ม่านพิภพตระกูลหวัง มหานครจูเชว่ ดินแดนพิภพระดับสูง
ท่ามกลางความเงียบสงบภายในหอบรรพชนตระกูลหวัง ปรากฎร่างของบุรุษวัยกลางคนยังคงถ่ายเทพลังลมปราณเข้าสู่สมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดที่ถูกเรียกขานนามว่าตะเกียงสามขาผสานิญญาส่องพิภพ์อันเป็สมบัติวิเศษตกทอดมาั้แ่เริ่มก่อตั้งตระกูลเมื่อหลายพันปีก่อน โดยเชื่อกันว่าขุมพลังลี้ลับบางประการที่ไหลเวียนอยู่จะสามารถชักนำกายเนื้อและจิติญญาให้หวนคืนจากความตายได้แม้จะแตกสลายไปแล้วก็ตาม
ถึงในอดีตเองจะเคยมีการเปิดใช้งานสมบัติวิเศษดังกล่าวแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนชีพคนผู้นั้นได้อย่างแท้จริง ถึงอย่างไรหวังจิ่งหลงยังคงเชื่อมั่นด้วยศรัทธาที่แรงกล้าถึงขีดสุด ต่อให้สิ่งนี้เป็เพียงความหวังเดียวที่ไม่รู้ว่าจะเป็ไปได้หรือไม่ก็ตาม
ปัจจุบันหวังจิ่งหลงรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังทั้งยังขึ้นเป็ผู้ปกครองมหานครจูเชว่แห่งนี้ก็นับเป็เวลาสิบปีแล้ว หลังจากสิ้นสุดศึกใหญ่ที่เขาได้นำกองกำลังพันธมิตรไปทำลายตำหนักเทพมารทมิฬให้หายไปจากหน้ามหาพิภพในครั้งนั้น แม้เวลาจะผันผ่านหมุนเวียนเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ทว่าการจากไปของหนิงอ้ายกล่าวว่ายังไม่อาจยอมรับได้เพียงนิด
่แรกนั้นทุกอย่างยังคงเป็ไปอย่างราบรื่นแม้จะมีปัญหาเข้ามาเขาก็สามารถแก้ไขและผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดาย ทว่าระยะเวลาสองสามปีหลังมานี้เหตุการณ์สถานการณ์ความไม่สงบในมหานครจูเชว่ที่เกิดขึ้น เมื่อสืบเสาะแล้วดูเหมือนว่าทางตระกูลฮั่นที่เป็หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่จะได้กลุ่มอิทธิพลที่ไม่เปิดเผยตัวหนุนหลัง จึงทำให้กล้ากระทำการท้าทายและลอบกัดตระกูลหวัง พวกเขายังคาดเดาว่าคงมีไส้ศึกที่แฝงตัวอยู่ในตระกูลเช่นกันจึงทำให้ทุกความเป็ไปของตระกูลที่เกิดขึ้นอีกฝ่ายจึงสามารถรับรู้และฉวยโอกาสในบางครั้ง
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้หวังเฟยหลงน้องชายคนรองของเขาก็ได้ถูกทางฝั่งตระกูลฟางที่เข้าร่วมกับตระกูลฮั่นดักซุ่มลอบโจมตีโดยหมายที่จะสังหารให้ตายตกไป แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะต้องสูญเสียมือดีไปไม่น้อยอย่างไรก็ยังสามารถรักษาชีวิตน้องชายของเขาไว้ได้
จากที่พูดคุยปรึกษาอย่างเร่งด่วน หวังเฟยหลงได้เล่าถึงความเป็ไปคร่าว ๆ ให้รับรู้ว่า ทางฝั่งของตระกูลฟางและตระกูลฮั่นเป็ผู้ที่อยู่เื้ัการกระทำที่ต่ำช้าเช่นนี้ เคราะห์ดีที่มียอดฝีมือผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเหลือเขาไว้ได้ทันจึงทำให้รอดชีวิตและกลับมายังตระกูลหวังอย่างปลอดภัย โดยที่ตอนนี้พวกเขาก็ได้ตัวคุณชายใหญ่ฟางเป็ตัวประกันเช่นกัน
ตอนแรกอีกฝ่ายยังไม่ยินยอมเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้นไม่ว่าจะทรมานโดยใช้วิธีต่าง ๆ มากมายก็ตาม แต่เมื่อได้รับโอสถพิสดารจากยอดฝีมือท่านนั้นที่มอบให้กับหวังเฟยหลง เพียงไม่ถึงชั่วจิบชาให้หลังอีกฝ่ายถึงกับเอ่ยแผนการทั้งหมดโดยที่ไม่สามารถโกหก เมื่อทราบถึงข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลารับมือได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้นหลายเท่าเพื่อจัดการในคราเดียวให้เสร็จสิ้น
สุดท้ายแม้จะวุ่นวายต่อสิ่งเหล่านี้มากเพียงใด ทว่าทุกค่ำคืนเขายังคงปักหลักอยู่ในหอบรรพชนแห่งนี้ พร้อมกับสังเวยโลหิตและถ่ายเทพลังลมปราณเข้าสู่ตะเกียงิญญาตรงหน้าด้วยความหวังที่ว่าหนิงอ้ายหลานชายของเขาจะต้องกลับมาได้อย่างปลอดภัยในสักวัน
ครืน!!!!
ท่ามกลางความเงียบงันที่เป็ไปอย่างปกติ ตะเกียงสามขาผสานิญญาส่องพิภพ์ตรงด้านหน้าพลันทอแสงประกายสีแดงทองประกายรุ้งสว่างไปทั่ว ดวงตาเหม่อลอยของหวังจิ่งหลงพลันเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงความหวังในใจได้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง
ขณะเดียวกันพลังปราณฟ้าดินในม่านพิภพของตระกูลหวังได้สั่นะเือย่างรุนแรงพร้อมกับความผันแปรของพลังปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์เข้มข้น ส่งผลให้บรรดาผู้าุโรวมไปถึงทุกคนในตระกูลต่างตกตะลึงและออกจากการนั่งรวบรวมปราณฟ้าดินไปชั่วขณะ เสาแสงสีแดงทองประกายรุ้งพิสดารได้สาดซัดลงปกคลุมหอบรรพชนนี้ก่อนที่จะปรากฎเงาร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฎขึ้น พร้อมกับร่องรอยความเสียหายของสมบัติวิเศษตะเกียงสามขาผสานิญญาส่องพิภพ์ชิ้นดังกล่าวที่แตกร้าวเป็ทางยาวถึงส่วนด้านล่างเลยทีเดียว
"เป็เ้า..." หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นแ่เบา ราวกับว่าสิ่งนี้อาจเป็เพียงภาพลวงตาที่เขาจินตนาการขึ้น
“ข้าหนิงอ้ายกลับมาแล้วขอรับ...” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นพร้อมกับเผยให้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีใบหน้างดงามหมดจดยิ่ง หวังจิ่งหลงไม่รอช้าเข้ากอดอีกฝ่ายด้วยความคิดถึงชดเชย่เวลาที่เสียไปก่อนหน้า
ความรู้สึกอันลึกซึ้งมากมายยากที่จะบรรยาย ได้แผ่ซ่านในหัวใจของหวังจิ่งหลงผู้เฝ้ารอคอยการกลับมาหนิงอ้ายด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตามตลอดสิบปีมานี้แน่นอนว่าทั้งหวังจิ่งหลง เหมยฮวา เยว่ซินและลู่ซีต่างเฝ้ารออีกฝ่ายอย่างถึงที่สุดทว่าความคิดถึงของพวกเขาก็มาพร้อมความเ็ปจากการรอคอยที่ไร้จุดหมายด้วยไม่รู้ว่าหนิงอ้ายกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ โดยไม่คิดว่าวันที่เฝ้ารอคอยได้มาถึงแล้วในที่สุดเสียที ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นตลอดหลายปีมานี้ไม่เสียเปล่าอย่างแท้จริง
“เ้ากลับมาแล้ว หนิงเอ๋อร์หลานตา...” หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระชับอ้อมแขนเพื่อกอดชายหนุ่มตรงหน้า แม้รูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ทว่าความรู้สึกคุ้นชินของสายเืที่ััได้ย่อมไม่ผิดไปแน่ อีกทั้งความรู้สึกความผูกพันบางอย่างในใจได้บอกกับว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้คือหนิงอ้ายอย่างแน่นอน
“เป็ข้าทำให้ท่านตาต้องเป็กังวลหลายปี ขออภัยด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความรู้สึกผิดไม่น้อย ในพิภพพิสดารก่อนหน้าเวลาได้ล่วงเลยมากกว่ายี่สิบปีนับว่าเป็เวลาที่ยาวนาน แม้จะไม่รู้ว่าภายในดินแดนนี้เวลาได้ผันผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด แต่ร่องรอยความเหนื่อยล้าและ่อายุที่ดูเพิ่มขึ้น จึงพอที่จะคาดเดาได้ว่าคงเป็เวลาไม่น้อยเช่นกัน
“อย่าได้ถือโทษตัวเอง...หลานกลับมาอย่างปลอดภัยเพียงเท่านี้นับว่าดียิ่งแล้ว เข้าใจหรือไม่??” หวังจิ่งหลงผละตัวออกจากหลานชายของตนพร้อมกับสำรวจทั่วทั้งร่างกายของอีกฝ่ายอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหลานของเขาคงเผชิญเื่ราวต่าง ๆ ไม่น้อย กลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาให้ััถึงกับหนักแน่นเหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันยิ่งนัก
“เข้าใจแล้วขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับแผ่ญาณััอันลึกล้ำประจำตัวออกไปทั่วบริเวณ ก่อนจะััได้ถึงปราณสายหนึ่งที่คุ้ยเคยกำลังมุ่งตรงมาด้วยความรวดเร็ว
“หนิงเอ๋อร์!!!” ไม่กี่จิบชาให้หลังเงาร่างของสตรีนางหนึ่งได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับเรียกขานนามด้วยความคิดถึง ใบหน้างามของนางต่างมีหยดน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
“ท่านแม่...ข้ากลับมาแล้วขอรับ” หนิงอ้ายเข้าสวมกอดเยว่ซินผู้เป็มารดาอย่างแแ่ จากความทรงจำครั้งสุดท้ายหากเปรียบเทียบแล้วมารดาของเขาผ่ายผอมลงไปไม่น้อย ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างความะเืใจแก่ผู้เป็มารดาอย่างแท้จริง
“เป็อย่างไรบ้างหลายปีมานี้เ้าสุขสบายดีหรือไม่ แล้วเหตุใดถึงยังดูอ่อนวัยเช่นนี้เล่า??”
เยว่ซินลูบศีรษะบุตรชายก่อนถามออกไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจเล็กน้อย พร้อมกับซึมซับกลิ่นอายของบุตรชายไปอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อชดเชยตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ใบหน้าที่เคยประดับด้วยความเศร้าหมองยามนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มที่งดงามอีกครั้ง
“ข้าสบายดีขอรับท่านแม่ ตลอดหลายปีมานี้มีเื่ราวเกิดขึ้นมากมายอยู่ไม่น้อย ข้าจะเล่าให้พวกท่านฟังอย่างแน่นอนขอรับ...”
“เยว่เอ๋อร์ บิดาว่ายามนี้เ้าควรพาหนิงเอ๋อร์ไปพักผ่อนเสีย ยังมีเวลาอีกมากในการพูดคุยหลังจากนี้...” หวังจิ่งหลงเห็นภาพตรงหน้าก็ระบายยิ้มอย่างสุขใจออกมา ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาเพียรภาวนาในวันนี้จะเป็จริงเสียที
ก่อนหน้านี้เสาแสงสีแดงทองประกายรุ้งพิสดารได้สาดซัดลงปกคลุมหอบรรพชนทั้งหลัง พร้อมกับพลังปราณฟ้าดินในม่านพิภพของตระกูลหวังได้สั่นะเือย่างรุนแรงด้วยความผันแปรของพลังปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์เข้มข้น
สิ่งนี้ได้เรียกความสนใจจากผู้ฝึกตนระดับสูงที่เร้นกายได้ไม่น้อยด้วยพอคาดเดาได้ว่าหลานชายของท่านผู้นำตระกูลคงฟื้นคืนชีพจากความตายด้วยสมบัติวิเศษประจำตระกูลชิ้นนั้นแล้วช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง แม้พวกเขาจะสงสัยมากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้บริเวณนี้ด้วยคำสั่งของท่านประมุข
หนิงอ้ายััได้ถึงกระแสพลังบางอย่างที่คล้ายกำลังลอบดักฟังอยู่จึงส่งกระแสพลังจิติญญาตีกลับไป ก่อนจะส่งสัญญาณให้หวังจิ่งหลงกับเยว่ซินได้รับรู้ หวังจิ่งหลงจึงส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามด้านหลังไปจัดการบางอย่างในทันที
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้าเรือนใหญ่หลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนอันเขียวชอุ่ม พลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นไหลเวียนโดยรอบด้วยแรงหนุนจากค่ายกลระดับสูงที่ถูกกำกับประทับบนรูปปั้นเฟยเฟิ่งที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงยิ่งตรงด้านหน้าทางเข้า
ส่วนหลังคาเรือนโค้งมนต่างประดับด้วยกระเบื้องสีเขียวมรกตแวววาว ส่วนตัวเรือนเป็สีแดงสดตัดกับหน้าต่างกรอบไม้สีดำที่แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง วัสดุก่อสร้างเรือนหลังนี้ล้วนล้ำค่าหายากสมกับเป็ตระกูลใหญ่ที่ปกครองมหานครอย่างแท้จริง
"ท่านตา ท่านยาย ท่านแม่ เป็ข้าที่อกตัญญูทำให้พวกท่านทั้งสามต้องทุกข์ใจได้โปรดรับการคำนับขอโทษจากข้าด้วยนะขอรับ..." เมื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว หนิงอ้ายจึงลุกยืนขึ้นก่อนเปลี่ยนท่าทางยกมือประสานก้มกราบคำนับด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง
"เื่นี้หาใช่เป็ความผิดของเ้าเสียเมื่อไหร่กัน เพียงแค่กลับมาอย่างปลอดภัยเช่นนี้นับว่าดียิ่งแล้ว..." หวังจิ่งหลงเป็ตัวแทนเอ่ยขึ้น ก่อนจะรวบตัวเด็กหนุ่มเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง ยามนี้บรรยากาศเศร้าหมองที่เคยกัดกินหัวใจของพวกเขานั้นได้ถูกทำลายไปสิ้นเหลือเพียงแต่ความยินดีและความสุขใจอย่างถึงที่สุด ยามเมื่อสิ่งล้ำค่าได้หวนคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง
"หากข้าคาดเดาไม่ผิด สถานที่แห่งนี้คงเป็ม่านพิภพของตระกูลหวัง ที่ตั้งอยู่ในดินแดนจูเชว่ของพิภพระดับสูง หรือว่าความจริงแล้วต้นกำเนิดของตระกูลหวังเป็ที่แห่งนี้หรือขอรับ?" หนิงอ้ายถามไปด้วยความสงสัย
"ไม่คาดคิดว่าเ้าจะรู้จักพิภพระดับสูงด้วย...เป็ดั่งที่หลานเข้าใจ ความจริงแล้วต้นตระกูลของเรานั้นเป็ผู้ปกครองดินแดนจูเชว่ บนพิภพระดับสูงแห่งนี้ แต่ด้วยเพราะขีดจำกัดของทางสายเืและระดับพลังิญญาจึงทำให้ลูกหลานเชื้อสายตระกูลหวังต่างแยกตัวตั้งรกรากในดินแดนอื่น ดังเช่นตระกูลหวังที่ตั้งอยู่บนแคว้นเต่าดำ ดินแดนแห่งนั้นถูกขนานนามว่าพิภพระดับกลาง อันประกอบไปด้วยดินแดนทั้งแปดทิศ ซึ่งต่างล้วนมีต้นตระกูลหรือเชื้อสายจากพิภพระดับสูงแห่งนี้ทั้งสิ้น"
"ยามนั้นตาของเ้า ยังคงเป็ชายหนุ่มที่รักอิสระเป็อย่างยิ่ง เมื่อได้รับมอบหมายในฐานะว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป ตาจึงได้หลบหนีไปยังพิภพระดับกลาง อันเป็ที่ตั้งของตระกูลหวังในปัจจุบัน จนท้ายที่สุดก็ได้พบรักกับยายของเ้า และให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่งนั่นคือมารดาของเ้านั่นเอง..."
“ยามนี้ตาขึ้นเป็ประมุขตระกูลหวัง เป็ผู้ปกครองดินแดนจูเชว่แห่งนี้ แม้อยากจะมอบหมายหน้าที่ให้กับอารองของเ้ามากเพียงใดก็ตามแต่ด้วยสัญญาที่ให้กับปู่ทวดของเ้า ตาย่อมไม่อาจบิดพลิ้วและละเลยหน้าที่เหล่านี้ได้..." หวังจิ่งหลงตอบไปพร้อมกับหวนคิดถึงวันวาน
“หลานช่วยเล่าให้ฟังได้หรือไม่ ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นตลอดหลายปีมานี้??” หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มสุขใจออกมา ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปรวมไปถึงกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านอย่างท่วมท้น เขาจึงอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับอีกฝ่ายกันใน่หลายปีที่ผ่านมา
หนิงอ้ายได้เริ่มเื่ราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปิดบัง โดยเริ่มหลังจากที่เขาถูกแม่ทัพมารผู้นั้นสังหารเขาจนกายเนื้อและจิติญญาได้ถูกสลายไปทว่าเสี้ยวดวงจิตสุดท้ายได้ถูกกระตุ้นด้วยพลังแห่งสายเืได้พาเขาไปยังห้วงมิติพิสดารอันเป็ที่อาศัยของเทพาทั้งสามซึ่งเขาได้รับการเอ็นดูจากพวกท่านเป็อย่างมาก โดยไม่ลืมเล่าเื่ราวท่านน้าฟางเยว่ ท่านพี่ฟางหลิง สองแม่ลูกเผ่าพันธ์จิ้งจอกเก้าหางที่คอยเลี้ยงดูอุ้มชูเขาจนเติบใหญ่ รวมไปถึงการเข้าทดสอบในเส้นทางต่าง ๆ ที่เมื่อได้ฟังแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความตกตะลึงออกมา
โดยเฉพาะยิ่งเมื่อทราบว่าหนิงอ้ายนั้นสามารถผ่านการทดสอบเส้นทางนรกและกลายเป็เทพแห่งการสังหารคนที่เก้าในทำเนียบ อีกทั้งระยะเวลาในห้วงมิติพิสดารได้ผันผ่านเป็เวลาถึงยี่สิบปี โดยที่ในมหาพิภพแห่งนี้กาลเวลาได้ผ่านไปเพียงสิบปีเท่านั้น
“คิดไม่ถึงว่าหลานจะได้พบเจอเื่ราวมากมายถึงเพียงนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเ้านั้นนับว่าเป็โชคชะตาฟ้าลิขิตเื่ราวเหล่านี้ชวนให้ตื่นตะลึงยิ่ง...” หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ไม่คิดว่าหลานของเขานั้นจะได้พบเจอกับเื่ราวพิสดารเช่นนี้ได้
“แล้วท่านพี่ลู่ซีเล่าขอรับ? หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น หลานคิดว่าจะกลับไปที่สำนักศึกษาเช่นกันขอรับ ไม่รู้ว่ายามนี้ท่านอาจารย์และศิษย์พี่นั้นจะเป็อย่างไรบ้าง”
“ยามนี้พี่ชายของเ้าเป็ถึงศิษย์หลักของสำนักศึกษาแล้วรวมไปถึงสหายของหลานทุกคนล้วนเป็ศิษย์หลักแล้วเช่นกัน...” จากนั้นหวังจิ่งหลงได้เล่าเื่ราว สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอด่สิบปีมานี้ กล่าวว่ามีบางสิ่งที่ยังคงเดิมหรือเปลี่ยนไปอยู่ไม่น้อย
การจากไปของหนิงอ้ายได้สร้างความเสียใจและความเ็ปกว่าที่คาดคิด แต่หนิงอ้ายก็ดีใจที่ทุกคนยังคงยึดมั่นในเส้นทางเดินและเติบโตได้เป็อย่างดี ถึงอย่างไรหลังจากจัดการเื่ราวความวุ่นวายของตระกูลหวังได้แล้ว เขาย่อมกลับคืนสำนักศึกษาอย่างแน่นอน...
