"นางโกหก เข็มเงินไม่เปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่ายานี่ไม่มีพิษ"
ผิงเอ๋อร์เอ่ยเน้นย้ำอีกครั้ง นางมองลู่ซิวหรงด้วยสายตาดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ "ดี อนุสอง เ้าโกหกหลอกลวงท่านหญิงของข้าเยี่ยงนี้ ยังมามัวโล่งใจอะไรอยู่อีก"
ลู่ซิวหรงสีหน้าชะงักงัน นางมองเข็มเงินในมือของผิงเอ๋อร์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความนึกไม่ถึง “ไม่ เป็ไปได้อย่างไร ชุ่ยเอ๋อร์...นางเป็คนสนิทของหม่อมฉัน สาวใช้ที่หม่อมฉันไว้ใจที่สุด นางไม่มีทางพูดโกหกหม่อมฉันอย่างแน่นอน หม่อมฉัน...”
ลู่ซิวหรงพึมพำ มีสิ่งใดผิดพลาดกันแน่
ครั้นนางสบสายตาอันเ็าของจ้าวอิ้งเสวี่ย ลู่ซิวหรงพลันทวีความตื่นตระหนก “ท่านหญิงอิ้งเสวี่ย หม่อมฉันมิได้โกหกนะเพคะ หม่อมฉันมิกล้าหลอกลวงท่านหญิงอิ้งเสวี่ยอย่างแน่นอน ชุ่ยเอ๋อร์ นางบอกกับหม่อมฉันว่านางเห็นชุนเซียง สาวใช้ในเรือนฮูหยิน ลอบเติมอะไรบางอย่างในขวดด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ”
“เติมอะไรบางอย่างในขวดยางั้นหรือ?” จ้าวอิ้งเสวี่ยขมวดคิ้ว หยิบเข็มเงินจากมือผิงเอ๋อร์ และตรวจสอบอย่างละเอียด ในยานี้ไม่มีพิษ ทว่านางก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าอนุสองจวนเหนียนผู้นี้จะโกหก ในเื่นี้ มีตรงไหนที่ฟังดูไม่สมเหตุสมผลหรือไม่
"ขวดยา...ขวดยา..." จ้าวอิ้งเสวี่ยพึมพำ ทันใดนั้นราวกับนางนึกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตานางพลันฉายแววเคร่งเครียด "ในจวนแห่งนี้ นอกจากเปิ่นจวิ้นจู่แล้ว ยังมีผู้อื่นกินยาอีกหรือไม่?"
มีเหนียนเฉิงกับเหนียนอีหลาน!
"ใช่แล้วเ้าค่ะ เหนียนเฉิงกับเหนียนอีหลาน" ผิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ทว่าหากมิใช่ว่าอนุสองโกหก เช่นนั้นหรือยาพิษจะอยู่ในขวดยาของเหนียนเฉิงกับเหนียนอีหลานเ้าคะ? หึ จะเป็ไปได้เยี่ยงไร หนานกงเยวี่ยจะถึงขั้นวางยาพิษให้บุตรชายกับบุตรสาวตัวเองเลยงั้นหรือเ้าคะ”
“เหตุใดจะเป็ไปไม่ได้?” จิ้นหวางเฟยเอ่ยขึ้นมาทันใด มิตื่นตระหนกวู่วามเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ยามนี้ใบหน้านางสงบลงมาไม่น้อย นางเดินไปหาจ้าวอิ้งเสวี่ย สองแม่ลูกสบตากัน ดวงตาสอดประสาน ฉับพลันนั้นพวกนางนึกบางสิ่งขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
คำพูดนี้ราวกับเตือนสติลู่ซิวหรง ในใจนางพลันชะงักงัน ใบหน้าฉายแววเหลือเชื่อ “หนานกงเยวี่ยวางยาพิษคุณชายใหญ่กับคุณหนูใหญ่ นี่...นาง้าทำอะไรกันแน่”
หากยาพิษอยู่ในขวดยาของคุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่เช่นนั้นจริง หมายความว่าวันนี้หนานกงเยวี่ยมิได้้าฆ่าผู้ใด ทว่านางต้องมีจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน แต่จุดประสงค์นั้นคืออะไร
"นาง้าโยนความผิดให้ข้า" จ้าวอิ้งเสวี่ยเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นโยนเข็มเงินไปด้านข้าง
หากเป็เช่นนี้ ความสงสัยก่อนหน้านี้ก็กระจ่างแจ้งแล้ว
วันนี้มีผู้คนมากมายมาที่นี่ หากเหนียนเฉิงหรือเหนียนอีหลานโดนวางยา ในสายตาของคนอื่น จ้าวอิ้งเสวี่ยคงมิอาจหนีพ้น หนานกงเยวี่ย นางเปลืองแรงเปลืองสมองถึงเพียงนี้ เป้าหมายที่นาง้า เกรงว่าจะไม่ง่ายเสียแล้ว!
“โยนความผิด...” ขณะที่ลู่ซิวหรงรู้สึกใ นางก็ทอดถอนใจไปพร้อมกัน หากโยนความผิด เช่นนั้นเื่ที่นางโดนสงสัยว่าโกหกคงไร้มลทินแล้ว
และตอนนี้...
ลู่ซิวหรงเหลือบมองจ้าวอิ้งเสวี่ย นางรีบเอ่ยออกมาอย่างรีบร้อนว่า “ท่านหญิง หากเป็การโยนความผิด เช่นนั้นท่านหญิงต้องรีบคิดแผนรับมือไว้ล่วงหน้า หนานกงเยวี่ยคิดแผนมานานเยี่ยงนี้ จะปล่อยให้นางทำสำเร็จไม่ได้...ท่านหญิง ท่านมีสิ่งใด้าให้หม่อมฉันทำ ท่านสั่งได้เลยเพคะ หม่อมฉันแม้ไร้ความสามารถ ทว่าหม่อมฉันนั้นอยู่ในจวนเหนียนแห่งนี้มาหลายปีแล้ว บางเื่ก็พอคิดหาวิธีได้”
“อนุสอง วันนี้คงต้องขอบใจเ้าแล้ว มิเช่นนั้นบางทีข้าอาจโดนใส่ความโดยที่มิรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเื่อะไรขึ้น” จ้าวอิ้งเสวี่ยค่อยๆ ยกยิ้ม รอยแผลเป็บนใบหน้านางถูกเปิดเผย และแม้แต่รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
"สิ่งที่ท่านเอ่ย ล้วนเป็สิ่งที่หม่อมฉันควรทำ" ลู่ซิวหรงหัวเราะ
"ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากรบกวนให้อนุสองช่วย" จ้าวอิ้งเสวี่ยเลิกคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมาอย่างเสียงดังกังวาน
“ได้ ได้ เื่อันใด ขอให้ท่านหญิงสั่งมาได้เลย หม่อมฉันจะจัดการให้อย่างแน่นอน” ใบหน้าของลู่ซิวหรงมีความสุข ตอนนี้นางเลือกที่จะติดตามจ้าวอิ้งเสวี่ย สิ่งที่นางกังวลที่สุดคือ การที่ท่านหญิงไม่เชื่อใจนาง ยามนี้ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยมีเื่มอบหมายให้นาง นี่หมายถึงสิ่งใด
แม้ไม่วางใจอย่างสมบูรณ์ ทว่าการกระทำตอนนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่าท่านหญิงยอมรับนางแล้ว
จ้าวอิ้งเสวี่ยกระดิกนิ้วชี้เรียกนาง ลู่ซิวหรงรีบเดินตรงไปหน้าเตียงทันที นางแนบหูเข้าไปใกล้จ้าวอิ้งเสวี่ย ครั้นนางได้ยินสิ่งที่จ้าวอิ้งเสวี่ยมอบหมาย มุมปากนางพลันค่อยๆ ยกยิ้มเสี้ยวหนึ่ง
หลังจากลู่ซิวหรงได้รับคำสั่ง นางรีบขอตัวออกไปทันที
ในห้องเหลือเพียงคนที่สนิทสนมกันที่สุดสามคน
"ท่านหญิง อนุสองคนนั้นจะเชื่อใจได้หรือ บ่าวได้ยินมาว่า บรรดาอนุในจวนแห่งนี้ อนุสองเป็คนที่เ้าเล่ห์ที่สุดนะเ้าคะ" ผิงเอ๋อร์เหลือบมองประตู นางยังคงกังวลเื่ลู่ซิวหรง
เ้าเล่ห์งั้นหรือ?
ทว่าจ้าวอิ้งเสวี่ยไม่ได้เอ่ยอะไร แม้นางจะเ้าเล่ห์ ทว่านางย่อมมีจุดอ่อนเหมือนกันมิใช่หรือ?
“บุตรสาวของอนุสอง ใช่คุณหนูสามแห่งจวนเหนียนหรือไม่?” จิ้นหวางเฟยหยิบถ้วยยาในมือผิงเอ๋อร์อีกครั้ง ความเ็ปเมื่อครู่นี้ผ่านพ้นไปแล้ว ยาก็เย็นลงแล้ว จิ้นหวางเฟยเอ่ยพลาง ยื่นยาให้จ้าวอิ้งเสวี่ยพลาง ความหมายในคำพูดนั้น มิต้องเอ่ยก็เข้าใจ
"ใช่เ้าค่ะ ได้ยินว่าปีหน้า คุณหนูสามจะถึงวัยปักปิ่นแล้วเ้าคะ"
การปักปิ่นเป็สิ่งที่สื่อว่าถึงวัยที่ต้องออกเรือนได้แล้ว บุตรีอนุผู้หนึ่ง หากพื้นเพตระกูลมารดาไม่ดีมากนัก ก็จะได้เพียงแค่ต้องออกเรือนตามที่ภรรยาหลวงจัดการ
ด้วยนิสัยของหนานกงเยวี่ย เกรงว่านางคงมิปล่อยให้คุณหนูสามแต่งงานออกไปอย่างดีแน่นอน ดังนั้น อนุสองย่อมต้องหาคนหนุนหลัง!
จ้าวอิ้งเสวี่ยเงยหน้าดื่มยาจนหมดชาม รสขมของยาแผ่ซ่านเต็มปาก แต่ก่อนนางเกลียดกลิ่นของยา ทว่ายามนี้กลับคุ้นชินกับมันแล้ว
และกระแสลมในจวนเหนียนครานี้ กลับเป็ลมแห่งเหมันตฤดู!
ในลานบุปผาหลังจวนเหนียน
ั้แ่ที่เหนียนอีหลานและหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนออกมาจากห้องโถง พวกเขาเดินเคียงขนาบกัน จนมาหยุดที่นี่
ใต้ร่มไม้ใหญ่ ท่ามกลางหมู่มวลบุปผา
บุรุษหล่อเหลาราวเทพเซียน สตรีเองก็งดงามหยาดเยิ้ม ทอดมองมาจากที่ไกลๆ คล้ายม้วนภาพวาดอันวิจิตร ไม่ว่าผู้ใดมองมา ล้วนต่างรู้สึกเช่นเดียวกันว่า หนุ่มสาวคู่นี้ช่างเหมาะสมกันราว์สรรค์สร้าง
ั้แ่ที่ออกมาจากห้องโถง พวกเขาสองคนพูดคุยกันน้อยยิ่งนัก
เหนียนอีหลานจ้องมองหลีอ๋องจ้าวเยี่ยน รู้สึกตะลึงในบางครั้ง แต่เพียงครู่หนึ่ง ในดวงตานางกลับมีร่องรอยแห่งความเสียดาย นางรีบถอนความคิด จากนั้นใบหน้างดงามพลันฉายประกายเหยียดหยาม
แม้เพียงชั่วขณะ ทว่าหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนยังคงไม่พลาดสีหน้านาง
สายตาแบบนี้ เขาเคยเห็นหลายครั้งแล้ว เขาคุ้นชินกับมันแล้ว แต่ดูเหมือนว่านอกจากเหนียนยวี่ สีหน้าเหยียดหยามและรักษาระยะห่างเช่นนี้ของผู้อื่น สำหรับเขาแล้วมิรู้สึกอันใดเลย ทว่าเมื่อเป็เหนียนยวี่ เขากลับ...
ภาพของสตรีผู้นั้นผุดขึ้นในหัวเขา ใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเยี่ยนที่สว่างไสว แลดูอารมณ์ดีอยู่เสมอ พลันฉายแววลึกซึ้ง
“ท่านอ๋องหลี” เหนียนอีหลานเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
จ้าวเยี่ยนพลันรู้สึกตัว เขาหันมองเหนียนอีหลาน เห็นสีหน้าอึดอัดบนใบหน้านาง จากนั้นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา...
“ท่านอ๋องหลี ท่านยายอายุมากแล้ว หวังเห็นลูกหลานได้เป็ฝั่งเป็ฝา ทว่าอีหลานอายุยังน้อย ยังไม่อยากออกเรือนเร็วเยี่ยงนี้ ท่านอ๋องหลี ท่าน...เข้าใจความหมายของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ” เหนียนอีหลานสูดหายใจลึก ราวกับยอมทำทุกอย่างก็มิปาน...