ด้วยระดับความเร็วของที่ปรึกษากับกลุ่มคนสวมผ้าคลุม ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป กลุ่มคนสวมผ้าคลุมจะต้องเผชิญหน้ากับพวกหมายเลขห้าเป็แน่
อย่าเห็นเพียงว่ากลุ่มคนสวมผ้าคลุมมีจำนวนน้อย แต่พวกเขาไม่กลัวพิษ ไม่กลัวเจ็บ หากไม่ดึงกระดูกของพวกเขาให้หลุดจากเบ้า เช่นนั้นพวกเขาก็ยังคงสู้ต่อไปได้เรื่อยๆ
นอกจากนี้การที่อั้นจิ่วไม่รู้วิชาพิษ มิได้หมายความว่าพวกสวมผ้าคลุมคนอื่นๆ จะไม่รู้วิชาพิษ ต้วนเหลยถิงค้นพบว่าวรยุทธ์ของคนสวมผ้าคลุมที่ไล่ตามที่ปรึกษามาล้วนแต่ล้ำเลิศกว่าอั้นจิ่ว
ด้วยความสามารถในยามนี้ของตน รับมือเพียงหนึ่งหรือสองคนยังนับว่าไหว แต่หากต้องต่อกรถึงสามคนคงกินแรงอยู่บ้าง
ครั้นเห็นว่ากลุ่มคนสวมผ้าคลุมใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ต้วนเหลยถิงไม่มีเวลาคิดแผนการรับมือ เขาจึงลบการแปลงโฉมบนใบหน้าและร่างกายเพื่อจงใจเผยพิรุธออกมา
อั้นปาพลันเงยหน้าขึ้นและถามด้วยความระแวงว่า “ผู้ใดกัน?”
ต้วนเหลยถิงะโลงจากต้นไม้กะทันหัน ตั้งใจเผยให้อั้นปาเห็นใบหน้าของตน จากนั้นเผยพิรุธอย่างเด่นชัดแล้วหนีไปอีกด้านด้วยท่าทางร้อนรน
“เป็เขา? เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว” อั้นปาพลันร้องะโเสียงดังพลางไล่ตามไปทางต้วนเหลยถิง
“เหล่าสหาย ไม่ต้องไล่ตามที่ปรึกษาแล้ว ยามนี้เป้าหมายในภารกิจของพวกเราเผยตัว รีบตามไปเร็วเข้า”
คนสวมผ้าคลุมอีกสองคนก็เห็นต้วนเหลยถิงในเวลาเดียวกัน ต่างพากันปล่อยที่ปรึกษาและมุ่งหน้าไปทางต้วนเหลยถิงอย่างบ้าคลั่ง
ครั้งนี้เหล่าคนสวมผ้าคลุมต่างระงับอารมณ์หยอกเย้า จดจ้องต้วนเหลยถิงไม่วางตาและไล่ตามมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ต้วนเหลยถิงพบว่าระดับความเร็วของคนสวมผ้าคลุมสามารถทัดเทียมตนอย่างคาดไม่ถึง เขาอดมิได้ที่จะระแวดระวังตัวเป็อย่างยิ่ง ทั้งยังไม่กล้าประมาทแม้แต่นิด
“ตามไป หากจับมิได้ เช่นนั้นก็...เชือด...” อั้นปาเห็นต้วนเหลยถิงมุ่งหน้าไปทางเขาเหลียนอู้ จึงไล่ตามไปพลางทำท่าเชือดคอ
โสตประสาทของต้วนเหลยถิงที่หนีขึ้นไปบนเขาดีเหนือคนธรรมดา ครั้นได้ยินคำสั่งของอั้นปาพลันหรี่ดวงตาลง คิดจะเอาชีวิตของตนงั้นหรือ?
เช่นนั้นก็คงต้องดูว่าพวกเ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่ ขณะครุ่นคิด ต้วนเหลยถิงก็เบี่ยงกายแนวทแยง จงใจเปิดกลไกที่ตนปรับเปลี่ยนเอาไว้ก่อนหน้านี้
ได้ยินเพียงเสียงฟิ้วๆๆ...หนึ่งระลอกดังขึ้นกลางอากาศ ลูกธนูพุ่งตรงไปทางกลุ่มคนสวมผ้าคลุมไม่ต่างกับสายฝน
“ระวัง” อั้นปาร้องด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่กี่คนต่างพากันหลบเลี่ยงฝนธนูที่รวดเร็วดั่งลมกรด
คนสวมผ้าคลุมอีกสองคนแยกกันหลบซ้ายขวา สามารถหลบลูกธนูแหลมคมได้อย่างหวุดหวิด “มารดามันเถิด กล้าลอบทำร้ายบิดา ดูเถิดว่าบิดาจะถลกหนังเ้าได้หรือไม่”
คนสวมผ้าคลุมถูกยั่วโทสะ นานมากแล้วที่มิได้ประมือกับผู้มีกำลังรบทัดเทียมพวกเขา ต้วนเหลยถิงได้ปลุกเร้าจิติญญาการต่อสู้ที่สั่งสมมานานของคนสวมผ้าคลุมเสียแล้ว
อั้นปาส่งพลังชี่จมจุดตันเถียน ใช้กำลังภายในทะยานกายขึ้นฟ้า หลบเลี่ยงฝนธนูหลายต่อหลายระลอกพลางเอื้อมมือไปทางต้วนเหลยถิง
ครั้นเห็นว่าห่างกันเพียงหนึ่งฝ่ามือ เงาของต้วนเหลยถิงกลับเลือนหายไปโดยฉับพลัน
อั้นปาถึงกับชะงัก ไม่ทันได้สติตอบสนองแม้แต่นิด บุรุษผู้นี้ใช่คนที่พวกเขาไล่ตามมาตลอดสองปีจริงๆ หรือ?
เหตุใดหลังจากไร้ร่องรอยไปไม่กี่เดือน ไม่เอ่ยถึงวรยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าประหลาด แต่วิชาตัวเบายังมิได้ก้าวหน้าแค่หนึ่งเท่าตัวอีกด้วย?
“อยู่ตรงนั้น” อั้นปาชี้ไปทางจุดที่ต้วนเหลยถิงปรากฏตัวอีกครั้งแล้วไล่ตามไป
ต้วนเหลยถิงเองก็มิได้หนี คอยล่อกลุ่มคนสวมผ้าคลุมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ขณะอีกฝ่ายใกล้จะไล่ตามทันหรือคิดจะลอบสังหาร ชายหนุ่มล้วนเบี่ยงกายหลบเลี่ยงด้วยองศาที่น่าประหลาดใจเสียทุกครา
ยามนี้เขาต้องเป็ไม่ต่างกับว่าวล่องลม คอยหลอกล่อคนสวมผ้าคลุมเหล่านี้เอาไว้เพื่อซื้อเวลาที่มากพอให้พวกพั่วหุน
อั้นชีขยับเข้าใกล้อั้นปา เอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “มิได้การ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็มิอาจปล่อยให้คนผู้นี้หนีรอดไปได้ พวกเราสามคนรับมือเขาไม่ไหว จำต้องเรียกสหายสำนักผีที่อยู่ละแวกใกล้เคียงให้มาที่นี่”
หลังสิ้นคำกล่าวของอั้นชี คนทั้งสามก็พยักหน้าและหยิบนกหวีดประจำสำนักผีออกมาทันที จากนั้นเป่าเป็สัญญาณเรียกรวมตัวฉุกเฉิน
ต้วนเหลยถิงลอบบริภาษมารดามันเถิดอยู่ในใจ เสียงนี้เขาคุ้นเคยยิ่งนัก ทุกการไล่ล่าตลอดสองปีมานี้ สิ่งที่ได้ยินมามากที่สุดก็คือเสียงนกหวีดเช่นนี้เอง
อั้นจิ่วที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเพื่อกินข้าวในโรงสุราฟู่หยวนพลันโยนตะเกียบโดยจิตใต้สำนึกแล้วทะยานกายออกไปนอกหน้าต่าง ใช้ความเร็วถึงขีดสุดมุ่งหน้าไล่ตามเสียงนกหวีดไป
ในขณะเดียวกัน คนสำนักผีที่อยู่ละแวกเขาเหลียนอู้เองก็ได้รับสัญญาณเช่นกัน ไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ ล้วนแต่ทิ้งงานในมือและมุ่งตรงมายังเขาเหลียนอู้
หมายเลขห้ากับพั่วหุนที่กลับจากซื้อล่อกันม้าต่างลอบเอ่ยว่ามิได้การ เสียงนกหวีดเช่นนี้คือสัญญาณคร่าชีวิต ตอนนั้นที่พวกเขาถูกคนสวมผ้าคลุมลอบใช้แผนการก็เพราะเสียงนกหวีดเช่นนี้เรียกรวมคนมาเป็จำนวนไม่น้อย
พวกเขาจำต้องรีบเร่งและออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดจึงจะเป็การดี
เหล่าคนหนุ่มสาวรีบส่งคนชรากับเด็กขึ้นบนรถเข็น ล่อ และม้า จากนั้นแบ่งเป็สามทางตามที่จัดเตรียมเอาไว้ มุ่งหน้าไปยังหุบเขาลั่วสยาด้วยเส้นทางที่ต่างกันออกไป
ครั้นขบวนสุดท้ายออกเดินทาง พั่วหุนก็ทอดมองไปยังบนูเาด้วยสายตาฉายแววลุ่มลึก
เขารู้ว่าต้วนเหลยถิงเก่งกาจ แต่ก็ยังอดมิได้ที่จะเป็ห่วงอยู่บ้าง คิดอยากไปช่วยผู้เป็นาย ทว่าคนชรา เด็ก และสตรีทางฝั่งนี้ยัง้าตน
พั่วหุนทำได้เพียงเคลื่อนย้ายคนทั้งหมดออกไปเพื่อทำให้ผู้เป็นายไร้ความกังวล ไม่แน่ว่าด้วยศักยภาพของนายน้อย ยังอาจหนีรอดได้อย่างปลอดภัย หากตนมุ่งหน้าไปช่วย ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็ภาระเสียด้วยซ้ำ
เมื่อคิดเช่นนี้ พั่วหุนจึงอดมิได้ที่จะเร่งความเร็วเพื่อพากลุ่มคนขบวนสุดท้ายจากไป
ในขณะเดียวกัน หลี่เหิงก็พาเด็กวิ่งเข้ามาและเห็นพวกพั่วหุนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชำรุดพอดี
ครั้นเขาได้ยินเสียงนกหวีดถึงกับแข็งทื่อไปทั้งร่าง จากนั้นรีบเข้าร่วมกลุ่มคนที่บังเอิญพบนี้โดยไม่แม้แต่จะคิด
หลี่เหิงคาดไม่ถึงเช่นกันว่าหลังจากพาเด็กๆ เข้ามาปะปนอยู่ท้ายขบวน เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดเร่งเร้า ทุกคนต่างพากันรีบหนีเอาชีวิตรอด ไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขาไม่กี่คนแต่อย่างใด
ขณะต้วนเหลยถิงกำลังโรมรันพันตูกับคนสวมผ้าคลุม พวกพั่วหุนกำลังรีบร้อนหนีเอาชีวิตรอด ทางฝั่งเรือนผู้เฒ่าเคอในหมู่บ้านเถาหยวนก็กำลังวุ่นวายจนไก่บินสุนัขะโเช่นกัน
การออกเรือนของเคอก่วงเถียนสร้างความกระทบกระเทือนให้แม่เฒ่าเคอไม่น้อย นางต้องรีบร้อนหาที่ระบายเพื่อปลดปล่อยเพลิงโทสะเต็มอกออกไป
นี่ไม่เท่ากับสิ่งที่หลิวชุนฮวาผู้เป็สะใภ้สามสกุลเคอกำลังประสบอยู่หรอกหรือ
แม่เฒ่าเคอยืนอยู่ข้างเตาที่ก่อขึ้นเป็การชั่วคราวเพื่อทำอาหารในงานเลี้ยงมงคลให้ชาวบ้าน นางยืนแยกขาทั้งสองข้างพลางเอามือข้างหนึ่งค้ำเอว ส่วนมืออีกข้างชี้หน้าหลิวชุนฮวาพลางร้องบริภาษรุนแรงวนไป
“หลิวชุนฮวา นังหญิงล้างผลาญครอบครัว เ้าทำกับข้าวมากมายถึงเพียงนี้เพื่อเลี้ยงหมูหรืออย่างไร? กระทั่งหมูก็ยังไม่กินมากขนาดนี้! เ้าทำให้เสบียงอาหารในเรือนของข้าสิ้นเปลืองจนหมดแล้ว ดูเถิดว่าแม่เฒ่าเช่นข้าจะตีเ้าให้ตายหรือไม่...”
สิ้นคำกล่าว แม่เฒ่าเคอพลันถอดรองเท้าที่ขาดจนเห็นนิ้วเท้าออกมาทักทายลงบนกายของหลิวชุนฮวา
“ท่านแม่ เลิกตีได้แล้วเ้าค่ะ ไอ้หยา เจ็บจะตายแล้ว...ข้าขอร้องท่าน...ฮือๆๆ...”
หลิวชุนฮวาถูกแม่เฒ่าเคอไล่ตีจนวุ่นวายไปทั้งลานเรือน นางใช้แขนบังเอาไว้พลางร้องวิงวอนทั้งน้ำตาไม่ยอมหยุด
ทางด้านผู้เฒ่าเคอนั่งเซื่องซึมอยู่ตรงมุมกำแพง ไม่แยแสการโหวกเหวกโวยวายของแม่เฒ่าเคอแม้แต่นิด
ส่วนเคอเจิ้งเป่ยรู้ว่าวันนี้ตนสร้างเื่หมางใจให้บิดาของตนอย่างถึงที่สุดแล้ว หากอยากขอเงินคงไร้หนทาง ไม่ถูกด่าถูกตีก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
เขาก็ไม่อยากอยู่ต่อเพื่อรนหาเื่ไม่สบายใจ จึงหันกายเดินออกจากเรือน มุ่งหน้ากลับไปยังสำนักศึกษา
เคอเจิ้งซียิ่งคิดถึงเื่ในวันนี้ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล น้องสาวที่เขารักมากที่สุดจะออกเรือน นางกลับมิได้ทำพิธีแม้แต่นิด ทั้งยังต้องเสียข้าวปลาอาหารไปนับร้อยจินอีกด้วย
ยามนี้หุงต้มข้าวปลาอาหารจนสุกหมดแล้ว เนื่องจากอากาศร้อนจึงเก็บเอาไว้ได้ไม่กี่วัน ต่อให้คนทั้งครอบครัวกินจนเต็มที่ก็ยังจะกินได้สักเท่าใด? ท้ายที่สุดมิใช่ว่าต้องเน่าเสียหรอกหรือ?
“เฮ้อ...” เขาถอนหายใจยาว นั่งยองๆ ลงตรงมุมกำแพงเลียนแบบท่าทางของผู้เฒ่าเคอ
หลิวชุนฮวาที่ถูกไล่ตีจนมิอาจรับมือพลันเท้าซ้ายสะดุดเท้าขวา ครั้นศูนย์ถ่วงไม่มั่นคงก็ล้มลงบนพื้นอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นว่ารองเท้าเหม็นโฉ่ของแม่เฒ่าเคอกำลังจะฟาดลงบนศีรษะตน นางจึงรีบร้องะโว่า
“ท่านแม่ เื่ในวันนี้ล้วนแต่เป็ความผิดของเคอโยวหราน พวกเราควรไปคิดบัญชีกับนางเ้าค่ะ”