปไหนมาไหนในฐานะของผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้วอยู่ดี
แต่องค์จักรพรรดิทรงเข้มงวดมาก
คาดว่างานเลี้ยงของพระองค์ย่อมเข้มงวดไม่ต่างกัน
ดังนั้นซูฉางอันจึงต้องแต่งกายให้สุภาพและเข้มงวดกับตัวเองให้มากที่สุด
เขาตรวจสอบสภาพของตัวเองโดยละเอียดที่หน้ากระจกและรู้สึกพอใจกับตัวเองในตอนนี้มาก
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นมือออกไปข้างหน้าทันใดนั้นดาบที่ซ่อนอยู่ภายในฝักก็พุ่งเข้ามาอยู่ในมืออย่างรวดเร็ว
นี่เป็การสั่งวัตถุในระยะไกลนั่นเอง การจะทำเช่นนี้ได้ต้องใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งมากทีเดียวซึ่งสำหรับเหล่านักสู้ที่ไม่ช่ำชองเื่การใช้พลังจิตเช่นเขา หากทำเช่นนี้ได้ก็เมื่อมีพลังอยู่ในระดับไท่ยีแล้วเท่านั้นทว่าซูฉางอันกลับทำได้ทั้งที่มีพลังเพียงระดับหลอมจิตเท่านั้น ต้องยอมรับว่านี่ถือเป็เื่ที่น่ายกย่องไม่น้อย
ซูฉางอันแบกดาบเอาไว้บนแผ่นหลัง จากนั้นมองสำรวจไปรอบๆห้อง จนเมื่อมั่นใจว่าไม่ลืมอะไรแล้ว จึงหมุนตัว แล้วเดินออกมาจากห้องในที่สุด
เมื่อเปิดประตูสำนักออกมา เขาพบว่ามีรถม้าจอดรออยู่ั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
“คงจะเป็คุณชายซูสินะขอรับ”ชายที่แต่งกายคล้ายองครักษ์ประสานมือเข้าด้วยกันเป็เชิงทำความเคารพแล้วหันมาพูดกับซูฉางอัน
ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกไป “อืม ข้าเอง”
“โปรดขึ้นรถม้าด้วยขอรับข้าได้รับคำสั่งจากองค์ชายห้าให้มารับท่าน” องครักษ์บอก
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้ารับเขากำลังกังวลว่าตนจะไปที่วังไม่ถูกอยู่พอดีมีคนมารับเช่นนี้นับว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว เขาไม่รอช้า รีบก้าวขึ้นไปบนรถม้าทันที
นี่เป็รถม้าที่มีคุณภาพดีมาก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือองครักษ์ที่เป็คนขับรถม้าคันนี้ มีฝีมือการบังคับรถม้าที่ยอดเยี่ยมเหลือเกินเพราะซูฉางอันที่นั่งอยู่ในรถไม่รู้สึกส่าย หรือกระแทกเลยแม้แต่น้อย
แต่เขากลับรู้สึกเบื่อนิดหน่อย เมืองฉางอันช่างกว้างใหญ่และด้วยความเร็วของรถม้า กว่าจะไปถึงวังหลวง คงต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามเลยทีเดียวเขารู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้พาหรูเยว่มาด้วย แน่นอนนั่นไม่ได้เป็เพราะเขาไม่อยากพานางมาด้วยหรอกนะแต่ดูเหมือนหรูเยว่จะไม่อยากมาด้วยสักเท่าไรนัก ดังนั้น เขาไม่อยากฝืนบังคับนางมาด้วยนั่นเอง
เขาเคยพยายามพูดคุยกับองครักษ์ผู้นั้นอยู่หลายครั้งแต่แม้ชายคนนั้นจะมีอายุน้อย ทว่ากลับเอาแต่พูดประจบประแจงและพูดชมเขาท่าเดียวไม่จริงใจเลยสักนิด
ดังนั้น หลังคุยกันได้เพียงไม่ถึงสิบห้านาที ซูฉางอันก็เบื่อเสียแล้ว
ภายใต้บรรยากาศแสนเงียบงันในที่สุดรถม้าก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางเสียที... ประตูจูเชว่
นี่เป็ประตูหน้าของวังหลวงแห่งแผ่นดินต้าเว่ยและเป็ที่พำนักขององค์จักรพรรดิผู้แสนยิ่งใหญ่
ซูฉางอันเดินลงจากรถม้า ก่อนจะพบว่าเบื้องหน้ามีผู้คนยืนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
“คุณชายซู เชิญทางนี้ขอรับ” องครักษ์คนนั้นเอ่ยขึ้นแล้วพาซูฉางอันเดินไปทางขวาของฝูงชน
ที่นั่นมีวัยรุ่นทั้งชายและหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับซูฉางอันอยู่เต็มไปหมด
“ตรงนี้เป็ตัวแทนจากสำนักต่างๆ ขอรับ อีกเดี๋ยวคุณชายซูก็เดินเข้าไปในงานพร้อมกับคนเหล่านี้ได้เลยองค์หญิงกับองค์ชายห้ารออยู่ภายในงานแล้ว ข้าน้อยต้องขอตัวลาไปก่อน”องครักษ์คนนั้นกล่าวลา
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้า แล้วพูดขอบใจเขาอีกครั้ง
เขาหันไปมองกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นให้ได้ยิน
“ฉางอัน! ฉางอัน!”
มันเป็เสียงเรียกของหญิงสาวซึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยเป็อย่างมากซูฉางอันสอดส่องสายตาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำเสียที
“ทางนี้! ข้าอยู่ทางนี้!”เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดซูฉางอันก็มองเห็นหญิงสาวที่กำลังะโโหยงๆ แล้วโบกมือมาให้ตนเสียที
เขาะเิความดีอกดีใจขึ้นแล้วเดินแทรกเข้าไปหาเ้าของเสียงทันที
เมื่อเดินไปถึงจุดหมายเสื้อผ้าบนร่างก็แลดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยแล้ว
แต่เขากลับดีใจมาก แน่นอนว่านั่นเป็เพราะใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่แสนคุ้นเคยตรงหน้านั่นเอง
“สหายกู่ โม่โม่ จี้เต้า ลิ่นหยู พวกเ้าก็มากันด้วยรึ?” เขาบอกแบบนั้น
“ทำไมพวกเราจะมาไม่ได้ละ?” จี้เต้ากลอกตามองบน แล้วพูดเหน็บแนมอย่างไม่สู้พอใจนัก “เ้าคิดว่าตัวเองเก่งคนเดียวหรือไงในสำนักของพวกเราก็มีหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่มากมายเช่นกัน”
ซูฉางอันรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาเกาหัวตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูกและเตรียมจะอธิบาย
แต่กู่หนิงที่อยู่ข้างกันกลับพูดระคนหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน“สหายซู อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของจี้เต้าเลย แม้พวกเราจะถือเป็ศิษย์ที่อยู่ในระดับกลางจนถึงแนวหน้าของสำนักแต่ก็ยังไม่มีสิทธิ์จะเข้าร่วมงานฉลองพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดิหรอก ที่เรามาอยู่ที่นี่ได้ก็เป็เพราะสหายซูนั่นแหละ”
“หืม?” ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “นี่มันเกี่ยวกับข้าอย่างไรรึ?”
“เ้าโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่เนี่ยเ้าเป็ลูกศิษย์ของมั่วทิงอวี่ ศิษย์หลานของอวี้เหิง เป็จอมดาราแห่งงานหลอมดาวเมื่อไม่นานมานี้ เ้ายังช่วยชีวิตโหวเยน้อยแห่งตระกูลกู่เอาไว้อีก”จี้เต้าชิงพูดขึ้น “เ้าเป็ทายาทเพียงคนเดียวของสำนักเทียนหลานต่อไปเ้าจะกลายเป็คนที่มีอำนาจมากที่สุดในสำนักเทียนหลานแล้ว ส่วนพวกเราเคยเป็เพื่อนร่วมชั้นกับเ้ามาก่อนที่สำนักส่งพวกเรามาแบบนี้ก็เพื่อประจบประแจงเ้าอย่างไรละ”
“นั่นน่ะสิข้าได้ยินมาว่าผู้าุโฉู่กลายเป็นักรบแห่งดาราจักรแล้ว เป็เื่จริงหรือเปล่า?” ซูโม่ที่อยู่ข้างกันถามขึ้น
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้า “แต่เขากลับเจียงตงไปแล้วละ”เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆ ซูฉางอันก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแม้ฉู่ซีฟงจะเข้มงวดมาก แต่ซูฉางอันก็ชื่นชอบเขาเหลือเกินเขาเป็หนึ่งในนักดาบในดวงใจของซูฉางอัน และเป็นักดาบเพียงคนเดียวที่ซูฉางอันเห็นว่าสามารถเทียบชั้นกับมั่วทิงอวี่ได้
“สัญญาระหว่างตระกูลฉู่กับองค์จักรพรรดิใกล้ครบกำหนดร้อยปีแล้วยิ่งตอนนี้เขาก็กลายเป็นักรบแห่งดาราจักรฝ่าาย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาอยู่ในเมืองฉางอันต่อไปเป็แน่”กู่หนิงพูดต่อด้วยคิ้วขมวดมุ่น
“ครบกำหนดร้อยปี?” ซูฉางอันจำได้ลางๆ ว่าอาจารย์อวี้เหิงเคยพูดเื่นี้เช่นกันทว่าเขายังไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัด เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉางอันก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “สัญญาที่มีกำหนดหนึ่งร้อยปีนั่นคืออะไรกันแน่? ทำไมเมื่อเลื่อนระดับขึ้นไปเป็นักรบแห่งดาราจักรแล้วผู้าุโฉู่ถึงอยู่ในเมืองฉางอันต่อไปไม่ได้?”
“เ้าไม่รู้รึ? ผู้าุโฉู่ไม่เคยพูดเื่นี้กับเ้าเลยรึ?” กู่หนิงประกายความประหลาดใจออกมาทางสีหน้า
ซูฉางอันเตรียมจะส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่จู่ๆ ฝูงคนรอบๆก็มีพากันชี้ไปในจุดที่ไม่ไกลออกไปนัก แล้วพูดซุบซิบขึ้นมาเสียก่อน
เมื่อหันกลับไปมอง พวกเขาก็พบกับรถม้าคันหนึ่งที่เพิ่งจอดอยู่หน้ากลุ่มตัวแทนจากสำนัก
ร่างของใครคนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้าอย่างเชื่องช้า
เป็บุรุษที่มีอายุประมาณยี่สิบปีผู้หนึ่ง เขามีดวงตาสว่างไสวราวกับดวงดาราคิ้วคม จมูกโด่งราวกับพระจันทร์เสี้ยว เขาสวมชุดที่ทำมาจากผ้าชั้นดีสีดำ และมีหอกยาวสีแดงแนบอยู่ติดแผ่นหลัง
สายลมพัดผ่านลูบให้ชายเสื้อของเขาปลิวไสว บุรุษผู้นั้นยืนตระหง่านอยู่กับที่คล้ายตัวเขาและหอกยาวหลอมรวมกันจนกลายเป็หนึ่งไปแล้วเช่นนั้น ขณะที่ไอเย็นกระจายออกมาอย่างต่อเนื่องพวกเขาััได้อย่างชัดเจน ราวกับไอที่แสนเยือกเย็นเหล่านี้เป็วัตถุที่จับต้องได้จริงเช่นนั้น
“มู่กุยอวิ๋น”
“เขาเป็ที่หนึ่งในอันดับปฐี”
“บุตรของเสนาบดี”
ซูฉางอันได้ยินถ้อยคำเหล่านี้อย่างเลือนรางจากเสียงกระซิบของฝูงคน
“มู่กุยอวิ๋น” เขาครางชื่อนั้นเบาๆ แน่นอน เขารู้จักบุรุษผู้นี้นี่เป็ชื่อที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งเมื่อไม่นานมานี้
เขามีฉายาอยู่มากมาย
แต่ฉายาที่โด่งดังมากที่สุดของเขาก็คือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์หลังจากที่มั่วทิงอวี่สิ้นชีพลงนั่นเอง
แต่เพราะมั่วทิงอวี่ตายไปแล้วจึงไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขาและมั่วทิงอวี่ ใครเป็ผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่ากันแต่คนผู้นี้แข็งแกร่งมากจริงๆ องค์จักรพรรดิเคยตรัสว่าในคนรุ่นเดียวกันมีเพียงกู่เซี่ยนจวินแห่งดินแดนทางเหนือผู้เดียวเท่านั้นที่มีพร์สูงส่งจนสามารถเทียบชั้นกับเขาได้
แต่เพราะกู่เซี่ยนจวินมีอายุน้อยกว่าเขาหลายปี บุรุษผู้นี้จึงนับเป็ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานในหมู่คนรุ่นใหม่ไปโดยปริยาย
ซูฉางอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเขาอยากรู้ว่ายอดอัจฉริยะผู้เทียบชั้นกับอาจารย์ของตนได้ เก่งกาจมากเพียงไร
ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงระฆังพลันดังยาวออกมาจากพระราชวัง
“งานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดิเซวียนเต๋อหวู่เวยแห่งแผ่นดินต้าเว่ยเริ่มขึ้นณ บัดนี้!”
“เชิญแขกทุกท่านที่หน้าพระราชวังเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิได้”
เสียงแหลมๆ ของใครบางคนดังขึ้นตามมา
ซูฉางอันรับรู้ในทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้