“ซ่งหานเจียง! ทำไมแกพูดแบบนี้?” หวังซิ่วอิงรู้สึกโกรธกับท่าทางยอกย้อนของลูกชายเป็อย่างยิ่ง เธอบันดาลโทสะพร้อมกับชี้หน้าซ่งหานเจียง “ฉันลำบากลำบนเช็ดขี้เช็ดเหยี่ยวกว่าจะเลี้ยงแกมาจนโตได้ขนาดนี้แต่แกกลับมาเถียงฉันฉอดๆ เพราะผู้หญิงคนเดียวน่ะหรือ?”
“อีกอย่างนะฉันไปบีบบังคับให้หล่อนหย่าเมื่อไหร่กัน?” หวังซิ่วอิงกล่าว “ฉันไม่เคยพูดคำว่า ‘หย่า’ ออกมาเลยสักครั้ง! อ๋อฉันเข้าใจแล้ว หล่อนฟ้องแกล่ะสิท่า? เมียแกมันพูดกับแกว่าอะไรเล่า? หล่อนฟ้องว่าฉันเป็แม่สามีที่กล่าวหาว่าหล่อนคบชู้กับเฝิงหย่งหรือฟ้องว่าฉันเป็แม่สามีที่ข่มเหงรังแกเธอ ไม่ยอมให้เธอเข้าบ้านและไม่ยอมให้ข้าวเธอกินใช่ไหม?”
“หากมิใช่เพราะหล่อนประพฤติตัวไม่เหมาะสมและมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับเฝิงหย่งล่ะก็ ฉันจะสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาไหม? ทำไมแกไม่ออกไปถามเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ ดูล่ะว่ามีลูกสะใภ้บ้านไหนที่แต่งงานแล้ววิ่งแจ้นไปอยู่บ้านคนอื่นบ้าง แถมอยู่จนดึกดื่นก็ยังไม่กลับบ้านตัวเอง? ฉันแค่สั่งสอนลูกสะใภ้เท่านั้นแค่พูดสั่งสอนหล่อนนิดเดียวทำให้ตอนนี้ฉันกลายเป็คนผิดไปเสียแล้ว? มีบ้านไหนบ้างที่แม่สามีไม่สั่งสอนลูกสะใภ้? ฉันที่เป็แม่ของแกคนนี้ก็เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเหมือนกัน! ทำไมซย่านีมันบอบบางมากเลยหรือไง ว่านิดว่าหน่อยไม่ได้เลยงั้นหรือ?”
เสียงของหวังซิ่วอิงทั้งดังและก้องกังวาน เธอสามารถพูดกลับดำเป็ขาวได้อย่างง่ายดายพูดถึงขนาดเอาสิ่งที่ตายไปแล้วให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอใช้คำพูดนี้จนทำให้เธอกลายเป็คนไม่มีความผิดเลยสักนิดแต่ความผิดทั้งหมดล้วนตกเป็ของซย่านีแต่เพียงผู้เดียว
อีกทั้งข้างกายเธอยังมีซ่งเหม่ยอวิ๋นที่คอยหนุนหลังเธออยู่ “พี่รอง พี่ไม่รู้หรอกว่า่นี้พี่สะใภ้รองสร้างปัญหาทุกวัน เธอทำให้บ้านของเราอยู่กันอย่างไม่สงบสุข มีกี่คนที่เห็นครอบครัวเราเป็เื่น่าขัน! แม่ถูกทำให้โกรธจนนอนไม่หลับทุกคืนความดันโลหิตพุ่งสูงไปหมดแล้ว”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นพูดไปพลางหวังซิ่วอิงก็กุมหน้าอกของตนไปพลางแล้วเปล่งเสียงร้อง “โอ๊ยๆ” เธอแสร้งถอยตัวเองไปด้านหลัง การกระทำนั้นทำให้ซ่งเหม่ยอวิ๋นรีบเข้าไปประคองหญิงชราทันที “แม่เป็อะไรไปคะ? แม่เป็อะไรหรือเปล่า?”
หวังซิ่วอิงกุมหน้าอกเสร็จก็ยกมือขึ้นกุมหัว พร้อมกับกล่าวด้วยลมหายใจที่ไม่มั่นคงนัก “ฉันโกรธจนเจ็บหัวใจไปหมดแล้วแถมยังเวียนหัวอีกด้วย”
“แม่! แม่คะ! แม่อย่าทำให้หนูกลัวสิคะ!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นรีบประคองหวังซิ่วอิงเข้าไปในบ้านทันทีแล้วกล่าวเสริมอีกว่า “หนูจะพาแม่ไปนั่งพักในบ้านสักครู่นะคะ” แล้วเธอก็หันไปพูดกับซ่งหานเจียง “พี่รอง ถ้าพี่ยังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้างล่ะก็ อย่าทำให้แม่โกรธอีกเลยนะ!”
ซ่งหานเจียงตกตะลึงกับการแสดงรับส่งกันไปมาฉากนี้มาก หากเป็ผู้ชายคนอื่นก็อาจจะเชื่อพวกเธอไปแล้วแต่ซ่งหานเจียงไม่เหมือนกัน เขามีความสามารถในการตัดสินใจเป็ของตนเอง
เขากับซย่านีแต่งงานกันมาเกือบสิบปีแล้วเขารู้จักซย่านีดี พื้นฐานของเธอไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนที่กล้าก่อเื่อะไรแบบนั้น มีหลายครั้งที่เธอถูกคนรังแก แต่เธอก็อดทนอดกลั้นความไม่เป็ธรรมเอาไว้แล้วกลืนมันลงท้องไปอย่างเงียบๆ
สำหรับซย่านีแล้วเมืองปักกิ่งเป็สถานที่แปลกหน้าสำหรับเธอ ที่นี่เธอไม่มีญาติมิตร ไม่มีสหาย นอกจากเขาแล้วเธอก็ไม่มีใครให้พึ่งพา ผู้หญิงตัวคนเดียวแถมยังมีลูกอีกสามคน หากไม่สุดจะทนจริงๆ เธอไม่มีทางไปจากตระกูลซ่งอย่างแน่นอน
บางทีอาจเป็ความผิดพลาดของเขาั้แ่แรกก็ได้ที่รั้นจะพาซย่านีกับลูกมาที่เมืองปักกิ่งนี้ ไม่ ไม่ใช่สิเป็เขาที่พาซย่านีกับลูกมาผิดเวลาต่างหาก บางทีหากเขาเรียนจบและได้เข้าทำงานสักแห่งในเมืองหลวง หลังจากนั้นก็รอองค์กรจัดสรรบ้านให้เขาอยู่ ตอนนั้นคงจะเป็เวลาที่ดีที่สุดที่จะไปรับภรรยาและลูกมาอยู่ด้วยกัน
เป็เพราะเขารีบร้อนมากเกินไป ทำให้เขาเดินพลาดั้แ่ก้าวแรกและพลอยทำให้ก้าวต่อๆ ไปผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซ่งเป่าเถียนสูบบุหรี่อย่างเอ้อระเหยจนเสร็จ เขาดูออกหมดแล้วที่ลูกชายคนรองเป็แบบนี้เพราะโกรธคนในครอบครัวและกำลังโกรธหวังซิ่วอิงผู้เป็ภรรยาของเขา หลังจากที่เขาดับก้นบุหรี่ลงเขาก็หันไปเกลี้ยกล่อมลูกชาย “แกก็อย่าตำหนิแม่กับน้องสาวของแกเลย แม่ของแกแค่อยากให้แกเจอภรรยาที่มีครอบครัวที่ดี มีการศึกษาและคู่ควรกับแกก็เท่านั้น ถึงฉันจะพูดแบบนี้ก็เถอะแต่ทั้งหมดมันก็เพื่อตัวแกเองไม่ใช่หรือ แกไม่สังเกตดูเล่า ั้แ่ที่ซย่านีมาอยู่ที่นี่เธอโดนดูแคลนมาโดยตลอด และใช่แม่ของแกไม่ได้ดีกับซย่านีมากนักแต่เธอก็ไม่เคยปล่อยให้ซย่านีกับลูกๆ อดอาหารเลยสักครั้ง เมื่อวานนี้พ่อยังเห็นเลยว่าเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางหน้าตาพวกเขาดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้างแล้ว”
หากซย่านีได้ยินคำพูดนี้ล่ะก็ เธอจะต้องด่าซ่งเป่าเถียนว่าเป็ตาแก่หน้าไม่อายอย่างแน่นอน ช่างพูดจายกยอปอปั้นตนเองเสียจริง! ส่วนสาเหตุที่่สองวันมานี้ทั้งเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นั่นก็เป็เพราะซย่านีให้พวกเด็กๆ กินปลาและเนื้อตลอดสี่ห้าวันที่ผ่านมาต่างหาก!
สุดท้ายซ่งเป่าเถียนก็ถามซ่งหานเจียงว่า “ซย่านีขอหย่าแล้วลูกได้ตอบตกลงไหม? หากลูกไม่อยากหย่าจริงๆ ก็ไม่ต้องหย่าหรอก ในอนาคตซย่านีกับพวกเด็กๆ ยังต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของเราอีกนะ ถ้าแกทะเลาะกับแม่ของแกรอบนี้แล้ว วันข้างหน้า แกจะให้เมียแกทำตัวอย่างไรเมื่อกลับมาอยู่บ้านนี้เล่า!”
ซ่งหานเจียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อากาศเย็นไหลเวียนเข้าสู่ทรวงอกของเขา นั่นทำให้ร่างกายของชายหนุ่มเย็นเยียบขึ้นมา
ชายหนุ่มเสียงแตกพร่าแล้วกล่าวตอบคำถามบิดา “ผมตอบตกลงไปแล้ว”
“โอ้ะ ตกลงแล้วหรือนี่” ซ่งเป่าเถียนประหลาดใจ ตอนที่เขาเห็นท่าทางของซ่งหานเจียง เขายังคิดว่าลูกชายไม่้าหย่ากับซย่านีเสียอีกแต่คาดไม่ถึงเลยว่าเ้ารองจะตอบตกลงไปจริงๆ!
“ตกลงก็ตกลงไปสิ วันข้างหน้าเดี๋ยวรอให้แม่ของแกหาคนที่ดีกว่านี้ให้แกก็ได้!” อันที่จริงในใจลึกๆ ของซ่งเป่าเถียนก็ไม่ชอบลูกสะใภ้อย่างซย่านีอยู่แล้ว เมื่อลูกชายคนรองตัดสินใจหย่ากับเธอเขาจึงมีความสุขมาก “พ่อสัญญานะว่าจะหาสะใภ้คนใหม่ที่ทั้งสวยและฐานะครอบครัวดีกว่านี้ให้แกแน่นอน! หรือแกจะหาเองก็ได้ทั้งนั้น พ่อจำได้นะสมัยตอนแกยังเรียนอยู่แกเคยชอบผู้หญิงคนหนึ่งใช่ไหม? ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแล้วหรือยัง...”
อีกด้านหนึ่งซย่านีที่ได้ทิ้งความกังวลในใจของตัวเองออกไปจนหมดแล้ว ทำให้เธอนอนหลับสบายตลอดทั้งคืน กลางดึกเธอลุกขึ้นมาปัสสาวะพร้อมกับป้อนนมให้ซิงซิงตัวน้อย จากนั้นก็ผล็อยหลับไปทันทีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ทันใดนั้นเธอก็สะลึมสะลือเพราะได้ยินเสียงเคาะประตู เสียงนั้นคล้ายกับเสียงของเซี่ยงเหมยอีกด้วย
ตอนแรกซย่านีคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่แต่เสียงนั้นก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เธอตื่นขึ้นโดยฉับพลันเพื่อฟังให้แน่ใจว่าเสียงนั้นไม่ได้หายไปไหน
เซี่ยงเหมยมาที่นี่จริงๆ ด้วย!
ใช่แล้ว วันนี้พี่สะใภ้กับพี่เฝิงหย่งจะต้องไปเมืองเทียนจินกันนี่นา
ซย่านีรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วสวมเสื้อผ้า จากนั้นก็วิ่งออกไปโดยเร็วที่สุดแล้วเปิดประตูให้เซี่ยงเหมย
ฟ้าข้างนอกยังคงมืดสนิท บนท้องฟ้ายังเห็นดวงดาวส่องแสงระยิบระยับกระจัดกระจายลอยเด่นอยู่จำนวนหนึ่ง
ด้านนอกประตู เซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งสองสามีภรรยายืนรออยู่ที่นั่น เซี่ยงเหมยกำลังยืนเคาะประตูบ้านข้างๆ เท้าของเธอมีถุงกระสอบใบใหญ่วางอยู่ด้วย ส่วนเฝิงหย่งกำลังนั่งอยู่รถสามล้อ บนรถยังมีถุงกระสอบอยู่อีกหนึ่งใบใหญ่
ซย่านีสวมเสื้อบุผ้าฝ้าย เธอเอ่ยถามคนทั้งสองว่า “พวกพี่เตรียมตัวจะไปสถานีขนส่งกันแล้วหรือ?”
เซี่ยงเหมยตอบ “ใช่แล้ว เฝิงหย่งซื้อตั๋วรถเที่ยวแรกเอาไว้ ฉันมาที่นี่เพื่อเอาตั๋วอุตสาหกรรมมาให้เธอ” เซี่ยงเหมยหยิบตั๋วอุตสาหกรรมออกมาจากกระเป๋าของตนเองแล้วมอบให้ซย่านี จากนั้นเธอก็หันไปยกถุงกระสอบที่วางอยู่ข้างเท้าแล้วกล่าวกับซย่านีว่า “ยังมีเศษผ้าเหลืออยู่นะ ถ้าวันนี้เธอไปซื้อจักรเย็บผ้ามาแล้ว ก็น่าจะทำยางรัดผมได้หลายชิ้นอยู่...ไปคราวนี้ฉันกับเฝิงหย่งขนเอายางรัดผมที่อยู่ที่บ้านมาหมดเลย ถ้าขายดีจนของหมดล่ะก็พรุ่งนี้ก็น่าจะไม่มีของให้ขายแล้ว”
ซย่านีตอบ “ได้ค่ะ พี่วางใจเถอะนะ ถ้าฉันซื้อจักรเย็บผ้ามาแล้ว วันนี้ฉันจะต้องทำยางรัดผมให้ได้สักหลายร้อยชิ้นอย่างแน่นอน”
เซี่ยงเหมยช่วยซย่านียกเศษผ้าเข้าประตูบ้านไป แล้วพลั้งปากถามออกมา “เมื่อวานสามีของเธอมาหาเธอที่นี่ใช่ไหม? พวกเธอคงไม่ได้ทะเลาะกันหรอกนะ?” หลังจากที่เธอกลับไปถึงบ้านเมื่อคืน เฝิงหย่งก็บอกกับเธอว่าซ่งหานเจียงมาหา แถมเขายังเอาที่อยู่บ้านใหม่ของซย่านีให้ชายหนุ่มไปอีก นั่นทำให้เธอเอาแต่คิดถึงเื่นี้อยู่ตลอดทั้งคืนเลย
