ร่างทั้งสองก้าวออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนหายลับไปจากสายตา หูของเหนียนอีหลานยังคงดังก้องไปด้วยถ้อยคำเมื่อครู่นี้ของเจินกูกู
ปลาที่เล็ดลอดตาข่าย... เขาจิ่งชานเป็สถานที่ล่าสัตว์...
ในใจของเหนียนอีหลานรู้สึกหนาวเหน็บ นางไม่กล้าอยู่นอกกระโจมนาน จึงรีบหดตัวกลับเข้าไปทันที และปิดม่านสนิท ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพในกระโจมตลบอบอวลล้อมรอบตัวเหนียนอีหลานอย่างสิ้นเชิง เหนียนอีหลานอดจะอาเจียนออกมาไม่ได้
ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น นางก็ยังไม่กล้าออกไป ขดตัวหลบซ่อนอยู่ที่มุมห้อง
่นี้เป็่ที่อากาศร้อนที่สุดในฤดูคิมหันต์ ผ่านไปไม่กี่วัน ร่างกายของฟางเหอก็เน่าเสีย
หางตาพลันเหลือบไปเห็นร่างไร้ิญญาอย่างไม่ตั้งใจ เพียงพริบตาเหนียนอีหลานรีบผละสายตาหนีทันทีอย่างตื่นตระหนก ไม่กล้าหันมองอีก
เหนียนยวี่ออกจากสวนร้อยสัตว์ เดิมที้าจะจากไป ทว่าฮองเฮาอวี่เหวินกลับเรียกนางให้เข้าไป ฮองเฮาอวี่เหวินเพียงปล่อยให้นางดื่มชา ทั้งยังไม่กล่าวสิ่งใด จนกระทั่งองค์หญิงใหญ่ชิงเหอมาตำหนักชีอู๋ กล่าวทักทายกับฮองเฮาอวี่เหวินอยู่ครู่หนึ่ง เหนียนยวี่จึงค่อยติดตามองค์หญิงใหญ่ชิงออกจากวังหลวงไปด้วยกัน
ในใจของนางหวนนึกถึงถ้อยคำกำชับของเหนียนอีหลานในสวนร้อยสัตว์
ให้หนานกงเยวี่ยคิดหาหนทาง?
เหนียนยวี่รู้ว่า ถึงแม้ว่านางจะส่งต่อถ้อยคำนี้ไป หนานกงเยวี่ยและตระกูลหนานกงจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคิดหาหนทาง ทว่าหนานกงเยวี่ยรู้ถึงสถานการณ์ของในยามนี้ของเหนียนอีหลานหรือไม่?
ในหัวของเหนียนยวี่ผุดภาพใบหน้าของสตรีสูงศักดิ์ผู้โหดร้ายคนนั้น บุตรสาวของนางในยามนี้ช่างน่ารันทดถึงเพียงนั้น หากนางรู้เข้าจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร?
วันรุ่งขึ้น เหนียนยวี่กลับไปที่จวนเหนียน
หลายวันมานี้ เพราะเื่ของเหนียนเฉิงและเหนียนอีหลานที่เกิดขึ้นในจวนเหนียน บรรยากาศทั่วทั้งจวนเหนียนจึงแปรเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาดยิ่ง
หนานกงเยวี่ยถูกกักบริเวณอยู่ในหอหลานเยวี่ย ทว่าแม้นางจะไม่ได้ก้าวเท้าออกจากหอหลานเยวี่ยสักก้าว กลับยังคงควบคุมจวนเหนียนด้วยความกดดันมหาศาล นางออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดในจวนเหนียนหัวเราะหรือพูดเสียงดังจอแจตามใจ
วันนั้นมีสาวใช้นางหนึ่งในจวนพูดจาเสียงดังเล็กน้อย หนานกงเยวี่ยสั่งโบยนางสามสิบไม้ และเอาตัวไปโยนทิ้งในห้องฟืน สาวใช้คนนั้นเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้นเพราะมีไข้สูงจาก ‘อาการป่วย’ ในชั่วข้ามคืน
ทั่วทั้งจวนเหนียน เหล่าข้ารับใช้ทุกคนล้วนรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในอันตราย แม้บรรดาอนุภรรยาจะคอยเฝ้ามองงิ้วของหนานกงเยวี่ย ทว่าด้วยฐานะที่นางเป็นายหญิงของจวน รวมถึงอิทธิพลของตระกูลหนานกงที่อยู่เื้ั แม้แต่อนุสองลู่ซิวหรงยังไม่กล้าด่าทอนาง
หนานกงเยวี่ยในยามนี้เห็นผู้ใดก็กัดคนผู้นั้น สะท้อนถ้อยคำของอนุสี่สวีหว่านเอ๋อร์ที่กล่าวว่านางเป็หมาบ้าของจริง ผู้ใดก็ตามที่เข้าใกล้จะต้องถูกกัดจนเป็แผลเหวอะอย่างแน่นอน
ครั้นเหนียนยวี่มาถึงจวนเหนียน นางมุ่งหน้าตรงไปยังหอหลานเยวี่ย เพียงครู่เดียว ข่าวได้แพร่กระจายไปยังลานเรือนของเหล่าอนุอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่แม้แต่บรรดาอนุภรรยาทั้งสามละทิ้งสิ่งที่ทำอยู่ และรีบออกมาจากซิ่งฟางย่วนอย่างเร็วรี่ในทันใด
ใกล้จะถึงหอหล่านเยวี่ยแล้ว อนุภรรยาทั้งสามเจอกันโดยบังเอิญ
“หึ หน้าตาของคุณหนูรองผู้นี้ช่างใหญ่โตอย่างที่คิด กลับมาจวนเหนียนคราเดียว พวกเราทุกคนล้วนออกมากันหมด” อนุสองลู่ซิวหรงยกยิ้มอย่างอ่อนหวาน ชำเลืองมองอีกสองคน ขยับพัดในมืออย่างแ่เบา ทุกคนล้วนหวังว่าจะได้ชมดูเื่ครึกครื้นกันอยู่ใช่หรือไม่?
อนุสี่สวีหว่านเอ๋อร์กระตุกยิ้มมุมปาก “เื่ในจวนเหนียนจะมีผู้ใดไม่สนใจบ้างเล่า?”
ครั้นเอ่ยจบ นางก้าวเข้าไปใกล้ลู่ซิวหรงมากขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่ลู่ ท่านเป็คนแรกที่มาถึง สถานการณ์ในหอหลานเยวี่ยเป็อย่างไรบ้าง?”
"ข้าเห็นเพียงว่าคุณหนูรองเดินเข้าไปข้างใน" อนุสองเหลือบมองหอหลานเยวี่ย นางไหนเลยจะไม่อยากรู้สถานการณ์ด้านในเล่า
ทว่าสถานการณ์ของหนานกงเยวี่ยใน่นี้ หอหลานเยวี่ยยามนี้เป็สถานที่ที่ไม่ควรไปเยือน เข้าไปอาจจะมีปัญหาได้ แม้แค่ยืนอยู่ตรงนี้ในยามนี้ นางยังไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าคุณหนูรองกลับ...
ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจวนเหนียนวันนั้น ลู่ซิวหรงหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เข้าไปแล้วหรือ? วันนั้นคุณหนูใหญ่โดนลงโทษ ถูกฮองเฮาอวี่เหวินสั่งให้พาตัวไปด้วย ข้าได้ยินว่า หนานกงเยวี่ยยืนกรานว่าเป็เพราะคุณหนูรองใส่ร้าย คุณหนูเข้าไปเช่นนี้ กลัวแต่ว่า...” สวีหว่านเอ๋อร์บิดผ้าเช็ดหน้าในมือ จิตใจของนางปรารถนาให้เหนียนยวี่สามารถต่อต้านตีเสมอหนานกงเยวี่ยได้ ถึงอย่างไรเสีย ยามนี้ ท่ามกลางขั้วอำนาจสามฝักฝ่ายในจวนเหนียน นางเคยใกล้ชิดกับเหนียนยวี่มาก่อน ไม่เพียงแค่นั้น หลายวันก่อนหน้านี้ เป็เพราะการกดดันของหนานกงเยวี่ย นางจึงไปเยือนเรือนหรูอี้เพื่อร้องขอหลายต่อหลายครั้ง ในสายตาของท่านหญิงอิ้งเสวี่ย เชื่อมั่นว่าตัวนางเป็คนของหนานกงเยวี่ยอย่างแน่นอน ยามนี้ทางเลือกของนางจึงมีเพียงคุณหนูรองเท่านั้น!
“น้องสวีเป็ห่วงคุณหนูรองถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ?” ลู่ซิวหรงหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นแฝงนัยหลายอย่าง
สวีหว่านเอ๋อร์ฝากความหวังไว้ที่เหนียนยวี่ นางจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ยามนี้นางเองก็จำต้องคาดหวังกับเหนียนยวี่เช่นกัน!
สวีหว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางจะฟังความหมายของลู่ซิวหรงไม่ออกได้อย่างไร จึงจ้องมองลู่ซิวหรงเขม็ง ไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า “พี่ลู่ หลายวันมานี้มิใช่ว่าพี่ก็ได้เข้าใกล้เรือนหรูอี้แล้วหรอกหรือ?”
“ทำไม? เ้าอิจฉา หรือริษยากันแน่?” ลู่ซิวหรงไม่หลีกเลี่ยง ในจวนเหนียนแห่งนี้ ไหนเลยจะแอบซ่อนความลับได้?
“เ้า...”
ถูกลู่ซิวหรงทำให้สำลัก สวีหว่านเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ ในใจกรุ่นโกรธโมโห ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะหักล้างอย่างไร
นางพูดถูก ข้าอิจฉาและริษยา!
มิรู้ว่าลู่ซิวหรงผู้นี้ไปขอร้องบรรพบุรุษในเรือนหรูอี้ผู้นั้นสำเร็จได้อย่างไร!
ทว่าสายตาของอนุสามเซวียอวี่โหรวด้านข้าง กลับจ้องมองไปยังทิศทางของหอหลานเยวี่ยตลอดเวลา ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ออกไป ออกไปให้พ้นจากข้า!”
ทันใดนั้น เสียงร้องเอ็ดตะโรอย่างดุดันขอหนานกงเยวี่ยดังออกมาจากด้านในหอหลานเยวี่ย ตามด้วยเสียงดังก้อง ทั้งสามคนต่างชะงักงันไปครู่หนึ่ง หนานกงเยวี่ยผู้นั้นมีโทสะไม่น้อยเลย แล้วเหนียนยวี่เล่า?
เมื่อทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากัน เหนียนยวี่จะเสียเปรียบหรือไม่?
ในหอหลานเยวี่ย
เสียงะโรุนแรงและเสียงดังก้องเมื่อครู่นี้ เมื่ออยู่ในหอหลานเยวี่ยก็ยิ่งอื้ออึง ชั่วครู่หนึ่ง ข้ารับใช้ทุกคนในลานไม่กล้าขยับตัว และเงียบกริบ ถึงกระทั่งที่สาวใช้ก่อนหน้านี้วิ่งออกจากห้อง
ภายในห้อง เหนียนยวี่ยืนอยู่ที่ประตู เมื่อครู่นี้เดิมทีถ้วยชาลอยตรงมาที่หน้าผากนาง ทว่ากลับแฉลบผ่านใบหูของนางอย่างพอดิบพอดี ในยามนี้ถ้วยชาตกแตกเป็เศษเล็กเศษน้อยบนพื้นด้านหลังนาง
"เหนียนยวี่ ทำไมข้าไม่ทุบตีเ้าให้ตาย!" หนานกงเยวี่ยกับเหนียนยวี่ยืนประจันหน้า พร้อมกับถลึงตามองเหนียนยวี่อย่างดุดัน ในสายตาคู่นั้นราวกับ้าจะกลืนกินนาง
ทุบตีข้าให้ตายหรือ?
ใน่เวลาสิบห้าปีที่ผ่านมา นางถูกถ้วยชาซัดใส่ร่างกายตนเองเช่นนี้มาแล้วกี่ครา ตัวนางเข้าใจได้อย่างดีว่ารสชาติของชีวิตเป็เช่นไร ทว่าในยามนี้ นางได้กลับคืนชีวิตอีกครั้ง เช่นนั้นนางจะทนให้รังแกได้อย่างไร?
“ฮูหยินคลายโทสะลงก่อนเถิด ยวี่เอ๋อร์มีเื่จะพูด” เหนียนยวี่กล่าวอย่างไม่รีบร้อนไม่เชื่องช้า พลางจ้องมองท่าทางดุร้ายของหนานกงเยวี่ย
“มีเื่จะพูด? เ้ายังมีเื่อะไรจะพูดอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเ้า เหนียนอีหลานของข้าจะลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร? สถานการณ์ในวังหลวงยามนี้เป็เช่นไร พวกเรามิอาจรู้เลย!” ครั้นเอ่ยถึงเหนียนอีหลาน ในใจของหนานกงเยวี่ยพลันคับแน่นทุกตารางนิ้ว ภาพที่เหนียนอีหลานถูกโบยวันนั้นในลานเซียนหลาน มิว่าอย่างไรก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวนางไม่หยุด
เหนียนอีหลาน ลูกจะเป็อย่างไรบ้าง?
อยู่ในวังหลวง ฮองเฮาจะทำให้ลูกทุกข์ทรมานอีกหรือไม่?
แม้เมื่อวานซืน ท่านแม่จะสั่งคนมาแจ้งว่ามีหนทางแล้ว ทว่าการมิได้เจออีหลานวันเดียว จิตใจนางก็รู้สึกเป็ห่วงไปทั้งวันนั้น อย่างไรก็มิอาจทำใจให้สงบลงได้
ครั้นนึกถึงสถานการณ์อันโหดร้ายของอีหลาน หนานกงเยวี่ยก็ยิ่งอยากจะสั่งสอนบทเรียนอันเหี้ยมโหมกับเหนียนยวี่ที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ