เล่มที่ 2 บทที่ 39 เปลวไฟปะทุ
“ใช่แล้ว เพราะเปลวไฟใต้ดินปะทุออกมา หลินเฟยเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหว ต้องอ้อนวอนขอให้ปล่อยเขาลงมา แต่มีหรือที่ข้าจะปล่อย ก็อาจารย์สั่งไว้นี่นา ก็ต้องแขวนไว้สามวันสามคืนน่ะสิ พอได้ทีเผลอ หลินเฟยก็ตัดเชือกไฟโลกันตร์หนีออกไป…”
เมื่อคิดบทได้แล้ว หลี่ฉุนก็หันไปจัดสถานการณ์เพื่อให้สมจริงมากขึ้น ถึงขนาดลงแรงโยนหินิญญานับร้อยก้อนลงไป เมื่อไอิญญาพวยพุ่งออกมา ก็ทำให้เปลวไฟจากใต้พิภพนั้นโหมแรงยิ่งกว่าเดิม
ในขณะเดียวกัน หลินเฟยที่อยู่ในเตาฟงอวี่แปดทิศ โดยมีปราณกระบี่อิ๋นเหวินคุ้มกันกายเนื้อ รวมถึงปราณกระบี่ไท่อี๋คุ้มกันจิติญญา ภายใต้การป้องกันสองชั้น ทำให้เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนสามารถไหลเวียนทั่วจุดตันเถียนได้อย่างราบรื่น อีกทั้งอักขระวิชามากมายก็ถูกดอกบัวสีแดงชำระจนหมดสิ้นตลอดรอบการไหลเวียน
อักขระวิชามากมายที่เ้าของร่างเดิมฝึกฝนเอาไว้นั้น ล้วนถูกเปลวไฟแปดทิศชำระจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงอักขระของเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียน พลังปราณจำนวนมากค่อยๆไหลเข้าสู่จุดตันเถียน เติมเต็มพลังปราณที่สูญเสียไปเมื่อครู่ ภายใต้การชำระล้างของเปลวไฟแปดทิศเอง แม้แต่จิติญญาเซียนที่ระดับขั้นมิ่งหุนเท่านั้นจะสามารถบำเพ็ญได้ก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วย…
หลินเฟยรู้สึกได้ถึงโชคที่กำลังหล่นใส่เขาเข้าเต็มๆ
จิติญญาเซียนที่ผ่านการชำระของเปลวไฟแปดทิศแล้วนั้น มีพลังที่มากขึ้นเกินกว่าขั้นย่างหยวนไปมาก จนสามารถรอบรรลุขั้นมิ่งหุนโดยแท้จริงได้เลย เพราะเหตุการณ์ในวันนี้แท้ๆ ทำให้ร่นเวลาในการบำเพ็ญได้เป็สิบปีเลยทีเดียว
“จริงสิ แร่เฮยเย่า…” พอเห็นว่าอักขระที่หลงเหลืออยู่ในรากฐานไม่มากแล้ว หลินเฟยจึงนำแร่เฮยเย่าออกมา หวังจะใช้เปลวไฟแปดทิศเติมเต็มมนต์สะกดที่ขาดหายไป
และก็เป็ไปตามที่หลินเฟยคิดไว้แต่แรกจริงๆ...
เดิมทีแร่เฮยเย่านั้นก็ถูกขุดออกมาก่อนกำหนดเช่นกัน ทำให้มนต์สะกดที่ควรมียังเติบโตไม่เต็มที่ หากตกอยู่ในมือคนอื่น มันคงเป็แร่โฮ่วเทียนขั้นหนึ่งที่มีคุณภาพดีกว่าแร่ทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลินเฟยไม่คิดที่จะทำให้เสียของเช่นนั้น เพราะในมือของเขามีเคล็ดวิชาจูเทียนฝูทูที่ได้ชื่อว่าเป็สุดยอดเคล็ดวิชาในการหลอมอาวุธ ต่อให้ไม่มีอะไรในมือ หลินเฟยก็มั่นใจว่าจะสามารถเติมเต็มมนต์สะกดที่หายไปได้ มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังมีเตาฟงอวี่แปดทิศอยู่ในมือแล้วด้วยอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
หลังจากอักขระวิชาสุดท้ายที่เกินมาได้สลายไปโดยเปลวไฟแปดทิศแล้ว ก็นับได้ว่าทุกเคล็ดวิชาที่เ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ ถูกหลินเฟยชำระไปจนหมดสิ้น ต่อให้นับรวมทั้งชาติ หลินเฟยก็ไม่เคยพบเคยเจอคนที่มีรากฐานบริสุทธิ์เช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อชำระเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว หลินเฟยก็มีเวลาหยุดพักหายใจเสียที…
แต่ไม่นานก็เริ่มโคจรปราณกระบี่อิ๋นเหวินอีกครั้ง เขาพยายามบีบให้ัเพลิงที่รายล้อมอยู่รอบตัวคลายดอกบัวสีแดงออกมา ในขณะเดียวกันก็โคจรพลังห่อหุ้มแร่เฮยเย่าเอาไว้ด้วย ก่อนจะส่งไปที่ดอกบัวแดงเ่าั้ เพื่อให้มันห่อหุ้มแร่เฮยเย่าไว้อีกชั้น และตามบทสุดท้ายของเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูนั้น จะต้องให้แร่เฮยเย่าผ่านการแผดเผาโดยเปลวไฟแปดทิศอีกด้วย…
แต่เดิมแร่เฮยเย่าก็มีมนต์สะกดที่ไม่สมบูรณ์เช่นกัน บัดนี้ยิ่งได้เจอเปลวไฟแปดทิศแผดเผาแล้วด้วย ทันทีทันใดไอิญญาก็แตกกระจาย จากแร่ขั้นโฮ่วเทียนก็กลายเป็แร่ธรรมดาขึ้นมาทันที เดิมทีมันก็มีสีดำสนิทอยู่แล้ว ในตอนนี้กลับยิ่งหม่นแสงเข้าไปอีกที แร่ทั้งก้อนไม่มีไอิญญาหลงเหลือแม้แต่น้อย หลินเฟยเองค่อยๆปล่อยปราณกระบี่ไท่อี๋ออกมาห่อหุ้มมนต์สะกดของแร่เฮยเย่าที่แตกกระจายเอาไว้อย่างใจเย็น
ปราณกระบี่ไท่อี๋นั้นเกิดจากแร่ขั้นเซียนเทียน มนต์สะกดที่มีจึงอยู่ในขั้นเซียนเทียนเช่นกัน บัดนี้ปราณกระบี่ไท่อี๋ขั้นเซียนเทียนได้ห่อหุ้มไอิญญาที่แตกกระจายของแร่ขั้นโฮ่วเทียนเอาไว้แล้ว ทำให้ไม่สามารถแพร่กระจายหายไปได้อีก จากนั้นหลินเฟยก็หันไปให้ความสนใจกับแร่เฮยเย่าที่กลายเป็แร่ธรรมดาต่อ
จากการแผดเผาของเปลวไฟแปดทิศ ทำให้แร่เฮยเย่าที่เดิมมีสีดำสนิท เริ่มเป็ประกายมันวาวขึ้นมา ถึงแม้จะยังเป็แค่แร่ธรรมดา แต่เพราะการแผดเผาของเปลวไฟแปดทิศ ทำให้แร่เฮยเย่าที่ดำสนิท คล้ายกับถูกลอกผิวเปลือกนอกออก จึงมีประกายแวววาวมากขึ้น ยิ่งอยู่ภายใต้ดอกบัวสีแดงแล้วจึงยิ่งงดงามมากเข้าไปอีก…
นอกจากหลินเฟยแล้ว ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าหน้าตาที่แท้จริงของแร่เฮยเย่าเป็อย่างไร คัมภีร์เคล็ดวิชาจูเทียนฝูได้บันทึกไว้ว่า แร่เฮยเย่ามีอีกชื่อคือเหล็กเฟิ่งหวง ต้องนำไปฝังไว้ใต้ดินนับพันปี จึงจะเกิดมนต์สะกดขึ้นมา อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของแร่เฮยเย่า เพราะมันต้องผ่านการหลอมด้วยไฟอีกเก้าครั้ง จึงจะถือกำเนิดเป็เหล็กเฟิ่งหวงที่แท้จริง เมื่อเป็เช่นนั้นมนต์สะกดขั้นโฮ่วเทียน ก็จะกลายเป็มนต์สะกดธาตุไฟที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงไม่แพ้เปลวไฟแปดทิศ
“เฮ้อ…” หลังจากแร่เฮยเย่ากลายเป็เหล็กเฟิ่งหวงแล้ว หลินเฟยก็ปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเป็เม็ดเต็มใบหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะปล่อยปราณกระบี่ที่ห่อหุ้มไอิญญาของแร่เฮยเย่าอยู่นั้นให้เป็อิสระเสียที แต่ทันใดนั้นหลินเฟยก็กลับขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา
‘เกิดอะไรขึ้น?’
ทะเลเพลิงด้านล่างเกิดโหมปะทุรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง หากช้าเพียงเสี้ยวนาทีเดียวก็คงจะถูกเปลวไฟเ่าั้เผาจนวอดวาย ในขณะที่ยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็รีบโคจรปราณกระบี่ไท่อี๋สะบั้นลงไป หวังสลายทะเลเพลิงนับสิบจ้างตรงหน้าให้สูญสิ้น ก่อนจะโคจรพลังดีดตัวลอยขึ้น…
สุดท้ายหลินเฟยก็อยู่เพียงขั้นบำเพ็ญย่างหยวนเท่านั้น ต่อให้โคจรพลังอย่างไร ก็ทำได้เพียงเหาะด้วยกระบี่เท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญขั้นฟ่าเซี่ยงที่สามารถหายตัวได้นับพันลี้แล้ว ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้ตอนแรกจะอาศัยปราณกระบี่ไท่อี๋กดข่มเอาไว้ ทำให้รอดพ้นอันตรายมาได้ก็ตาม แต่ไม่นานเปลวไฟที่โหมแรงก็ปะทุขึ้นมาอีกรอบ…
ที่แย่ไปอีกก็คือัเพลิงที่พันอยู่รอบตัวนั้น ได้อาศัยเปลวไฟที่โหมแรง คำรามขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยอุณหภูมิที่ร้อนดั่งจะเผาไหม้สรรพสิ่งให้วอดวาย แม้แต่ปราณกระบี่อิ๋นเหวินที่คุ้มกายก็แทบจะต้านไม่อยู่…
“บัดซบ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่?” หลินเฟยต้องรับมือกับัเพลิงของเปลวไฟแปดทิศ พลางหลบหนีเปลวไฟจากใต้พิภพไปด้วย ช่างเป็สถานการณ์ที่ยากลำบากเกินจะจินตนาการได้จริงๆ
‘เปลวไฟใต้พิภพปะทุอย่างนั้นหรือ?’
หลินเฟยรู้ดีว่าใต้หุบเขาหมัวเจี้ยนนั้น มีชีพจรไฟโลกันตร์ไหลเวียนอยู่ เมื่อผ่านไป่เวลาหนึ่ง ไฟใต้พิภพก็จะปะทุออกมา ทุกๆครั้งที่เกิดขึ้น ผู้าุโของหุบเขาหมัวเจี้ยนจะต้องใช้กำลังเข้าสยบเสมอ พอคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็เกิดอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงจะว่าตัวเองจะลืมเื่นี้ไปเสียได้
‘ช้าก่อน ไม่ใช่สิ…’
‘หากจำไม่ผิด เปลวไฟใต้พิภพเพิ่งจะปะทุไปเมื่อปีที่แล้วเอง เพราะฉะนั้นต้องรอไปอีกสามถึงห้าปีถึงจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เป็ไปไม่ได้ที่จะมาปะทุอีกรอบในตอนนี้
‘ถ้าอย่างนั้น แสดงว่านี่ไม่ใช่เปลวไฟปะทุหรือ?’
“บ้าชะมัด ต้องเป็ฝีมือเ้าหลี่ฉุนแน่ๆ!” หลินเฟยใช้เวลาพิจารณาเพียงไม่นานก็เข้าใจขึ้นมาได้ทันที หากไม่ใช่เปลวไฟใต้พิภพปะทุ ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียว คือต้องมีใครสักคนเทหินิญญามากมายลงมา ทำให้พลังิญญาเพิ่มขึ้นจนเปลวไฟในเตาฟงอวี่แปดทิศโหมกระพือรุนแรงเช่นนี้
และแน่นอนว่าคนที่มีปัญญาพอที่จะเทหินิญญามากมายลงมาในตอนนี้ จะเป็ใครไปไม่ได้เลย…นอกจากหลี่ฉุนคนนี้นั่นแหละ!
‘จบกัน! ขืนเป็แบบนี้คงได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ด้วยน้ำมือเ้าหลี่ฉุนเป็แน่’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------