“ท่านชายหลิวมาด้วยหรือขอรับ” หลิวจงหยวนทักทายแล้วชี้หอคอยอาชาขาวที่ด้านหลัง
หลิวอวี่หลางยิ้มรับ “ได้ยินว่าเกิดเื่ที่นี่ ข้าถึงได้มาดูเสียหน่อย”
“แต่ว่าท่านไม่ได้เข้าไปดูนี่ขอรับ” หลิวจงหยวนนิ่ง ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าท่านชายหลิวแล้วจึงเข้าใจบางอย่าง เขาเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านชายหลิวรู้ผลอยู่แล้วหรือขอรับ?”
หลิวอวี่หลางพยักหน้า เขาตอบ “ค่อนข้างจะเดาออก เย่โหวเหย่กระทำการใดล้วนเกินความคาดหมายของคนอื่นนัก และน้อยครั้งที่จะทำสิ่งใดโดยไม่มั่นใจ เหมือนกับคราวที่แล้วที่เขาเผชิญหน้าเยี่ยนปู้หุยก็หนีรอดมาได้ ข้าเลยคิดว่าต่อให้ต้องเผชิญหน้าผีกลุ้ม เขาก็จะรับมือไหวอยู่ดี”
หลิวจงหยวนเลื่อมใสในความคิดของบัณฑิตหอบัญชาการท่านนี้มานานแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า “ถูกต้อง จางซานโกรธจนคลุ้มคลั่ง เขาลงมือด้วยตัวเอง แต่ว่าดูไม่ได้เปรียบอะไรเลยแม้แต่น้อย น้องเย่เพียงาเ็ภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น เคลื่อนปราณควบคุมลมหายใจสักชั่วยามสองชั่วยามก็น่าจะฟื้นฟูได้แล้ว” เอ่ยถึงตรงนี้ หลิวจงหยวนก็เสริมอย่างฉงน “ท่านชายหลิว พลังของน้องเย่นั้น ที่จริงแล้ว...”
หลิวอวี่หลางส่ายหน้าดิก “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก เขาอาจมีไพ่ซ่อนไว้ในมือ ไม่กลัวเกรงยอดฝีมืออาณาทะเลระทมปลอม โหวเหย่เยาว์ผู้นี้ดวงพิเศษมาก ชะตายิ่งพิเศษยิ่งกว่า ข้าอ่านเขาไม่ออก แต่หากมองจากที่ข้าเห็นตรงหน้านี้ เขามิใช่คนที่กำเนิดมาเพื่อให้จมปลักอยู่ในบ่อน้ำเท่านั้น เขาเพียงกำลังจำศีลบำเพ็ญตบะ เมื่อเวลานั้นมาถึง ผ่านมรสุมจนกลายเป็ั สยายปีกแผ่แสนยานุภาพเก้าทิวา สัมฤทธิ์ทุกสิ่งในวันข้างหน้าหรือไม่นั้น พวกเราคนใดเล่าจะทำนายได้”
คำประเมินเช่นนี้นับได้ว่าสูงลิ่วแล้ว
หลิวจงหยวนไม่เคยได้ยินคำชื่นชมเกินจริงเช่นนี้จากท่านชายหลิวจงหยวนมาก่อน
“วันนี้เ้าเป็ปรปักษ์กับจางซานแล้วหรือ?” หลิวอวี่หลางถามกลั้วหัวเราะ
หลิวจงหยวนพยักหน้า สีหน้าไม่ค่อยสู้ดี “เป็เื่เร่งด่วนขอรับ หัวหน้าจางพาลเกินไป ข้านึกว่าเย่โหวเหย่เป็เหยื่อเข้าแล้ว ถึงได้...”
“เ้าได้อย่างเสียอย่าง อาจเป็เื่ดีสำหรับเ้าก็เป็ได้ จางซานคนนั้นโปรดปรานการเข่นฆ่าและนองเื หลังจากนี้ไปเ้าต้องระวังตัวให้ดี” หลิวอวี่หลางกำชับสองประโยค แล้วเสริมว่า “ในเมื่อเ้าเลือกเย่โหวเหย่ ไฉนเ้าไม่เดินเส้นทางสายนี้ไปจนสุดทางเสียเล่า ภพแสนวิเศษอาจรอเ้าอยู่”
หลิวจงหยวนพยักหน้า “ขอบพระคุณท่านที่ชี้นำ”
พลทหารคู่ใจด้านหลังเขาสองสามนายได้ยินบทสนทนานี้แล้ว นอกเหนือจากความตื่นตระหนกแล้ว พวกเขายังได้ข้อมูลมามากมาย ความตะลึงลานภายในใจกลับห่างหายไป พวกเขาเป็ทหารคู่ใจของหลิวจงหยวน ไม่เพียงพลังเลิศล้ำเท่านั้น จิตใจยังงดงามอีกด้วย เมื่อได้ยินคำเช่นนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าสิ่งที่แม่ทัพทำไปวันนี้ทั้งหมด มิใช่เพราะความวู่วาม แต่เป็การตัดสินใจที่ไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบก่อนแล้ว
เย่โหวเหย่ผู้นั้น จะสามารถงัดข้อกับั์ใหญ่เช่นจางซานได้จริงๆ น่ะหรือ?
ไม่ว่าอย่างไร ในใจของพวกเขาทุกคนล้วนแจ่มชัดว่าจะทำตามสิ่งที่แม่ทัพหลิวจงหยวนได้เลือกแล้ว ชะตาชีวิตของพวกเขาได้ผูกเข้ากับการกระทำของเ่ิูไปเรียบร้อยแล้ว
พูดคุยกันอีกสองสามคำ หลิวจงหยวนก็คำนับอำลา แล้วรีบรุดไปเข้าเวรที่ค่าย
หลิวอวี่หลางจะซิ่งเอ๋อร์กลับเดินไม่ช้าไม่เร็ว
ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะโปรยปราย
ซิ่งเอ๋อร์หยิบร่มกระดาษมันขึ้นมา เขย่งเท้าเพื่อกางร่มให้หลิวอวี่หลาง ั์ตาสีดำกลอกไปมา ใบหน้าเล็กหมดจดเผยแววสงสัยสุดซึ้ง เขาถาม “ท่านชายหลิว จางซานคนนั้นได้รับาเ็จริงๆ ใช่ไหม?”
“เ้าเด็กนี่ รู้ทั้งรู้อยู่แล้ว ยังต้องถามข้าอีกหรือ?” ท่านชายหลิวว่าแกมหยอก “พลังและการฝึกฝนของเ้าเหนือกว่าข้ามาก แต่กลับมาถามข้าเสียได้ เ้าจงใจจะหลอกตาคนแก่กระนั้นหรือ?”
ซิ่งเอ๋อร์แลบลิ้นใส่ “ท่านชายหลิวเป็เซียนภาพ สายตาคมกริบที่สุดแล้วขอรับ”
หลิวอวี่หลางเอ็นดูเด็กหนังสือประจำตัวผู้นี้มาก เขาหัวเราะแล้วว่า “อืม จางซานาเ็จริง แล้วยังเจ็บไม่เบาด้วย เ่ิูคนนี้ นับวันยิ่งอ่านทางไม่ออกขึ้นทุกที วันนี้ที่เขากลับมาด่านโยวเยี่ยน แล้วเห็นหน้าข้า บอกเล่าทุกอย่างที่เขาเผชิญมาให้ข้าฟัง ประโยคแรกที่เขาถามคืออาณาการฝึกวิทยายุทธ์ของจางซาน เห็นทีว่าตอนนี้ เขาคงคาดการณ์เื่ในวันนี้ไว้ก่อนแล้ว ความคิดน่ากลัวเหลือเกินนะ”
ซิ่งเอ๋อร์ฮึดฮัด เขาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “ท่านจะประเมินเ้าคนนั้นสูงเกินไปแล้วขอรับ เขาอาจกลัวจางซานจะแก้แค้น ถึงได้ถามเอาข้อมูลจากท่านก่อนเช่นนั้น”
หลิวอวี่หลางหรี่ตามองเด็กหนังสือ เขายิ้ม “ที่เ้าพูดก็อาจเป็ไปได้ แต่ไม่พูดเื่นี้ แล้วมองเื่ที่เ่ิูจงใจยั่วจางซานให้ลงไม้ลงมือสิ มันควรเป็แผนการที่เขาวางไว้หมดแล้ว จางซานมาพบเ่ิู คือความยากลำบากของเขา จะผ่านไปได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับดวงของเขา”
“ความยากลำบากของจางซาน?” ซิ่งเอ๋อร์ถลึงตา “ท่านชายจะพูดเกินไปแล้วมั้งขอรับ?”
หลิวอวี่หลางหัวเราะ เขาไม่เอ่ยอะไรอีก
เห็นหิมะโปรยปรายในอากาศแล้ว ใจของเขาค่อยๆ สงบขรึมขึ้นมา
ผลกระทบของสามหมัดในหอคอยอาชาขาว ในที่สุดก็เป็รูปเป็ร่างออกมาแล้ว หากด่านโยวเยี่ยนเป็ถังดินปืนที่กำลังถูกบีบอัดและกลั่นได้ที่แล้วล่ะก็ เช่นนั้นการกระทำของเ่ิูในวันนี้ ก็อาจกลายเป็คบเพลิงแรกที่เผาหม้อดินปืนใบนี้ะเิกระจุย
และตอนนี้ เปลวเพลิงก็กำลังแผดเผา
...
...
ฝ่ายพลาธิการ
จวนใหญ่ของหัวหน้า
จางซานเหยียบย่ำบันไดขึ้นไปทีละขั้นๆ แต่ละก้าวล้วนเชื่องช้า
เขาสั่งทหารเกราะผู้ติดตามให้แยกย้ายไปให้หมด ด้านหลังเหลือเพียงจ้าวหรูอวิ๋นที่หน้าซีดเผือด เดินกะโผลกกะเผลกตามเขามาด้วยเท่านั้น
ตอนที่เหลือเพียงขั้นเดียวจะถึงทวารใหญ่แห่งจวนนั้นเอง จางซานพลันหยุดเดิน เขายืนอยู่บนบันไดเนิ่นนานนัก ไม่ก้าวไปข้างหน้าต่อ แม้แต่ขยับก็ยังไม่ขยับ
จ้าวหรูอวิ๋นซึ่งเดินตามหลังมาเริ่มแปลกใจ
เขานึกว่าหัวหน้ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ จึงไม่กล้าเอ่ยอะไรขัดตอน เพียงยืนรออยู่ด้านหลังเงียบๆ เท่านั้น
สามสิบนาทีผ่านไป
“ประคองข้า” จางซานเปิดปากเอ่ยเสียงเบา
จ้าวหรูอวิ๋นนิ่งอึ้ง “หา?”
จางซานยกมือขึ้นช้าๆ แล้วว่า “มาประคองข้า”
จ้าวหรูอวิ๋นพลันรู้ว่าอะไรเป็อะไรทันที เขาะเืใจอย่างหนัก รีบก้าวไปก้าวหนึ่งแล้วประคองแขนจางซานเอาไว้ นั่นแหละจางซานถึงค่อยพ่นลมหายใจออกบางเบาได้ เขาเดินเข้าใกล้ประตูจวนทีละก้าวๆ เปิดประตู เดินเข้าไปแล้วปิดมันลงสนิท
วินาทีที่ประตูปิดลงนั้นเอง
“พรวด!”
จางซานร่างกายโยกคลอน ปากพ่นเืออกมาเป็สาย
เืสดสีแดงฉานตกลงบนพื้นห้องสีหยกมันวาวราวกระจกของจวน เสียงติ๋งๆ ดังสะท้อน กลายเป็น้ำแข็งเย็นะเืสีแดง ไอหนาวอันเข้มข้นแผ่กระจายออกมา
“ใต้เท้า ท่าน...” จ้าวหรูอวิ๋นตกตะลึง
จางซานโบกมือ เขาไม่พูดอะไร เพียงนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้องแล้วเริ่มเคลื่อนปราณหล่อเลี้ยง
เปลวเพลิงสีแสดปะทุออกมาจากร่างกายของเขา ปกคลุมทั่วร่าง รูปกายเสมือนเป็เปลวไฟร้อนแรงแผดเผาคุกรุ่น จวนขนาดใหญ่ซึ่งเคยมืดมิดพลันสว่างไสว กลิ่นอายร้อนระอุเติมเต็มทุกที่ว่าง
จ้าวหรูอวิ๋นยืนนิ่งงันอยู่ข้างๆ
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเห็นเืไหลจรดปลายนิ้วของจางซาน หัวหน้าได้รับาเ็ แต่เขาไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าจะเจ็บหนักขนาดนี้ ที่แท้ที่จางซานก้าวขึ้นบันไดแต่ละก้าวช้าเหมือนเต่า มิใช่เพราะกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เป็เพราะอาการาเ็เขาหนักหนามากจนเดินแทบไม่ไหวต่างหาก
เวลาไหลผ่านไปทีละนาที
จ้าวหรูอวิ๋นถูกความตื่นกลัวอันยากจะจำกัดความจ่อมจมจนมิด
หนึ่งชั่วยามผ่านพ้นไป
อัคคีร้อนแรงสีส้มบนกายจางซานค่อยๆ เร้นลึกคืนกาย
ใบหน้าของเขามีสีฝาดขึ้นมาบ้าง เขายืนขึ้นมา เดินเข้าไปส่วนลึกของจวนแล้วนั่งบนเก้าอี้หยกขาว จากนั้นจึงทอดถอนใจแ่เบาพลางพูด “เ่ิูไอ้ตัวดี ได้พลังน้ำแข็งประหลาด ข้าตรวจจับไม่เจอ เกือบเข้าแผนมันเสียแล้ว”
เอ่ยพลาง รู้สึกกลัวย้อนหลังพลาง
พลังน้ำแข็งประหลาดนี่เหมือนแผลเน่าเปื่อยในกระดูก ชอนไชไปทุกที่ที่มัน้า ลำพังการฝึกฝนระดับอาณาทะเลระทมของเขายังไม่อาจต้านทานมันได้ กลับกันยังถูกมันรุกล้ำเข้าอวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหก* หากไม่ใช่เพราะเขาผลาญพลังภายในมากมายเพื่อกำจัดมันทิ้งอย่างเต็มอัตรา น่ากลัวว่าตอนนี้ เขาคงถูกแช่แข็งจนกลายเป็ก้อนน้ำแข็งไปแล้ว
“ใต้เท้า...ตอนนี้ท่าน ไม่เป็ไรนะขอรับ?” จ้าวหรูอวิ๋นรีบปรี่เข้ามาถามอย่างร้อนรน
จางซานชำเลืองมองเขาแล้วตอบ “ไม่เป็ไร เ้าไปเถอะ”
จ้าวหรูอวิ๋นไม่กล้าพูดอะไร เขาเพียงค้อมคำนับแล้วจากไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงกำชับของจางซาน “เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้ ห้ามให้ใครรู้ได้เป็อันขาด”
จ้าวหรูอวิ๋นรีบรับคำ
...
...
หอคอยอาชาขาว
เ่ิูส่งเวินหว่านที่อุ้มเ้าลูกัสีเงินไปยืมเล่นสักสองสามวันด้วยกำลัง
เมื่อกินกับข้าวเย็นฝีมืออูหม่าเสร็จแล้ว เ่ิูจึงเข้าไปฝึกวิชาในห้องสงบต่อ
ทาสกระบี่แห่งหอคอยอาชาขาวไป๋หย่วนสิง ยากจะหาคำใดมาเปรียบเปรยได้ หลายปีเหลือเกินที่เขาไม่ได้รู้สึกยืดอกอย่างภาคภูมิสมเป็มนุษย์อย่างนี้ คนที่เคยมองเขาด้วยสายตาดูถูกในวันเก่า ตอนนี้กลายเป็สหายสนิทของเขาจนหมด
ความกลัดกลุ้มสารพัดอย่างในหัวใจ ปล่อยวางลงไปในวันนี้นี่เอง
เขาเลื่อมใสศรัทธาเ้านายคนใหม่แห่งหอคอยอาชาขาวมานานแล้ว
คำสาปแช่งของหอคอยอาชาขาวไม่แสดงผลอันใดต่อเ้านายคนใหม่ผู้นี้เลย
ไป๋หย่วนสิงเริ่มรู้สึกบางๆ เหมือนว่าคำสั่งเสียของบรรพบุรุษกำลังกลายเป็ความจริง วันเวลาที่หอคอยอาชาขาวจะรุ่งเรืองอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ซิ่วๆๆ!
แสงกระบี่ราวฟ้าแลบ ไป๋หย่วนสิงกำลังฝึกเพลงกระบี่อย่างสุดตัว
ความแข็งแกร่งเปี่ยมด้วยอำนาจของเ้านายคนใหม่ทำให้เขาเปี่ยมด้วยอารมณ์ และนอกเหนือจากนั้น ยังเปลี่ยนเป็มีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็มาก่อน วันๆ ล้วนรู้สึกแต่ว่าพลังกายพลังใจไม่เคยหมด ฝึกฝนเร็วกว่าวันก่อนเก่าไม่รู้กี่เท่า
“ข้าต้องเพิ่มพลังตัวเอง ถึงจะมีคุณสมบัติอยู่ข้างกายใต้เท้าได้!”
ไป๋หย่วนสิงสาบานกับตัวเองในใจ
เขาคิดว่า ตัวเขาได้ชีวิตใหม่มาในที่สุด
...
...
ตลอดสามวันถัดมา
เ่ิูล้วนฝึกวิชาอยู่ในหอคอยอาชาขาว
มีคนมาเยี่ยมเยียนไม่ได้ขาด แต่ล้วนถูกเ่ิูกันให้ออกนอกประตูทั้งสิ้น หน้าอูหม่าหายจากอาการบวมแล้ว นางคว้าไม้กวาดขึ้นมากวาดบรรดาคนที่มาขอพบเ่ิูอยู่ตรงประตูหอคอยอาชาขาวออกไปข้างนอก นำมาซึ่งชื่อเสียงของหญิงแกร่งแห่งอาชาขาวที่แพร่สะพัดอีกคราหนึ่ง
คำนวณเวลาแล้ว ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บแห่งอาณาจักรเสวี่ยได้ผ่านพ้นไป
เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
อากาศไม่เหน็บหนาวเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว หลายมุมของเมือง มีหน่อไม้อ่อนสีเขียวแตกหน่อขึ้นมาจากกลุ่มหิมะ แผ่กระจายชีวิตออกมาอ่อนจาง
อุณหภูมิสูงขึ้น สำหรับทหารชาวมนุษย์แล้ว คือเื่ที่น่ายินดียิ่ง
แต่สำหรับเผ่าปีศาจแดนหิมะที่ใช้ชีวิตอยู่กับทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะมาตลอดชีพ ไม่สู้จะดีสักเท่าใด