ปลาหมึกแห้ง!
ผัดปลาหมึกแห้งไฟแดง! ปลาหมึกน้ำแดง หมึกย่าง…
เจินจูกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึกอย่างไม่รู้ตัว
“อ๊ะ! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ปลาทะเลกระมัง? ที่นี่ของเราหาได้ยากนัก จุ๊ๆ ของกำนัลจากเ้าของร้านเหนียนไม่เบาเลย” หูฉางหลินเหลือบมองแวบหนึ่ง
ปลาทะเล? ผิงอันและผิงซุ่นที่ได้ยินล้วนขึ้นไปรุมล้อมรอบๆ ไม่เคยเห็นและยิ่งไม่เคยทานมาก่อน
“ท่านลุง ที่นี่ไกลจากทะเลหรือไม่เ้าคะ?” เจินจูถามอยากรู้อยากเห็น
“อืม… ที่นี่ไม่ใกล้ทะเลแล้วยังไกลมากอีกด้วย ทะเลที่ใกล้ที่สุด รถม้าวิ่งหนึ่งรอบก็ต้องสิบกว่าวันกระมัง” หูฉางหลินตอบ
“ว้าว ไกลเพียงนี้” ผิงอันและผิงซุ่นที่อยู่ด้านข้างฟังได้ชัดเจน ต่างพากันส่งเสียงร้องใ
“เฮ้อ ออกมาครานี้เอาแต่ยุ่งอยู่กับการมอบของกำนัลส่งท้ายปีให้ฝูอันถัง กลับไปต้องรีบเตรียมของกำนัลส่งท้ายปีของสือหลี่เซียงไปชดเชยแล้ว” หวังซื่อขัดเคืองใจอยู่บ้าง
แรกเริ่มเดิมดีครอบครัวสกุลหูไม่ได้คิดจะมอบของกำนัลส่งท้ายปีให้โรงเตี๊ยมสือหลี่เซียง เพราะรู้สึกว่าโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงใหญ่โตเช่นนี้ ฉลองปีใหม่ต้องยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้แน่นอน หากสหายการค้าเล็กๆ เช่นพวกนาง บุ่มบ่ามไปโรงเตี๊ยมให้ของกำนัลส่งท้ายปี อาจทำให้พวกเขาต้องส่งของกำนัลตอบแทนกลับ ดังนั้นเมื่อพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกนางจึงไม่มอบของกำนัลให้สือหลี่เซียง
ผู้ใดจะรู้ว่าบังเอิญเช่นนี้... พบเข้ากับเ้าของร้านเหนียนในตลาด เขาไม่กล่าวอะไรให้มากความก็มอบของกำนัลส่งท้ายปีหนึ่งกองใหญ่ให้แล้ว
“แหะๆ พรุ่งนี้ให้ท่านพ่อของข้าวิ่งมาหนึ่งรอบ ชดเชยไปก็พอเ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะ เ้าของร้านเหนียนของสือหลี่เซียงผู้นี้รู้จักวางตัวมากนัก ตอนแรกไม่ได้ดูถูกเพราะพวกนางเป็คนชนบท การค้าขายก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจมากด้วย พันธมิตรร่วมมือกันเช่นนี้ต่อไปจึงจะสานต่อกันได้ระยะยาว
“อืม ได้ เช่นนั้นพวกเราค่อยหารือกันว่าจะมอบอันใดให้อีกที” หวังซื่อพยักหน้า
“ครอบครัวเรานอกจากอาหารหมักแล้วก็เป็พะโล้ มอบพะโล้หนึ่งโถใหญ่ให้ แล้วค่อยจับไก่อีกสองตัวแล้วกันเ้าค่ะ คนเขาเปิดโรงเตี๊ยม อาหารการกินทั่วไปพวกเขาคงไม่ชอบหรอก” พะโล้ของครอบครัวสกุลหู คาดว่าเ้าของร้านเหนียนจะต้องชื่นชอบ แม้ในตลาดจะมีร้านขายอาหารพะโล้ไม่น้อย แต่รสชาติพะโล้ของครอบครัวนางก็ไม่เลวมากนัก อย่างน้อยแต่ละคนข้างกายคุณชายกู้อู่ต่างก็ชอบอยู่มาก ทุกครั้งตอนนำกระต่ายไปส่งล้วนใจจดใจจ่ออยู่กับพะโล้ของครอบครัวนาง
คนเขาครอบครัวใหญ่โตเช่นนี้ ถึงเป็เพียงคนรับใช้แต่อาหารทั้งหมดที่ทานด้วยกันไม่มีทางต่างกันไปไหนได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเ้าของร้านใหญ่โตเช่นหลิวผิง ที่ต้องเคยทานอาหารรสเลิศมาไม่น้อย พวกเขาต่างก็ชื่นชมรสชาติพะโล้ของครอบครัวสกุลหูว่าอร่อยที่สุดอย่างเป็เอกฉันท์ อร่อยกว่าพะโล้ที่ขายในตลาดมากเกินกว่าครึ่ง
“แค่ของเหล่านี้หรือ? จะน้อยเกินไปหรือไม่?” หวังซื่อลังเลใจเล็กน้อย
“ท่านย่า พวกเราเป็ครอบครัวเกษตรกร เป็เพียงการมอบน้ำใจให้สักครั้ง เรามีกำลังความสามารถมากเท่าไรก็มอบของกำนัลให้เท่านั้น ไม่จำเป็ต้องกลัวเสียหน้า เ้าของร้านเหนียนไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยเหล่านี้หรอกเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวโน้มน้าว
“เจินจูกล่าวได้ถูกต้อง เป็ย่าที่คิดพลาดไป เช่นนั้นพรุ่งนี้ให้พ่อเ้าวิ่งมาอีกรอบแล้วกัน” หวังซื่อรู้สึกอายเล็กน้อยที่ตนเองคิดได้ไม่ทะลุปรุโปร่งรอบคอบเท่าเด็กคนหนึ่ง
คนหนึ่งขบวนเอาข้าวของกองซ้อนกันไว้ที่กลางเกวียน ของเล็กใหญ่วางกองไว้จนสูงมาก สิ่งของมากกว่าตอนมาเกือบเท่าตัว
หกคนนั่งล้อมอยู่ขอบเกวียนด้วยความระมัดระวังเรียบร้อยแล้ว หูฉางหลินจึงขับเกวียนวัวกลับอย่างเชื่องช้า
“ท่านย่า ทำไมท่านซื้อผ้าพับมาอีกแล้วล่ะเ้าคะ? ชุดฉลองปีใหม่ที่บ้านมิใช่ว่าทำเสร็จแล้วหรือเ้าคะ” เจินจูลูบผ้าสีสว่างสดใสไม่กี่พับในตะกร้าของหวังซื่อ
“ผ่านปีใหม่ไปก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ทุกวันนี้ล้วนเป็เสื้อผ้าฤดูหนาวที่ทั้งหนาหนักและอบอุ่น ส่วนเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนยังไม่ได้ทำขึ้นเลย จึงถือโอกาสยามว่างของปีใหม่ทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิของพวกเ้าออกมา” หวังซื่อลูบมุมเสื้อของเจินจูให้เรียบร้อยด้วยความรักใคร่เอ็นดูทั่วดวงตา
“อ่า นั่นไม่ต้องรีบ เดือนสามถึงจะเริ่มฤดูใบไม้ผลิ ยังมีเวลามากอีกระยะหนึ่งเลย” ปีใหม่เป็เดือนที่หนึ่งในปฏิทินจันทรคติของจีน เข้าเดือนสามสภาพอากาศถึงจะเปลี่ยนไปอบอุ่น
“เ้าเด็กคนนี้ นานมากที่ไหนกัน พอเดือนสองก็ต้องเตรียมปรับปรุงดินก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิแล้ว ตอนนี้ที่บ้านยังมีที่เพิ่มขึ้นอีกห้าหมู่ ถึงเวลาจะยิ่งยุ่งอยู่กับงาน” หวังซื่อจิ้มศีรษะเจินจูเบาๆ แล้วยิ้ม
“ไม่ใช่ว่ามีวัวหรือเ้าคะ ถึงเวลาไม่ใช่ว่าทุ่นแรงลงไปได้หน่อยหรืออย่างไรเ้าคะ” เจินจูไม่ค่อยเข้าใจการทำไร่ไถนาเพาะปลูกจริงๆ แต่มีวัวช่วยไถนาแล้วสามารถทุ่นแรงไปได้ไม่น้อยแน่นอนกระมัง
“อื้ม มีวัวช่วยไถก็ทุ่นแรงประหยัดเวลาไปได้จริงๆ แต่ก็ยังมีเื่อื่นที่ต้องยุ่งไม่น้อยเลย” หวังซื่อมองลูกวัวที่ฝีเท้ามั่นคงและแข็งแรงบึกบึนขึ้นด้วยรอยยิ้ม ผ่านการเลี้ยงมา่หนึ่ง ตอนนี้สภาพร่างกายของลูกวัวโตขึ้น ขนาดเท่าวัวโตเต็มวัยที่แข็งแรงแล้ว
“ท่านย่า ตอนนี้ลูกวัวบ้านเราเติบโตมากแล้ว สูงกว่าต้าหวงของครอบครัวท่านอาเ้าซานอีกขอรับ!” ผิงซุ่นนั่งอยู่ขอบเกวียนวัวข้างหน้า ลูบหลังวัวบ่อยๆ ด้วยความสุข ในยามปกติเขาป้อนอาหารมันอยู่บ่อยครั้ง
“ฮ่าๆ… ใช่แล้ว วัวตัวนี้ของครอบครัวเราใหญ่พอสมควรจริงๆ” หวังซื่อเอาแต่ฉีกยิ้มอย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว ท่านแม่ ข้าเห็นวัวมามากมาย วัวตัวนี้ของครอบครัวเรานับว่าใหญ่ที่สุด พวกเราเก็บของล้ำค่าได้เสียแล้วขอรับ” หูฉางหลินหัวเราะตาหยี
คนหนึ่งขบวนกลับมาถึงหมู่บ้านวั้งหลินด้วยเสียงพูดคุยเฮฮา
ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้วแต่ละครอบครัวต่างเริ่มหาซื้อข้าวของที่จะฉลองปีใหม่ แต่ข้าวของต่างๆ ที่กองเต็มครึ่งเกวียนของครอบครัวสกุลหูนี้ ทำให้เหล่าชาวบ้านต้องชำเลืองตามองไม่หยุดเลยจริงๆ
ภายใต้สายตาของคนเ่าั้มีคำถามเจาะลึกและคำซุบซิบนินทา หูฉางหลินจึงเอาแต่เร่งเกวียนวัวเข้าลานของบ้านเก่าที่อยู่ลึกเข้าไป หลีกเลี่ยงชาวไร่ชาวนาที่ดูความสนุกครื้นเครง
“ไอ๊หยา ทั้งหมดนี่ซื้ออันใดกันมาบ้างเนี่ย? ของมากเพียงนี้?” เหลียงซื่ออายุครรภ์มากกว่าห้าเดือนออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ
“เ้าระวังหน่อย อย่าเข้าใกล้วัวเกินไป ระวังมันจะเตะเ้า” หูฉางหลินะโลงเกวียนวัว ขมวดคิ้วแล้วจูงเหลียงซื่อออกมา
“ท่านย่า พวกท่านกลับมาแล้ว!” ชุ่ยจูยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้
“อื้ม ชุ่ยจู มาถือของเหล่านี้เข้าไปในบ้านก่อน“ หวังซื่อยังคงนั่งอยู่บนเกวียน เลือกของที่ใช้ฉลองปีใหม่ที่บ้านตนเองซื้อมาทีละอัน แล้วค่อยเลือกแบ่งของกำนัลส่งท้ายปีจากเ้าของร้านเหนียนออกมาครึ่งหนึ่ง วางลงในตะกร้าของหลี่ซื่อ
“ท่านแม่ ทำไมไม่เก็บปลาเค็มเหล่านี้ไว้มากหน่อย สิ่งเหล่านี้ปกติล้วนเห็นได้ยากมากนัก ผิงซุ่นต้องชอบทานเป็แน่” เหลียงซื่อยืนอยู่ด้านข้าง มองหวังซื่อเลือกปลาแห้งออกมาแล้วใส่เข้าในตะกร้าหลี่ซื่อด้วยความปวดใจ ในใจบ่นแม่สามีว่าลำเอียงรักบุตรชายคนเล็กไม่หยุด
“นี่ล้วนเป็ของกำนัลส่งท้ายปีที่เ้าของร้านเหนียนมอบให้ พวกเราบ้านละครึ่ง จะไม่มีผู้ใดได้น้อยกว่า” หวังซื่อเงยหน้ามองนางแวบหนึ่งแล้วกล่าวอย่างสุขุม
“เ้าโผเหนียงนี่ ท่านแม่อยากแบ่งอย่างไรก็แบ่งเช่นนั้น เ้าพูดมากเช่นนี้ทำไม เสื้อผ้าและอาหารการกินเ้าไม่พอหรือ! [1] ไปๆ ข้าหิวแล้ว ไปทำบะหมี่ให้พวกข้าที” หูฉางหลินดึงเหลียงซื่อไปด้วยความขุ่นเคือง แล้วไล่ให้นางไปห้องครัว
“ไม่ใช่ว่าบ้านเราคนเยอะหรือ! อีกอย่างท่านพ่อท่านแม่ต้องมีอีกหนึ่งชุดนะ!” เหลียงซื่อหนึ่งก้าวสามหันหลังกลับ บ่นพึมพำซุบซิบไม่เต็มใจ
“ท่านแม่ พวกทานหยิบไปมากหน่อยเถิด พวกท่านเป็บิดามารดาต้องคิดเป็หนึ่งชุดสิเ้าคะ” หลี่ซื่อแสดงความคิดเห็นทันที
“เ้าอย่าสนใจนาง ในใจข้ารู้ดีว่าความดีของบ้านผู้ใดมีมาก พวกเราล้วนกระจ่างแจ้ง บุตรชายคนโตหนึ่งบ้านเอามาครึ่งหนึ่งล้วนเป็การหยิบมาอย่างหน้าหนาแล้ว จะเอามามากอีกหนึ่งชุดอย่างหน้าไม่อายได้อย่างไร” การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในบ้านต่างเป็การคิดและขับเคลื่อนโดยเจินจู พวกเขาหนึ่งครอบครัวนี้แค่ลงมือทำและทุ่มเทกำลัง แค่ถือรายได้ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดไว้ นี่ก็ทำให้ในใจหวังซื่อละอายมากแล้ว
“… ดูท่านกล่าวสิ คนครอบครัวเดียวกันจะแยกชัดเจนเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่ท่านเป็คนนำแล้ว นางก็ทำความสำเร็จเช่นนี้ออกมามิได้หรอกเ้าค่ะ” หลี่ซื่อโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ท่านแม่ ล้วนเป็พวกข้าที่ไม่ดี ข้าจะคุยกับแม่ของเด็กๆ ให้ดีเองขอรับ” หูฉางหลินก้มหน้ายอมรับผิดด้วยความละอาย พักนี้เหลียงซื่อกำลังตั้งครรภ์และเขาก็มัวยุ่งอยู่กับใบสั่งสินค้าของสือหลี่เซียง หูฉางหลินเลยไม่ได้เอาเื่ในบ้านพูดคุยกับเหลียงซื่อให้ดี ทำให้เหลียงซื่อเอาแต่คิดว่ารายได้ทุกอย่างของที่บ้าน่นี้ล้วนเป็หวังซื่อลำเอียงไปให้หูฉางกุ้ย เอาลู่ทางการหาเงินทั้งหมดทิ้งอยู่ที่บ้านผู้เป็น้องชาย
“อืม ควรคุยให้ดี” หวังซื่อพยักหน้า แล้วก้มศีรษะลงเลือกแบ่งของกำนัลส่งท้ายปีต่อไป
ใบชา ผลไม้แห้ง ผลไม้แช่อิ่ม เกาเตี่ยน... แบ่งอย่างเท่าเทียมกัน
“ท่านย่า พวกเราซื้อกระดาษแดงมาแล้ว กลับไปจะตัดกระดาษเป็สองแผ่น และให้ยู่เซิงลงมือเขียนกลอนคู่ อย่างพวกความสุขและความโชคดีมาติดบนประตูนะเ้าคะ” มองดูบรรยากาศที่อึดอัดเล็กน้อย เจินจูยิ้มแล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อ
“อื้ม… ดี ย่าก็ซื้อกระดาษแดงมา รอให้ตัดตกแต่งหน้าต่างเสร็จก็ติดขึ้นด้วยกันเลย” รับรู้ได้ถึงความหวังดีของหลานสาว หวังซื่อจึงหันไปยิ้มอ่อนโยนให้นาง
ระหว่างทางกลับบ้าน สามคนเดินเป็หนึ่งแถว
หลี่ซื่อจูงเด็กสองคน กล่าวสั่งสอนด้วยความจริงใจ “ท่านย่าพวกเ้าดูแลครอบครัวนี้ไม่ง่ายเลย เมื่อก่อนตอนบ้านพวกเราลำบากยากแค้น ท่านย่าช่วยเหลือเสบียงอาหารและทรัพย์สินทางการเงินเป็การส่วนตัวให้บ้านเราไม่น้อย ผิงอันป่วยอยู่บ่อยครั้ง ที่บ้านจ่ายค่ายารักษาไม่ได้ ล้วนเป็ท่านย่าของพวกเ้าที่แอบยัดเงินให้ท่านพ่อของพวกเ้า จึงสามารถต้มยารักษาอาการป่วยผิงอันได้ พวกเราต้องรู้จักบุญคุณ ยกโทษให้กันและกันบ้าง อย่าคิดเล็กคิดน้อยต่อทรัพย์สมบัติเหล่านี้เกินไปนัก พวกเ้าเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านแม่! ต่อไปข้าจะเชื่อฟังท่านย่ากับท่านปู่ให้ดี” เมื่อได้ยินหลี่ซื่อกล่าวเช่นนี้ ผิงอันดวงตาแดงรื้นขึ้น
เขาร่างกายอ่อนแอป่วยง่ายั้แ่เด็ก มักจะดื่มสมุนไพรต้มแทนน้ำก็ไม่ปาน เงินที่เหลือจากรายได้ตลอดทั้งปีของหูฉางกุ้ย ส่วนใหญ่ล้วนจ่ายไปกับการซื้อยารักษาโรคให้เขา
เจินจูพยักหน้าคล้อยตามความคิดเห็นของหลี่ซื่อ และไม่ได้คัดค้านต่อแนวทางของหวังซื่อแต่อย่างใด
ชาวบ้านในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับแิของบรรพบุรุษอย่างมาก การที่ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยพี่ชายหรือน้องชายในตระกูลตนเองจะถูกผู้คนประณาม
เดิมทีนางไม่ได้ตั้งใจคิดวางแผนเื่ลู่ทางการหาเงิน คิดว่าจะเก็บเงียบค่อยๆ หาทางร่ำรวยขึ้น แต่ที่บ้านหูฉางกุ้ยไม่มีคนที่สามารถรับตำแหน่งเสาหลักได้ แม้อุปนิสัยหวังซื่อจะเผด็จการไปบ้าง แต่สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น กับญาติพี่น้องแล้วสามารถอดทนและให้อภัยได้มาก การเลือกให้หวังซื่อนำพาครอบครัวสกุลหูเดินออกจากความยากจนไปยังทิศทางมีอันจะกิน เจินจูรู้สึกว่าสายตาตนเองไม่เลวเลย
“เสี่ยวหวง พวกข้ากลับมาแล้ว!” ผิงอันยังไม่ทันเข้าบ้านก็เห็นเงาร่างเ้าก้อนขนเล็กๆ ของตนเอง ดีใจเสียจนะโเสียงดัง
เสี่ยวหวงได้ยินเสียง กระโจนโผเข้ามาทันที “บ๊อกๆ” ร่างกายกลมดิกเอาแต่วิ่งวนรอบพวกเขา เย้าแหย่จนสามคนหัวเราะออกมา
กลับมาถึงภายในบ้าน ทั้งสามคนเอาตะกร้าหนักอึ้งที่แบกบนหลังลง เจินูผ่อนลมหายใจ
“พี่ชายยู่เซิง วันนี้ในตลาดคึกคักนัก น่าเสียดายที่ท่านไม่ไป พวกข้าซื้อประทัดมาด้วย รอตอนฉลองปีใหม่พวกเรามาจุดด้วยกัน” ผิงอันวางของลงแล้วเริ่มดึงหลัวจิ่งที่เข้ามาช่วยอยู่ด้านข้าง ชวนพูดคุยอย่างฉะฉาน
“ยู่เซิง พวกเ้าทานอาหารกลางวันหรือยัง?” หลี่ซื่อถาม
ยามนี้เป็เวลาเที่ยงแล้วโดยประมาณ ที่บ้านมีเพียงหลัวจิ่งกับหูฉางกุ้ย แม้หลี่ซื่อจะเหลือข้าวไว้ให้ั้แ่เช้าแล้ว แต่นางยังกังวลว่าพวกเขาสองคนจะหิวได้
“ทานแล้ว เมื่อกลางวันท่านอาหูอุ่นกับข้าว หลังทานข้าวแล้วก็ออกไป บอกว่าจะไปแถวๆ นี้” หลัวจิ่งตอบ
ในบ้านเหลือพวกเขาสองคน ที่จริงวางตัวไม่ถูกอยู่มาก หูฉางกุ้ยเงียบขรึม เขาเองก็ไม่สันทัดในการพูดจา สองคนต่างทานข้าวด้วยกันอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงเห่า “บ๊อกๆ” ของเสี่ยวหวงอยู่เป็ระยะ
เสี่ยวเฮยก็วิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้วั้แ่เจินจูนั่งเกวียนออกจากบ้าน
“อื้ม เขาว่างเป็ไม่ได้ ไม่ต้องสนใจเขาหรอก ข้าไปทำบะหมี่ให้พวกเ้าอีกแล้วกัน” หลี่ซื่อยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน น้ำเสียงยังคงแหบแห้งเล็กน้อย
“ท่านแม่ ข้าก็เอาด้วยขอรับ!” ผิงอันได้ยินว่ามีของทาน มือสองข้างรีบชูขึ้นสูงทันที
“ได้ รู้แล้วล่ะ อีกเดี๋ยวก็เสร็จ!” หลี่ซื่อหัวเราะ หมุนกายไปลูบเจินจูที่เงียบสงบ “เหนื่อยล่ะสิ พักก่อน อีกเดี๋ยวรอทานบะหมี่กัน” รั้งปอยผมที่กระจายลงมาหลังใบหูให้เจินจูด้วยความอ่อนโยน แล้วจึงเดินไปทางห้องครัวอย่างรีบเร่ง
เชิงอรรถ
[1] เสื้อผ้าและอาหารการกินเ้าไม่พอหรือ หมายความว่า มีฐานะยากจน ชีวิตลำบาก ไม่มีอันจะกินหรืออย่างไร