เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นหนังสือพิมพ์พวกนั้นของหวังเจี้ยนหัวแล้ว
เดิมทีมันก็คือหนังสือพิมพ์ของเมืองปักกิ่ง หากนักศึกษาไม่อ่านหนังสือพิมพ์แล้วจะรู้ข่าวสารบ้านเมืองได้อย่างไร ยุคนี้ไม่สามารถหยิบมือถือขึ้นมาแล้วอ่านข่าวพาดหัวข่าวจากแอปพลิเคชันข่าวได้ เมื่อ้ารับรู้เื่ใหญ่ของประเทศชาติ รวมถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล จำเป็ต้องพึ่งพาหนังสือพิมพ์และการประกาศข่าวทั้งสิ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานเปิดเรียนได้ไม่นาน เธอก็สั่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับให้กับหอพักห้อง 307 การกระทำนี้ทำให้เธอได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมห้องทุกคนมากกว่าเดิม
สั่งหนังสือพิมพ์ได้รับความนิยมมากกว่าซื้อไก่ต้มพะโล้ให้ทุกคนเสียอีก
หลังจากเซี่ยเสี่ยวหลานอ่านจบแล้ว ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับคนอื่นที่อยากอ่านต่อแม้แต่น้อย
ข่าวของหวังเจี้ยนหัว ตอนแรกกินพื้นที่แค่กรอบเล็กๆ เท่านั้น หนังสือพิมพ์ที่ได้ลงก็ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ใหญ่มากมายอะไร หลังจากนั้นถึงค่อยๆ ขยายขึ้นไปยังหนังสือพิมพ์รายใหญ่... เื่นี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติสำหรับธุรกิจข่าวสาร สมัยนี้มีแต่หนังสือพิมพ์ขนาดเล็กเดินตามกระแสของหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ แต่นี่ดันกลับกัน หนังสือพิมพ์ขนาดเล็กเป็ฝ่ายส่งอิทธิพลต่อการเลือกหัวข้อข่าวของหนังสือพิมพ์ใหญ่อย่างนั้นหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่ามันคือการลองตลาดเท่านั้น พอเห็นว่าผลตอบรับไม่เลวจึงค่อยผลักดันหวังเจี้ยนหัวให้กับหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่กว่าเดิม
เธออ่านหนังสือพิมพ์นั่นแล้ว และไม่รู้สึกเสียดายที่ตนพลาด ‘หนุ่มอนาคตไกล’ คนนี้เลย
ชั้นเรียนกวดวิชาเป็ของหวังเจี้ยนหัวหรือ?
จากข่าวที่โจวเฉิงได้มา ชั้นเรียนกวดวิชาเป็ของเซี่ยจื่ออวี้ชัดๆ !
ผลสุดท้ายมันกลับกลายเป็เครื่องมือในการเพิ่มชื่อเสียงให้กับหวังเจี้ยนหัวสินะ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเอือมระอามาก ผู้ชายที่คิดเกาะผู้หญิงกินจนวันตายแบบนี้ เซี่ยจื่ออวี้ยังจับเอาไว้แน่นราวกับกลัวใครมาแย่งไปอยู่ได้
อีกทั้งหวังเจี้ยนหัวในตอนนี้ยังกลายเป็ ‘ลูกหลานข้าราชการระดับสูง’ เขาควรยุ่งอยู่กับการเดินสู่จุดสูงสุดของชีวิตตนเองมิใช่หรือ เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็นึกไม่ถึงว่าวันนี้คนที่มาหาเธอจะเป็หวังเจี้ยนหัว เซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้เสียแรงเปล่า อย่างน้อยๆ เธอก็สามารถบงการหวังเจี้ยนหัวได้อยู่หมัด!
แต่จุดสูงสุดของชีวิตที่ว่าจะคงอยู่ได้นานแค่ไหนก็ยังไม่แน่น่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดถึงเด็กที่ชื่อเหอเจีย เพื่อนนักเรียนหญิงของกู้ซือเหยียนที่กำลังตั้งครรภ์ หวังเจี้ยนหัวดีใจตอนนี้คงจะเร็วเกินไปหน่อย
ที่เธอไม่ลงมือ ก็เพราะเธอไม่อยากลากเด็กสาวอายุสิบกว่าๆ เข้ามาแบกรับแรงกดดันไปด้วย
ทว่าครอบครัวของเหอเจียจะทำอย่างไรกันนะ
เซี่ยเสี่ยวหลานขี่จักรยานไปอย่างใจเย็น เมื่อมาถึงที่ทำงานของโจวเฉิงเวลายังไม่ถึงเที่ยงดี
ตอนนี้ทั้งคู่ส่งจดหมายหากันทุกสัปดาห์ เธอบอกโจวเฉิงว่าวันอาทิตย์จะมาหา โจวเฉิงจึงถามยามเฝ้าประตูอยู่หลายครั้งกว่าจะเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังขี่จักรยานตรงมา โจวเฉิงเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ “ขี่จักรยานมาเหนื่อยหรือเปล่า”
ถ้าซื้อรถอย่างที่เขาบอกจะดีแค่ไหนกันนะ จากปักกิ่งมาที่ทำงานของเขาใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
“ไม่เหนื่อยหรอก ไม่ได้ไกลอะไรเลย”
จักรยานของเธอผ่านการ ‘ดัดแปลง’ ทำให้ขี่สบายขึ้นมาก อีกอย่างระยะทางแค่นี้ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรเลย ปีที่แล้วตอนเซี่ยเสี่ยวหลานขายไข่ไก่กับปลาไหล เธอต้องไปกลับซางตูแบบนี้ทุกวัน และเพราะมีหน่วยงานของโจวเฉิงตั้งอยู่ที่เขตนี้ ทำให้ถนนหนทางดีกว่าถนนในชนบทมาก เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่รู้สึกเหนื่อยจริงๆ
หลังจากลงทะเบียนที่ทางเข้าเสร็จ เธอก็สามารถเข้าไปด้านในกับโจวเฉิงได้
ไม่ได้มาหนึ่งเดือนกว่า ผู้คนที่เจอระหว่างทางยังคงอัธยาศัยดีเหมือนเดิม
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มแย้มบอกว่าครั้งนี้ไม่ได้พกอะไรมาด้วย ลูกน้องของโจวเฉิงจึงพากันเอ่ยอย่างเกรงใจ “พี่สะใภ้ พวกผมไม่ใช่จะกละนะครับ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ไม่พอใจ ทั้งยังกลัวเธอเข้าใจผิดก็รู้ทันที เมื่อก่อนตนคิดผิดเองสินะ การที่กลับมาคิดทบทวนตัวเองนั้นเป็สิ่งที่ถูกต้อง
และเป็เธอเช่นกันที่ไม่ใส่ใจโจวเฉิงมากพอ หาก้าคิดเผื่อโจวเฉิง เธอก็ไม่ควรอิงจากความรู้สึกของตนเอง
เซี่ยเสี่ยวหลานหยิบของที่นำมามอบให้โจวเฉิง
“ลูกอมกับช็อกโกแลตเพื่อนฉันให้มา กุ้งก็มีคนอื่นให้มาเหมือนกัน ของพวกนี้ฉันแค่ยืมดอกไม้ถวายพระเท่านั้น”
ยืมดอกไม้ถวายพระอะไรกัน ตัวเองตัดใจกินไม่ได้เลยเอามาให้เขาสินะ?
โจวเฉิงยังไม่ได้ดูกุ้งแห้ง แต่เปิดดูลูกอมกับช็อกโกแลต บรรจุภัณฑ์นั้นเป็ภาษาอังกฤษ โจวเฉิงแกะลูกอมเม็ดหนึ่งส่งให้เซี่ยเสี่ยวหลาน เซี่ยเสี่ยวหลานมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร จึงยื่นปากไปรับลูกอมจากมือเขา ลิ้นของเธอััโดนปลายนิ้วของโจวเฉิง เขารู้สึกชาๆ ซ่าๆ ในทรวงอกขึ้นมาทันที
หลังทั้งคู่ตกลงคบกันต่อตอนฝึกทหาร โจวเฉิงก็รู้สึกว่าแฟนสาวของเขาเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เพราะเขาไม่เคยคบใครมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงรู้แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังตกอยู่ในห้วงของความรัก! ที่เคยบอกว่ายุ่งเป็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ไม่ใช่อุปสรรคในการคิดถึงอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานส่งจดหมายพูดคุยกับโจวเฉิงถี่เป็พิเศษ เธอยินดีใช้เวลาเขียนบอกเล่าเื่ราวจิปาถะที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองให้เขาได้รับรู้
เซี่ยเสี่ยวหลานอมลูกอม มันกลิ้งไปมาอยู่ในปาก โจวเฉิงมองแก้มที่นูนป่องของเธอแล้วรู้สึกว่าช่างเหมือนกระรอกน้อยเหลือเกิน
“ดูบ้านเป็อย่างไรบ้าง คนที่ธนาคารช่วยหาให้หรือ?”
ความจริงให้คังเหว่ยช่วยหาก็ได้ เนื่องจากคังเหว่ยซื้อบ้านมาแล้วหลายหลัง จึงค่อนข้างมีประสบการณ์ แต่แฟนเขาอยากทำเอง แน่นอนว่าโจวเฉิงย่อมตามใจเธอ
เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าอย่างกระตือรือร้นว่าบ้านทั้งสองหลังมีข้อดีอย่างไรบ้าง แต่พอพูดถึงบ้านหลังที่สามกลับบอกว่าโชคร้าย ดันไปเจอเซี่ยฉางเจิง เื่เหอเจียท้องเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เล่าให้โจวเฉิง นี่คือเื่ส่วนตัวของเด็กสาวนี่นา โจวเฉิงไม่ควรได้รับรู้
เธอแค่พูดถึงเื่ที่หวังเจี้ยนหัวอาศัยชั้นเรียนกวดวิชาขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ โจวเฉิงก็เข้าใจทันที
“มันคือการปูทางของตระกูลหวังที่ทำให้เขา ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์เป็แค่ก้าวแรกเท่านั้น ต่อจากนี้ยังมีอีกแน่นอน”
หวังเจี้ยนหัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนอายุ 25 ปี ซึ่งใช้เวลาสอบซ้ำเกินสองปีต่างจากคนปกติทั่วไป แน่นอนว่าผู้เข้าสอบที่อายุมากแล้วย่อมมีจำนวนนับไม่ถ้วน อายุตามเกณฑ์ปกติคือสิบแปดถึงสิบเก้าปี สำหรับคนที่เข้ามหาวิทยาลัยเร็วและไม่ได้สอบซ้ำเพื่อเลือกคณะใหม่ จะเข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดก็ไม่ใช่เื่แปลก
หวังเจี้ยนหัวจะเรียนมหาวิทยาลัยจบตอนอายุ 29 ปี ต้องแข่งขันกับเด็กอายุยี่สิบต้นๆ ในรุ่นเดียวกัน ตระกูลหวังจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร
แตโจวเฉิงรู้สึกว่าตระกูลหวังรีบร้อนเกินไป หวังก่วงผิงเพิ่งกลับมารับตำแหน่งได้ไม่นาน ก็พยายามผลักดันหวังเจี้ยนหัวอย่างทนรอไม่ไหว อีกทั้งยังใช้วิธีที่เป็เป้าสายตาขนาดนี้... ใช่แล้ว ภายใต้การประชาสัมพันธ์อย่างดุเดือดเช่นนี้ หวังเจี้ยนหัวสามารถขึ้นมาเป็บุคคลตัวอย่างได้อย่างง่ายดาย และบุคคลตัวอย่างเช่นนี้จะได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น หากคนอื่นต้องใช้เวลาห้าปีในการเลื่อนตำแหน่ง ดีไม่ดีหวังเจี้ยนหัวอาจจะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
การเป็ที่สนใจย่อมมีข้อดีของมัน แต่หากเป็ที่สนใจมากเกินไป จุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ อาจถูกทำให้ขยายใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
เื่นี้โจวเฉิงเองก็เพิ่งตกผลึกทางความคิดได้ไม่นาน
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าตนอยากได้บ้านที่สือช่าไห่ โจวเฉิงเห็นด้วย “บ้านที่อยู่ใกล้กับวิทยาลัยครูอย่าซื้อเลย เธอไปที่นั่นรอบนี้ ต่อให้ไม่ซื้อบ้าน พวกเขาก็คงอยู่ที่นั่นต่อไม่ได้อีกแล้ว”
เกือบผลักคนที่มาดูบ้านตกบ่อน้ำ เ้าของบ้านมีหรือจะกล้าให้พ่อแม่ของเซี่ยจื่ออวี้อาศัยอยู่ที่นั่นต่อ
หากซื้อบ้านหลังนั้นมาคงยุ่งยากแล้ว อย่างไรปักกิ่งก็ใหญ่โตออกขนาดนั้น หากอยากซื้อบ้านสามารถค่อยๆ เลือกดูได้ โจวเฉิงมีบ้านอยู่แล้วหลายหลัง ซึ่งทั้งหมดเป็คังเหว่ยที่ช่วยทยอยซื้อเก็บไว้ให้ก่อนหน้านี้ บ้านพวกนั้นเขายังไม่เคยไปดูกับตาเลยสักครั้ง
ไม่ทำธุรกิจค้าบุหรี่ แล้วเงินในมือจะใช้จ่ายอย่างไร แน่นอนว่าโจวเฉิงตัดสินใจเชื่อฟังว่าที่ภรรยา
หลังพาเซี่ยเสี่ยวหลานเข้ามาในห้อง เขาก็หยิบสมุดบัญชีธนาคารหลายเล่มส่งให้เซี่ยเสี่ยวหลาน “ทั้งหมดนี้คังเหว่ยเพิ่งเอามาให้เมื่อสองวันก่อน นี่คือเงินสดทั้งหมดที่ฉันมี จะใช้จ่ายอย่างไร ฉันให้เธอเป็คนดูแล”
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้ม “เธอกำลังขอให้คนช่วยบริหารทรัพย์สินอยู่สินะ แถมยังไม่ต้องจ่ายเงินเดือนด้วย!”
นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่โจวเฉิงอยากส่งมอบสมุดบัญชีให้กับเธอ
เมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดจะแตะต้องมัน แต่ตอนนี้เธอคิดได้แล้ว ถ้าโจวเฉิงเชื่อใจเธอ เธอก็จะช่วยเขาบริหารทรัพย์สินเอง
แบ่งแยกฉันกับเธออย่างชัดเจนมันดูเหมือนคนแปลกหน้า ต่อให้วันหนึ่งโจวเฉิงเลิกรากับเธอ เธอก็หวัง้าให้อนาคตของเขามีความสุข แต่ก่อนอื่นการเลิกราต้องเป็การจากลาด้วยดีเท่านั้น หากโจวเฉิงกล้าทำเื่ผิดต่อเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานจะทำให้เขากลายเป็คนสิ้นเนื้อประดาตัวในชั่วพริบตาอย่างแน่นอน!
ในใจเธอคิดเช่นนี้ และบอกกับโจวเฉิงตามตรงเช่นกัน
“ตอนนี้ยังมีโอกาสเปลี่ยนใจนะ!”
โจวเฉิงกุมมือเธอ “ได้ ถ้าฉันกล้าทำเื่เลวๆ ก็สมควรแล้วที่อนาคตจะกลายเป็คนสิ้นเนื้อประดาตัว”
หากวันนั้นมาถึงจริง เสี่ยวหลานคงไม่้าเขาแล้ว นั่งเฝ้ากองสมุดบัญชีไปจะมีประโยชน์อะไร เงินทองนั้นเย็นชืด กอดแฟนต่างหากที่อบอุ่นหัวใจ โจวเฉิงหาใช่คนโง่งมไม่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้