เมื่อมองตามหลังของมู่หลิงจู ซูปี้ชิงรู้สึกกังวลเล็กน้อยพลางหันไปหาป้าหลี่และพูดว่า “วันนี้ป้าหลี่ไปติดตามจูเอ๋อร์เพื่อช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับนาง”
ป้าหลี่พยักหน้า และตามมู่หลิงจูขึ้นไป
พอเห็นซูปี้ชิงทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ มู่อวิ๋นจิ่นอดมิได้ที่จะถอดถอนใจ ลูกในไส้กับลูกเลี้ยงช่างมีความแตกต่างมากมายถึงเพียงนี้
...
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นทานอาหารเช้าเสร็จและกลับไป จื่อเซียงก็มองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยใบหน้าที่งุนงง ก่อนจะยืนพิงประตูแล้วพูดว่า “คุณหนู ตื่นแต่เช้าเพื่อทานอาหารเช้ากับนายท่านหรือเ้าคะ?”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นยืดตัวและเดินเข้าไปในห้องนอน
จื่อเซียงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่อวิ๋นจิ่นจึงทำเช่นนี้ เมื่อนาง้าจะถามต่อ มู่อวิ๋นจิ่นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนลงแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นหลับลึกมากในครั้งนี้ จนกระทั่งมีเสียงบางอย่างที่ด้านนอกประตูพยายามปลุกมู่อวิ๋นจิ่นจากการหลับใหล เมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างนอกแล้ว นางก็พลันขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
จู่ ๆ ด้านนอกมีเสียงครึกโครมดังสนั่น
“อวิ๋นจิ่นออกมาเร็ว ๆ เ้าปฏิบัติต่อข้าแบบนี้ไม่ได้ เ้าลืมคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับข้าในตอนนั้นแล้วหรือ?”
มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งนั่งอยู่บนเตียงอดไม่ได้ที่จะใเมื่อนางได้ยินเสียงนี้ คิ้วก็พลันขมวดเข้ากันเป็ปม
นี่ไม่ใช่เสียงของมู่อี้หยางหรือ?
“จิ่นเอ๋อร์ จิ่นเอ๋อร์ เ้าจะแต่งงานกับองค์ชายหกไม่ได้ เ้าเป็ของข้าแล้ว เ้าจะทิ้งข้าไปแต่งงานกับองค์ชายหกได้อย่างไร” เสียงของมู่อี้หยางดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกเย็นะเืในใจ นางเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมรองเท้าก่อนจะผลักประตูห้องนอนออก
ในลานของเรือนบุปผาภิรมย์ มีเว่ยหานเฉียวคอยสนับสนุนมู่อี้หยาง ในขณะที่จื่อเซียงยืนอย่างมั่นคงต่อหน้ามู่อี้หยาง เพื่อป้องกันไม่ให้มู่อี้หยางเข้าใกล้ห้องนอนของมู่อวิ๋นจิ่น
เว่ยหานเฉียวกับมู่อี้หยางได้ยินเสียงมู่อวิ๋นจิ่นดังขึ้นก็รีบอ้าปากต่อว่าทันที “มู่อวิ๋นจิ่น เ้าคนชั่วช้าหน้าไม่อาย บังอาจทำเื่เลว ๆ เพื่อยั่วยวนพี่ชายแท้ๆ ของเ้า! เ้านี่มันนางแพศยาโดยแท้!
“ท่านแม่ อย่าดุอวิ๋นจิ่นไปเลย ข้ากับอวิ๋นจิ่นรักกันจริงๆ” หลังจากพูดเช่นนั้น มู่อี้หยางก็คุกเข่าลงต่อหน้าเว่ยหานเฉียว
มู่อวิ๋นจิ่นสับสนจนขมวดคิ้วมุ่น และเมื่อนางกำลังจะพูดก็เหลือบไปเห็นอัครเสนาบดีและซูปี้ชิงเดินเข้าไปในบ้านด้วยความโกรธ จากนั้นได้ยินเพียงเสียงพูดที่เหมือนเสียงคำรามอยู่กลายๆ ของอัครเสนาบดีมู่
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
...
“ท่านพ่อช่วยให้ลูกกับจิ่นเอ๋อร์สมปรารถนากันด้วยเถิด ครั้นเมื่อจิ่นเอ๋อร์ถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนมวลบุปผา นางได้มอบหัวใจของนางให้ลูกแล้ว ขอร้องท่านอย่าได้ให้นางแต่งกับองค์ชายหกเลย” มู่อี้หยางคุกเข่ากลางห้องโถงด้านหน้า และเมื่อพูดถึงมู่อวิ๋นจิ่น อี้หยางก็น้ำตาไหลออกมา
ด้านข้าง เว่ยหานเฉียวยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาและตบไปที่ตัวมู่อี้หยางสองสามครั้ง “เ้าสารเลว! อวิ๋นจิ่นเป็น้องสาวของเ้าเอง เ้าจะทำอะไรกับนาง!”
เมื่อฟังคำพูดของมู่อี้หยางและเว่ยหานเฉียวที่พูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง อัครเสนาบดีมู่ก็ยื่นมือออกไปตบโต๊ะเสียงดัง “ปัง” ทันใดนั้นถ้วยชาบนโต๊ะก็กลิ้งลงมาตกพื่นแตกเป็เสี่ยงๆ!
ั้แ่วินาทีที่เขาได้ยินคำพูดของมู่อี้หยาง เขาก็รู้สึกว่าความดันโลหิตของตัวเองสูงขึ้นจนรู้สึกแน่นหน้าอก ลมหายใจก็ติดขัดอึดอัดไปหมด
ซูปี้ชิงที่นั่งข้างอัครเสนาบดีมู่ ขมวดคิ้วมองไปที่เว่ยหานเฉียวอย่างไม่พอใจ “ท่านพี่ช่างเลี้ยงบุตรชายมาดีเหลือเกิน! เหตุใดเขาจึงกล้าล่อลวงน้องสาวแท้ๆ เช่นนี้!”
“บอกมาเดี๋ยวนี้ พวกเ้ามีความสัมพันธ์กันไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
เมื่อมู่อี้หยางได้ยินอัครเสนาบดีมู่พูดดังนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววของความขี้ขลาดออกมา และพลันหลุบตาลงทันที โดยที่ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“พูดมาเดี๋ยวนี้!” แม้แต่อัครเสนาบดีมู่ก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาตบโต๊ะอีกครั้งแล้วพูดขึ้น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มู่อี้หยางดูเหมือนจะรวบรวมความกล้าของตัวเองก่อนจะมองมายังมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความรักใคร่ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ข้าได้ทำทุกอย่างที่ควรทำแล้ว...”
“จิ่นเอ๋อร์ ไม่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป”
คำพูดของมู่อี้หยางส่งผลให้บรรยากาศด้านหน้าห้องโถงยิ่งคุกรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคสุดท้ายที่พูดไว้… ด้านนอกมู่หลิงจูกับองค์ชายสี่ฉู่เย่ที่กำลังเดินเข้าประตูมา ได้ยินที่มู่อี้หยางพูดต่างหยุดชะงักก้าวขาไม่ออก
“เ้าคนสารเลว! เ้ามันชั่วช้า!” อัครเสนาบดีมู่ตะคอกจนรับรู้ถึงกลิ่นคาวเืในลำคอ เขารีบหยิบแก้วน้ำชาเขวี้ยงใส่หัวมู่อี้หยาง
เว่ยหานเฉียวรีบเข้าไปบังมู่อี้หยางเอาไว้ เอ่ยปรามเสียงสนั่น “ต้องเป็นางแพศยามู่อวิ๋นจิ่นที่ยั่วยวนอี้หยางก่อนแน่ เพราะอย่างน้อยอี้หยางก็เป็ถึงองค์ชายรอง สตรีแบบไหนที่อี้หยางไม่เคยพบเจอเล่า?”
“ต้องเป็นางแน่ๆ อยากใช้ฐานะคุณชายรองของมู่อี้หยาง เพื่อจะได้ตั้งตัวในจวนได้!” เว่ยหานเฉียวพูดไปพลางกวาดสายตาจ้องมู่อวิ๋นจิ่นไปพลาง
มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งนั่งดูการแสดงอยู่ข้างสนาม ทันทีที่หันมาสบตากับเว่ยหานเฉียว นางก็พลันคิดได้ว่า
นางเอกของฉากนี้น่าจะเป็นาง
เมื่อมองไปรอบๆ ตัว คนที่ควรจะมาก็ครบถ้วนกันหมดแล้ว
ั้แ่ย้อนเวลากลับมายุคโบราณ ในอาณาจักรซีหยวนแห่งนี้ ช่างมีละครฉากสนุกให้ได้พบเจอแทบทุกวี่ทุกวัน
“พี่สาวกับพี่ชายเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” มู่หลิงจูขมวดคิ้วพลางมองไปที่มู่อี้หยางและมู่อวิ๋นจิ่น
เมื่อได้ยินเสียงของมู่หลิงจู อัครเสนาบดีมู่ก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก่อนจะเห็นฉู่เย่ยืนอยู่ข้างมู่หลิงจู ครั้นเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
“ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่เสด็จมาที่นี่ ต้องขออภัยอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีมู่รีบลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยปาก
ฉู่เย่แสยะยิ้มอย่างเืเย็นจับจ้องไปที่อัครเสนาบดีมู่ “วันนี้เปิ่นหวงจื่อมาได้ยินเื่นี้เข้าโดยมิได้ตั้งใจ ในเมื่อเจอเข้าแล้ว เปิ่นหวงจื่ออยากฟังต่ออีกหน่อย”
“อย่างไรก็ตาม… มันเกี่ยวกับน้องหกและเป็เื่ของราชวงศ์” หลังจากที่ฉู่เย่พูดจบก็หาเก้าอี้ แล้วนั่งลงไม่พูดไม่จา
อัครเสนาบดีมู่สีหน้าถอดสีขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ว่าเื่นี้จะจริงหรือไม่ก็ตามมันเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับลูก ๆ ของตระกูลมู่ เมื่อมันแพร่กระจายออกไป คนในตระกูลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของอวิ๋นจิ่น
ถ้าเื่นี้ไปถึงหูขององค์ชายหก การหมั้นหมายอาจกลายเป็โมฆะ
หากลองใคร่ครวญดีๆ อัครเสนาบดีมู่เพิ่งรับรู้ว่าเื่นี้มีความร้ายแรงอย่างมาก
มู่อวิ๋นจิ่นไม่คิดอะไรมากมายทั้งนั้น นางเพียงนั่งยกขาไขว้กันชมเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์พร้อมยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม “พี่ชายรอง ใครสอนให้พี่ทำแบบนี้กัน?”
“ขอคิดดูก่อน คนคนนั้นคงจะมอบผลประโยชน์ให้แก่พี่รอง พี่รองจึงจงใจทำลายชื่อเสียงของข้า ปล่อยให้องค์ชายหกถอนหมั้นและไม่แต่งงานกับข้า เพื่อบรรลุจุดประสงค์บางอย่างใช่หรือไม่”
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ นางก็มองไปที่มู่หลิงจูและซูปี้ชิง
“จิ่นเอ๋อร์ บัดนี้เ้าคิดอาจเอื้อมในตัวองค์ชายหก ช่างน่าดูแคลนเสียจริง เ้าลืม่เวลาที่พลอดรักในอ้อมอกข้า เอ่ยวาจาอ่อนหวานกันแล้วหรือ?” มู่อี้หยางเอ่ย
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายเหล่านี้ แทนที่มู่อวิ๋นจิ่นจะรู้สึกกระดากอาย ทว่านางกลับแสดงท่าทีเย้ยหยัน “เื่โกหกพกลมทั้งเพ ยังกล้าเล่าได้เต็มปากเต็มคำเชียวหรือ?”
“ไม่ว่าข้าจะมีร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมหรือไม่ก็ตาม องค์ชายหกจะรู้เอง เพราะตัวข้าเองจะถูกทดสอบในวันอภิเษก อาจเป็ไปได้หรือไม่ว่าเ้าเจตนาสร้างเื่นี้ขึ้น”
คำพูดที่ฟังดูตรงไปตรงมาของมู่อวิ๋นจิ่น ทำให้ทุกคนในโถงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นกอดอกก่อนจะเบนสายตาไปทางมู่อี้หยาง และพูดอย่างสุภาพว่า “มู่อี้หยาง ในเมื่อเ้ากล้าเป็ปืนของคนอื่น เ้าก็ต้องพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ”
“วันนี้ข้า… มู่อวิ๋นจิ่นขอลั่นวาจาไว้ตรงนี้ประเดี๋ยวให้หาแม่นมที่มีประสบการณ์สูงมาตรวจร่างกายข้า! หากข้าไม่บริสุทธิ์อย่างที่มีคนกล่าวหา ข้าก็พร้อมรับผิดชอบเื่นี้แต่เพียงผู้เดียว และเื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนที่จวนทั้งนั้น”
“แต่หากพิสูจน์ได้ว่าคำพูดของเ้าเป็การหลอกลวง ข้าจะตัดตอนและจับเ้าเปลือยกายแขวนประจานต่อหน้าผู้คนเป็เวลาเจ็ดวันบนหอคอยกลางเมือง”
“ว่าไงเล่า เ้ากล้าหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้มู่อี้หยางก็กลืนน้ำลายอีกใหญ่ ความตื่นตระหนกฉายชัดในแววตา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พยักหน้า
“จิ่นเอ๋อร์ เื่ของเ้ากับข้า มีเพียงเ้าเท่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจ เหตุใดต้องสาบานเด็ดขาดถึงเพียงนี้!” มู่อี้หยางกล่าวอย่างไม่ลดละ
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มพลางเลิกคิ้ว “ใช่ เ้าและข้าย่อมรู้ว่าอะไรคือความจริง”
“มานี่ ไปเชิญแม่นมชรามา”
...
ในระหว่างขั้นตอนการเชิญแม่นมชรา ทุกคนในห้องโถงด้านหน้าก็ต่างมีความคิดที่แตกต่างกัน
มู่หลิงจูจ้องมู่อี้หยางที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เป็ฝีมือที่ร้ายกาจของไทเฮา หวังจัดการให้ใส่ร้ายมู่อวิ๋นจิ่นให้ไม่ต้องผุดต้องเกิดกันไปเลย
แม้ว่าพวกเขาจะรอเพื่อยืนยันว่ามู่อวิ๋นจิ่นสมบูรณ์แบบ ทว่าทุกคนก็ยังสงสัยว่านางได้ทำสิ่งที่คลุมเครือกับ มู่อี้หยางหรือไม่
ใน่เวลาอันสั้นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของมู่อวิ๋นจิ่นดูแย่ลง
ไม่แน่ว่าเื่ในครั้งนี้องค์ชายหกอาจถอนหมั้นหมาย ถึงตอนนั้นโอกาสของมู่หลิงจูก็จะมาถึง
หลังจากนั้นไม่นาน หญิงชราหลายคนก็รีบวิ่งเข้ามาทางด้านหน้าประตู และเมื่อเข้ามาแล้ว พวกนางก็ได้โค้งคำนับทุกคน จากนั้นหญิงชราที่คาดว่าน่าจะเป็หัวหน้าก็พูดกับมู่อวิ๋นจิ่นว่า “คุณหนูสาม โปรดมากับเราเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า และลุกขึ้นยืน
ขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องโถง ก็มีเสียงเสียงหนึ่ง ดังอยู่ข้างนอกประตู
“รอเดี๋ยว!”
ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะอ่อนสีเงินเดินเข้ามา คิ้วดาบตรงตั้งตรง ใบหน้าสงบนิ่งทว่าแฝงไปด้วยความเฉียบคมไว้ในดวงตา
“อวิ๋นหาน ทำไมเ้าถึงกลับมาตอนนี้?” เมื่ออัครเสนาบดีมู่และซูปี้ชิง เห็นคนที่มาใหม่ พวกเขาก็นั่งลงด้วยความดีใจระคนตื่นเต้นในคราวเดียวกัน
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วมองผู้มาเยือน พี่ใหญ่มู่อวิ๋นหานงั้นหรือ?...
มู่อวิ๋นหานจ้องมองไปทางมู่อวิ๋นจิ่น คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ใบหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจเป็อย่างมาก
“ท่านพี่...” มู่อี้หยางซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเมื่อเห็นมู่อวิ๋นหานที่กลับมากะทันหัน
เดิมทีคิดว่ามู่อวิ๋นหานจะทักทายมู่อี้หยางเหมือนที่เคยทำ แต่แล้วเขากลับพุ่งเข้าไปยกเท้าถีบมู่อี้หยางอย่างแรงจนเกลือกกลิ้งไปบนพื้นแล้วกระอักเืออกมา
“อวิ๋นหาน เ้า...” อัครเสนาบดีมู่ขมวดคิ้ว ค่อนข้างงุนงงกับสิ่งที่มู่อวิ๋นหานกำลังทำ
โดยไม่คาดคิด มู่อวิ๋นหานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองมู่อวิ๋นจิ่น และพูดอย่างเหยียดหยามว่า “มู่อวิ๋นจิ่น เ้าสาบานเถิด! ว่าแม้แต่คนงี่เง่าแบบนี้เ้าก็ยังรับมือไม่ได้!”
มู่อวิ๋นจิ่นผงะไปครู่หนึ่ง ดวงตาของนางแสดงความประหลาดใจ มู่อวิ่นหานอยู่ข้างนางงั้นหรือ?
หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นหานก็พูดอีกครั้ง “อวิ๋นจิ่นเป็น้องสาวของข้า ไม่ควรมีใครคิดวางแผนต่อต้านนาง!”
“อวิ๋นหาน เ้าเพิ่งกลับมาอาจยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ อวิ๋นจิ่นและน้องชายคนรองของเ้า...” ซูปี้ชิง เห็นความโกรธที่เล็ดลอดออกมาจากร่างของมู่อวิ๋นหานเลยพยายามจะอธิบาย
โดยไม่คาดคิด ก่อนที่นางจะพูดจบ มู่อวิ๋นหานก็พูดจาเย้ยหยันออกมาเสียก่อน “เ้าคิดว่าอวิ๋นจิ่นเป็ใคร?”
หลังจากพูดจบ อวิ๋นหานก็มองไปที่หญิงชราที่ยืนอยู่ข้างมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความไม่พอใจ “ไปให้พ้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกนางก็พากันวิ่งหนีด้วยความใกลัวทันที
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นพี่ชายคนโตยืดอกปกป้องนาง นับเป็ความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ใหญ่รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่พี่รองบอกว่าเขากับพี่สาวมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ตอนนี้พี่สาวให้ไปหาแม่นมที่มีประสบการณ์มาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของร่างกายนาง เพื่อจะได้ให้คำตอบกับองค์ชายหก!”