ิโยวคงเรียนรู้พลังจิติญญานี้โดยไม่ทราบถึงผลกระทบ ซึ่งจะย้อนมาทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งหลิ่วไป๋เจ๋อก็ไม่สามารถบอกให้อีกฝ่ายรู้เื่นี้ได้ หากรู้เข้าิโยวคงถูกกำจัด หลิ่วไป๋เจ๋อคิดกับตนเองว่าเขาจะต้องหาต้นตอและวิธีควบคุมพลังของิโยวเอาไว้ให้ได้
หากยังเป็เช่นนี้ต่อไปเกรงว่าวันหนึ่งิโยวจะสูญเสียตัวตนและทำเื่ร้ายแรงจนไม่อาจแก้ไข นอกจากนี้คำพยากรณ์ของิโยวที่ผู้นำตระกูลหลานเคยบอกไว้ก็น่ากังวล หากสถานการณ์ยังเป็เช่นนี้ต่อไป คำพยากรณ์คงจะกลายเป็จริง ซึ่งเป็สิ่งที่หลิ่วไป๋เจ๋อไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด
ผู้นำตระกูลหลานเคยบอกว่า แม้คำพยากรณ์จะเป็จริงทว่าสามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นคงไม่อาจแบกรับไหว
“เ้าพูดอะไรหน่อยสิ!” หลิ่วไป๋เจ๋อจมอยู่กับความคิดไปชั่วขณะ จนอูิโยวต้องเอ่ยเรียก
หลิ่วไป๋เจ๋อตอบ “ในเมื่ออิ๋นซิงทำไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะไปเอง”
“เ้าหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อแบมือ อูิโยวจึงวางกระบอกไม้ไผ่ให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
“จะได้ผลจริงๆ หรือ”
“ลองดูเดี๋ยวก็รู้”
หลิ่วไป๋เจ๋อลุกขึ้นและเดินออกไป อูิโยวรีบห้ามเอาไว้ก่อนจะชี้ไปด้านนอก “ใกล้ยามจื่อแล้ว ท่านพี่หญิงและคนอื่นๆ คงกำลังพักผ่อน”
“ไม่เป็ไร พรุ่งนี้พวกเขายังมีเื่อื่นต้องทำ ควรแจ้งข่าวตอนนี้เลย พวกเขาจะได้สบายใจ”
อูิโยวติดตามอีกฝ่ายไปโดยสวมหน้ากากไว้ หลังเดินออกจากประตูมา จู่ๆ หลิ่วไป๋เจ๋อก็ชะงักฝีเท้า หันมาพูดกับเขาว่า “ถ้ากลัวก็อยู่ที่นี่ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
อูิโยวแสร้งทำท่าทีเย้ยหยัน “ใคร ใครกลัวล่ะ นั่นท่านพี่หญิงและพี่ใหญ่ของข้านะ ข้าจะกลัวได้อย่างไร”
คนคนนี้ช่างปากแข็ง หลิ่วไป๋เจ๋อทำเพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินตามมา
ทั้งสองไม่พบิหลิง แต่เจออูิเยี่ยที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นหลิ่วไป๋เจ๋ออีกฝ่ายก็รีบก้าวเข้ามาหา
“เหตุใดจึงออกมาจากห้อง หากิหลิงเห็นว่าเ้าไม่ยอมพักผ่อน นางคงเป็กังวล”
ภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัว ใบหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อเปลี่ยนเป็สีกุหลาบจางๆ ทว่าอีกสองคนด้านข้างไม่ทันได้สังเกต
“กว่าน้องสาวของข้าจะหาน้องเขยได้นั้นไม่ใช่เื่ง่าย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเ้านางคงเสียใจ ไปๆ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ...”
อูิโยวที่ซ่อนอยู่หลังไป๋เจ๋อถึงกับอ้าปากกว้างอยู่หลังหน้ากาก ท่าทางดูใเป็อย่างมาก นี่คือพี่ใหญ่ที่ข้ารู้จักจริงๆ หรือ! ไม่เคยเห็นเขาทำตัวจู้จี้จุกจิกเช่นนี้มาก่อนเลย
หลิ่วไป๋เจ๋อเองก็ถูกอูิเยี่ยทำให้รู้สึกเคอะเขินไม่น้อย จึงกระแอมไอเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่ใหญ่อู ข้าไม่เป็อะไร ข้ามาส่งจดหมายให้ท่าน”
หลิ่วไป๋เจ๋อยื่นจดหมายที่อูิโยวเขียนไปให้อีกฝ่าย ิเยี่ยรีบเปิดอ่านทันที หลังจากอ่านจบสีหน้าพลันบูดบึ้ง
“เ้าิโยวนี่ชักจะเกินไปแล้ว หากกลับมาข้าจะจัดการเขาแน่ ทำให้พวกเราต้องเป็ห่วงขนาดนี้”
แม้คำพูดจะเข้มงวด ทว่าอูิโยวและหลิ่วไป๋เจ๋อต่างก็รู้ว่าอูิเยี่ยนั้นเป็คนปากร้ายแต่ใจดี เขาคงโล่งใจเื่อูิโยวแล้ว
“ท่านพี่ใหญ่อูอย่าโกรธเลย ที่ิโยวส่งจดหมายมาหาข้าคงเพราะรู้สึกผิดต่อท่าน และกลัวว่าจะถูกท่านตำหนิ ตอนนี้ได้รู้ว่าทางนั้นสบายดีก็ถือเป็เื่ดี เขาก็ไม่ใช่เด็กแล้ว มีความคิดความอ่านเป็ของตนเอง ท่านกับิหลิงไม่ต้องกังวลหรอก”
อูิเยี่ยถอนหายใจ มองหลิ่วไป๋เจ๋อแล้วก็แอบเศร้าในใจ หากน้องชายของตนมีสติสัมปชัญญะเท่ากับหลิ่วไป๋เจ๋อ ตระกูลอูคงได้จุดธูปสูงเสียดฟ้า[1]เป็แน่
เมื่อเห็นว่าดึกดื่นมากแล้วหลิ่วไป๋เจ๋อจึงเอ่ยถาม “ข้าไม่เห็นิหลิงอยู่ในห้อง นางไปที่ใดหรือ”
อูิเยี่ยรีบบอก “จู่ๆ ผู้าเ็หลายคนในค่ายก็มีไข้สูง ิหลิงจึงต้องไปรักษา”
“สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่” หลิ่วไป๋เจ๋อถามด้วยความร้อนใจ
อูิเยี่ยยิ้มและตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็เพิ่งกลับมา ตอนนี้ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ิหลิงน่าจะกลับมาในไม่ช้า หากเ้ามีธุระก็ไปรอที่ห้องนางสักครู่ เดี๋ยวคงกลับมาแล้ว”
หลิ่วไป๋เจ๋อรีบตอบ “ไม่เป็ไร ข้าเพียงจะส่งจดหมายของิโยวให้ พวกท่านจะได้ไม่ต้องเป็กังวล นี่ก็ดึกมากแล้ว พี่ใหญ่อูพักผ่อนเถิด”
หลังจากเอ่ยจบหลิ่วไป๋เจ๋อก็หมุนตัวเตรียมเดินจากไป ไม่คิดว่าจู่ๆ จะถูกอูิเยี่ยรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน ไป๋เจ๋อ เ้ามานี่!”
อูิเยี่ยเหลือบมองไปยัง 'ผู้อารักขา' ที่อยู่ด้านหลังเขา แล้วดึงหลิ่วไป๋เจ๋อไปที่มุมหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน
“ไป๋เจ๋อ เ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้าก็จะปฏิบัติต่อเ้าเหมือนคนเป็พี่น้องกัน พี่ใหญ่มีสิ่งที่อยากเอ่ยถามเ้า แต่ไม่รู้ว่าควรจะถามดีหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่คิดว่าที่อีกฝ่ายรั้งเขาเอาไว้เพียงเพราะจะเอ่ยคำพูดเหล่านี้ “ท่านพี่ใหญ่มีสิ่งใดจะถามข้าหรือ”
อูิเยี่ยโน้มตัวเข้าไปใกล้หูเขาแล้วกระซิบว่า “ผู้อารักขาคนนี้ของเ้าแปลกนัก”
หลิ่วไป๋เจ๋อชะงัก ทว่าก็รีบปรับท่าทีให้เป็ปกติ “พี่ใหญ่อูพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
อูิเยี่ยมีท่าทีกังวล “ั้แ่เมื่อวานที่ข้าเห็นเขา ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่น่าอึดอัด ไม่รู้ว่าข้ากังวลมากเกินไปหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อเข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าเื่ของิโยวควรจะรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุด
“ความหวังดีของพี่ใหญ่อูนั้นไป๋เจ๋อเข้าใจดี เื่นี้ไป๋เจ๋อได้คิดเอาไว้แล้ว ไป๋เจ๋อยืนยันได้ว่าเขาแค่เรียนรู้พลังิญญาที่ประหลาดกว่าคนทั่วไปสักหน่อย ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ไม่อย่างนั้นไป๋เจ๋อคงไม่ปล่อยให้อยู่ใกล้ตัวเช่นนี้”
หลังจากได้ยินดังนั้นอูิเยี่ยก็ถอนหายใจโล่งอก “ในเมื่อเ้ารู้และตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความ เ้าเองก็ระวังตัวด้วย”
หลังจากแยกกัน อูิโยวก็ติดตามหลิ่วไป๋เจ๋อกลับไป เมื่อมาถึงในห้องอูิโยวก็ถอดหน้ากาก “พี่ใหญ่พูดอะไร สีหน้าเ้าดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้ตอบ เขาปลดขลุ่ยดินเผาออกจากเอว ก่อนจะเอ่ยว่า “มาสิ ข้าจะสอนเ้า” อูิโยวมองขลุ่ยดินเผาสีม่วงในมืออีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมา “เ้าจริงจังหรือนี่ ก่อนหน้านี้ที่เคยบอกว่าจะให้ข้าเรียนเป่าขลุ่ยก็คิดว่าแค่ล้อเล่นเสียอีก”
“จะเรียนหรือไม่”
อูิโยวส่ายหน้าโดยไม่ลังเล ก่อนจะปฏิเสธว่า “เ้ารู้จักข้าดี ข้าไม่รู้เื่เกี่ยวกับเครื่องดนตรีเลย เ้าเป่าเป็คนเดียวก็พอแล้ว ฟังเ้าเป่าไม่ดีกว่าหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อกำขลุ่ยในมือแน่น ก่อนจะเอ่ยกับตนเอง “ข้าไม่อาจอยู่กับเ้าได้ตลอด หาก...”
“เ้าว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด”
อูิโยวเดินเข้ามาใกล้ หลิ่วไป๋เจ๋อจึงหันหลังหลบออกไป ผูกขลุ่ยดินเผาไว้ที่เอวดังเดิม ก่อนจะเดินไปข้างหน้าต่างและทอดสายตามองออกไป สายลมเย็นพัดปอยผมบนหน้าผาก
“ไม่มีอะไร ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน”
อูิโยวไม่ได้สงสัยกับการกระทำของอีกฝ่าย จากนั้นก็ะโขึ้นนั่งบนเก้าอี้
“เ้ายังไม่ตอบข้าเลย พี่ใหญ่พูดอะไรกับเ้า”
“ไม่มีอะไร เขาแค่ไม่อยากให้เ้าเป็ผู้อารักขาให้กับข้า”
หลังจากได้ยินอูิโยวก็แยกเขี้ยว “พี่ใหญ่ยุ่งวุ่นวายเกินไปแล้ว หากเขารู้ว่าข้าคือผู้อารักขา หากไม่ชอบข้า ข้าก็จะเมินเขา!”
หากเขารู้ว่าเ้าคือผู้อารักขา เ้าคงไม่ได้เมินเขาหรอก แต่จะเป็เขาที่โกรธเ้าจนไม่สนใจมากกว่า หลิ่วไป๋เจ๋อคิดในใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
เวลาล่วงเลยยามจื่อ[2]ไปแล้ว ระหว่างวันอูิโยวนอนมากเกินไป ทำให้ตอนนี้ยังตื่นเต็มตา หลิ่วไป๋เจ๋อก็ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนเช่นกัน
“อาการาเ็ของเ้ายังไม่หายดี อยากพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “ใกล้ถึงเวลาแล้ว พวกเรารีบเก็บของกันเถอะ”
“ไปที่ใด” จู่ๆ อูิโยวก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อเคยบอกไว้ว่าจะพาตนเองไปยังสถานที่หนึ่ง “ไปตอนนี้หรือ”
“อืม”
“ต้องบอกพี่ใหญ่กับพี่หญิงหรือไม่”
“หากเ้าอยากให้พวกเขาตามไปก็ไปบอกเถอะ”
อูิโยวรีบโบกมือด้วยความกลัว “ไม่ ไม่ ไม่ ช่างมันเถอะ!”
แม้ว่าจะเป็ยามจื่อ ทว่าท้องฟ้าด้านนอกก็ไม่ได้มืดมิดเท่าไร แต่เป็สีเทาสลัว ซึ่งยิ่งบดบังสายตาผู้คนได้ดี
สถานที่แห่งนั้นอยู่ใกล้ป่าใต้พิภพ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนก็ไม่ได้แตกต่าง เพียงแต่ตอนกลางคืนท้องฟ้าจะดูครึ้มมากกว่าเดิม
ทั้งสองคนออกจากจิ่วฟางกวนไปเงียบๆ แต่เพิ่งก้าวพ้นออกไปก็มีร่างสองร่างเดินออกมาจากมุมถนน
มู่หรูอี้สวมชุดสีเขียว ใบหน้าเผยความเศร้าออกมาเล็กน้อย ผู้ที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็จิ่วฟางเทียนฉี บุตรชายของนางนั่นเอง
“ท่านแม่ จะปล่อยให้พวกเขาไปเช่นนี้หรือ” จิ่วฟางเทียนฉีเป็กังวลมาก “อาการาเ็ของไป๋เจ๋อยังไม่หายดีนะขอรับ”
มู่หรูอี้ส่ายหัวเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เขากินไป๋อิงเฉ่าไป อาการาเ็หายดีนานแล้ว”
“ไป๋อิงเฉ่า...นั่นเป็ของล้ำค่าของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานมิใช่หรือ ไป๋เจ๋อจะมีมันได้อย่างไร”
มู่หรูอี้หันกลับมามองจิ่วฟางเทียนฉี บุตรชายนางเก่งทุกอย่าง แต่ช่างมีสายตาสั้นนัก มองอะไรเพียงแค่ตื้นๆ
“ไป๋อิงเฉ่าไม่ใช่ของหลิ่วไป๋เจ๋อ แต่เป็ของผู้อารักขาที่อยู่ข้างกายเขา”
จิ่วฟางเทียนฉีสูดหายใจเข้า “ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้มีอะไรแปลกๆ ผู้อารักขาธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีไป๋อิงเฉ่าที่เป็สิ่งล้ำค่าได้อย่างไร อีกอย่าง แม้เขาจะสวมหน้ากากเหมือนกับผู้อารักขาของชิงหลิ่วถัง ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป เหตุใดไป๋เจ๋อถึงได้เก็บเ้าคนนี้ไว้ข้างกาย เขาไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายพลังิญญาของคนผู้นี้เลยหรือ แต่ก็เป็ไปไม่ได้ เพราะไป๋เจ๋อไม่เป็สองรองใครในด้านััพลังิญญา แล้วเพราะเหตุใดกัน”
มู่หรูอี้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหัว “คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้า ไป๋เจ๋อเป็คนมีเหตุผล จะทำสิ่งใดย่อมคิดไตร่ตรองไว้แล้ว อีกอย่าง…”
มู่หรูอี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “อีกอย่างเขาเป็บุตรแห่ง์ เื่ที่เขาคิดจะทำ พวกเราไม่อาจหยุดยั้งได้”
ทั้งคู่มองดูแผ่นหลังของคนทั้งสองที่กลืนหายไปกับทิวทัศน์สลัว จิ่วฟางเทียนฉีถามขึ้นว่า
“ท่านแม่ เขาไม่ไปที่นั่นไม่ได้หรือ ท่านไม่กังวลว่าหากเขารู้ความจริงแล้วจะ…”
มู่หรูอี้หันหลังกลับ นางจะไม่ห้ามไม่ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะทำเื่ใด เพราะรู้ว่าตนไม่สามารถห้ามเขาได้
“ข้าบอกแล้วว่าเขาคือบุตรแห่ง์ บางเื่ก็จำเป็จะต้องรู้และยอมรับ แม้ว่าสุดท้ายจะเ็ป ขัดแย้ง และท้อแท้ใจ แต่นั่นก็คือชะตากรรมของเขา พวกเราเข้าไปยุ่งไม่ได้เด็ดขาด”
—----------------------------------
[1] จุดธูปสูงเสียดฟ้า หมายถึง การจุดธูปไหว้ถวายเทพเ้า อุปมาถึงการขอบคุณผู้คนด้วยความจริงใจหรือขอบคุณเป็อย่างยิ่ง
[2] ยามจื่อ หมายถึง เวลา 23.00 น. – 00.59 น.
