เสี่ยวหมี่คิดไม่ถึงว่านางจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงยิ้มอย่างยินดีและเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใช่แล้ว พี่เยว่เซียนมีอะไรจะฝากไป เอ่อ...บอกพี่ใหญ่ข้าหรือไม่เ้าคะ”
เฉินเยว่เซียนหน้าแดง สุดท้ายก็ยังเอ่ยออกมาว่า “ข้าอยากสนทนากับเขาสักสองสามประโยค”
เสี่ยวหมี่ใมาก คำขอร้องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว แต่ที่นี่คือบ้านสกุลเฉิน จะอย่างไรเื่ในบ้านก็คงไม่ถูกลือออกไป คิดว่าคงไม่ส่งผลเสียอะไรกับทั้งสองฝ่าย
“ได้เ้าค่ะ ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่”
พี่ใหญ่ลู่รอน้องสาวอยู่ที่โถงรับรองด้านหน้า เขารู้สึกเหมือนว่าเวลาผ่านไปอย่างยาวนานเป็ปี ราวกับนั่งอยู่บนพรมที่มีเข็มนับหมื่นทิ่มตำ ถึงแม้ยามปกติเขาจะจิตใจดีทั้งใจอ่อนและแสนซื่อ แต่เขาก็ไม่ได้โง่ สองสามีภรรยาสกุลเฉินเอ่ยปากถามเขาเื่นั้นเื่นี้ไม่หยุด หากว่าเขายังไม่รู้ถึงความผิดปกติอีกก็คงโง่เกินไปแล้ว
นึกไปถึงเงาร่างสีฟ้าอ่อน รองเท้าปักไข่มุกที่ได้เห็นแวบๆ ในวันนั้น เขาก็หน้าแดงก่ำเหมือนจะหยดออกมาเป็เืได้
ในที่สุดก็เห็นน้องสาวเดินออกมา เขาละอยากจะออกไปเสียประเดี๋ยวนี้
“เสี่ยวหมี่ นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราควรออกไปซื้อของกันได้แล้วกระมัง?”
“ไม่รีบ พี่ใหญ่ ท่านรอสักครู่ ข้ามีเื่จะสนทนากับท่านลุงเฉินสักเล็กน้อย”
เสี่ยวหมี่โบกมือน้อยๆ แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าสองสามีภรรยาสกุลเฉิน กล่าวเสียงเบาสองสามประโยค เถ้าแก่เฉินมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่เจิ้งซื่อกลับพยักหน้า บุตรสาวของนางนางรู้จักดีที่สุด แม้นางจะเป็เด็กดีเชื่อฟังและอ่อนโยน แต่ที่จริงแล้วนางมีความคิดเป็ของตนเอง หากตัวนางไม่ตกลง เกรงว่าอาจมีปัญหาตามมาในอนาคต
เสี่ยวหมี่เห็นเช่นนั้นก็หันไปลากพี่ชายไปอีกทาง กล่าวเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ เกรงว่าท่านเองก็คงเดาได้แล้วกระมัง สกุลเฉินตั้งใจจะยกบุตรสาวให้แต่งกับท่าน เมื่อครู่ข้าไปพบพี่หญิงเยว่เซียนแล้ว นางหน้าตางดงามอ่อนโยน ฝีมือเย็บปักดี ทั้งยังรู้หนังสือ ที่สำคัญที่สุดคือนางทำบัญชีเป็ด้วย นางเองก็รู้ว่าบิดามารดาคิดจะทำอะไรจึงอยากจะพบท่าน และสนทนากับท่านสักเล็กน้อย ท่านไม่ต้องตื่นเต้น อยากพูดอะไรก็พูด อย่างไรเสียนี่ก็เป็เื่ชั่วชีวิตของท่าน หากว่าเข้ากันไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนตัวเอง เื่นี้ไม่มีคนนอกรู้ จะไม่มีข่าวลืออะไรออกไปเด็ดขาด”
พี่ใหญ่ลู่ตื่นเต้นมากจนไม่รู้จะวางมือทั้งสองไว้ตรงไหน หน้าแดงก่ำ “คือว่า เสี่ยวหมี่...ไม่ได้หรอก ข้า...”
“มีอะไรได้ไม่ได้กันเล่า เอาตามนี้แหละ”
เสี่ยวหมี่ลากพี่ชายออกมา เดินไปยังประตูระหว่างเรือนชั้นในกับเรือนชั้นนอก
เดิมทีตัวประตูยังเปิดกว้าง ยามนี้ถูกปิดลงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ลางๆ ว่าหลังประตูมีแม่นางรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนอยู่
พี่ใหญ่ลู่กลืนน้ำลาย แล้วจึงหันไปมองน้องสาวที่หยุดยืนห่างออกไปหลายก้าว จากนั้นก็ประสานมือค้อมกายคารวะอย่างจริงจัง “แม่นางเฉิน น้องสาวของข้าสร้างปัญหาให้ท่านแล้ว”
“ไม่ใช่หรอกเ้าค่ะ” เฉินเยว่เซียนเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยของพี่ใหญ่ลู่ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น
“พี่ใหญ่ลู่ ข้า...คือท่านพ่อท่านแม่รักข้ามาก เกรงว่าคงไม่ได้พูดเื่จริงกับท่าน ก่อนหน้านี้ตอนยังเด็กข้าเคยหมั้นหมายมาก่อน แต่คนผู้นั้นไม่ระวังตกน้ำตาย คนอื่นๆ จึงลือไปว่าข้ามีดวง...กินสามี หากว่าท่านถือสา ก็ถือเสียว่าวันนี้ไม่เคยมายังบ้านสกุลเฉินของข้า...”
“ไม่ ไม่” สายตาของพี่ใหญ่ลู่จ้องเขม็งอยู่ที่ไข่มุกเม็ดนั้น คิดจะพูดอะไรแต่กลับทึ่มทื่อเกินกว่าจะเอ่ยอะไรออกมาได้ สุดท้ายก็เปล่งเสียงออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าไม่กลัว”
“คิก” เยว่เซียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ สิ่งนี้นับว่าสร้างความกล้าให้กับพี่ใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินเยว่เซียนอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว แล้วก็ก้มหน้าลงกล่าวว่า “ข้าเป็บุตรชายคนโตของบ้าน เรียนหนังสือไม่ได้เื่ ทำได้แค่ช่วยน้องสาวจัดการงานหนักในบ้าน วันหน้าข้ายังมีหน้าที่ดูแลบิดาที่แก่ชรา และดูแลน้องชายน้องสาว เ้าจะต้อง...เหน็ดเหนื่อยเป็อย่างมาก...เ้าก็ลองคิดดูให้ดีเถิด แต่หากว่าเ้าไม่กลัว ข้าจะ...ดีกับเ้าให้มากๆ”
เฉินเยว่เซียนได้ยินแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ บุรุษที่จริงใจและซื่อสัตย์เช่นนี้ เขาไม่รู้จักพูดคำหวาน แต่บอกว่า ‘จะดีกับเ้าให้มากๆ’ แม้เป็คำพูดที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา แต่กลับเป็ประโยคที่สตรีทั่วหล้าใฝ่ฝันอยากได้ยิน
“ได้ ข้าเชื่อท่าน”
เงาร่างนั้นถอยห่างออกไป เสียงประตูปิดลง
พี่ใหญ่ลู่ยืนโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง เป็เสี่ยวหมี่ที่เข้ามาลากเขา ถามเสียงเบาว่า “เป็อย่างไร พี่ใหญ่ เราต้องไปหาแม่สื่อมาสู่ขอแล้วหรือไม่เ้าคะ?”
พี่ใหญ่ลู่หันศีรษะกลับมามองทันที เขาเขินอายจนแทบอยากจะมุดรูหนู แต่หากไม่เอ่ยอะไรออกไปก็กลัวว่าน้องสาวจะเข้าใจผิด คิดว่าเขาปฏิเสธจริงๆ...
“ใช่แล้ว แม่นางสกุลเฉินเป็สตรีที่ดี”
“ดี ดีมาก” เสี่ยวหมี่ยิ้มกว้าง รีบเดินกลับไปหาสองสามีสกุลเฉินที่คอยืดยาวจนแทบจะพ้นประตูห้องโถงออกมาแล้ว
“ท่านลุงเฉิน ท่านป้า วันนี้พวกเราขอตัวกลับก่อน อีกไม่กี่วันจะส่งแม่สื่อมาเจรจาเื่งานมงคลเ้าค่ะ”
สองสามีภรรยาสกุลเฉินได้ยินแล้วก็พากันยิ้มกว้างพยักหน้าอย่างยินดีเช่นกัน เมื่อส่งสองพี่น้องสกุลลู่กลับไปแล้ว ฮูหยินเฉินก็รีบพุ่งไปยังเรือนหลังหาบุตรสาวทันที
เสี่ยวหมี่เองก็อารมณ์ดีมาก เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้จับจ่ายซื้อของอย่างใจกว้าง เสร็จแล้วจึงเดินออกไปรับม้าที่ฝากไว้ข้างประตูเมืองแล้วมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านเขาหมี
ยามปกติบิดาลู่นอกจากสอนหนังสือพวกเด็กๆ ที่ซุกซนแล้วก็ไม่สนใจเื่อะไรนอกหน้าต่างอีก เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับตำรา แต่เื่ที่บุตรชายออกไปดูตัวภรรยาในอนาคตก็ไม่ใช่เื่เล็ก
เสี่ยวหมี่เดินเข้ามาก็เห็นบิดาถือตำราอยู่ในมือด้วยสีหน้าร้อนใจ นางยิ้มน้อยๆ ยังไม่ทันได้ดื่มน้ำดับกระหายก็รีบพุ่งไปรายงานบิดาทันที
เมื่อบิดาลู่ได้ยินว่าแม่นางสกุลเฉินคนนั้นดีพร้อม และยังพอใจในตัวบุตรชายเขาก็ยินดีมาก ลูบเคราเบาๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็เท่ากับว่า จะมีเื่มงคลขึ้นที่บ้านเราแล้ว”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ ท่านพ่อ วันหน้าพี่ใหญ่จะเป็คนคอยดูแลท่านยามชรา การได้พี่สะใภ้ที่ดีเช่นนี้พวกข้าเองก็วางใจเช่นกัน”
เสี่ยวหมี่ขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเื่ที่พี่ใหญ่เล่าให้ฟังระหว่างทางออกมาให้บิดาฟัง สุดท้ายบิดาลู่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อแม้แต่น้อย “เป็แค่ข่าวลือไร้แก่นสารของคนด้อยปัญญาเท่านั้น เชื่อถือไม่ได้”
เสี่ยวหมี่เป็คนที่เติบโตอยู่ในโลกอนาคตมายี่สิบกว่าปี ย่อมไม่เชื่อเื่ดวงกินสามีกินภรรยาอะไรพวกนี้ จึงยิ้มร่ากล่าวว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าก็จะเตรียมซื้อสินสอดของหมั้นแล้วนะเ้าคะ ถึงตอนนั้นคงต้องให้ท่านออกหน้าไปเจรจากับแม่สื่อเองถึงจะไม่ผิดธรรมเนียม”
“ข้ารู้แล้ว เ้าวางใจเถอะ”
บิดาลู่ตอบตกลงในทันที เสร็จแล้วก็ถึงกับเข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์ นั่งรถออกไปหาสหายที่ไม่ได้พบกันมานาน เมื่อฟ้ามืดแล้วก็กลับบ้านมาพร้อมกับรายละเอียดของขวัญและสินสอดของหมั้นที่เขียนไว้อย่างชัดเจน ถือว่าเป็การช่วยแบ่งเบาภาระเสี่ยวหมี่ไปได้อีกแรง
คนในหมู่บ้านเขาหมีล้วนสนิทสนมกัน อีกทั้ง่นี้ยังกลมเกลียวราวกับเชือกเส้นเดียวกัน ย่อมไม่มีข่าวสารใดที่จะปกปิดพวกเขาได้
เสี่ยวหมี่เพิ่งไปหาท่านป้าหลิวเพื่อถามหาแม่สื่อที่พอจะเชื่อถือได้ คนทั้งหมู่บ้านก็แทบจะรู้กันหมดแล้วว่าพี่ใหญ่ลู่จะแต่งงาน
บางคนที่ชอบหยอกล้อก็อดมากระเซ้าจนพี่ใหญ่ลู่หน้าแดงไม่ได้ คนทั้งหมู่บ้านต่างหัวเราะสรวลเสเฮฮากันจนสั่นะเืไปทั้งหมู่บ้าน
แน่นอนว่ามีพวกผู้หญิงบางคนเสียดายที่คิดช้าเกินไป เนื้อชั้นดีจึงถูกผู้อื่นคาบไปกินเสียแล้ว
หากรู้ก่อนว่าสกุลลู่เตรียมจะหาคู่ให้พี่ใหญ่ลู่ พวกนางก็น่าจะเสนอบุตรสาวตัวเองไปก่อน ได้แต่งให้คนในหมู่บ้านตัวเอง ทั้งยังเป็สกุลลู่ที่ร่ำรวย นี่มันวาสนาชั้นไหนกัน
น่าเสียดาย ยามนี้เสี่ยวหมี่ถึงกับหาแม่สื่อแล้ว จะพูดอะไรตอนนี้ก็คงสายเกินไปเสียแล้ว ทำได้แค่รอดูว่าบุตรสาวสกุลเฉินผู้นั้นหน้าตาเป็อย่างไร ถึงกับทำให้เสี่ยวหมี่ที่เป็คนเฉลียวฉลาดพออกพอใจได้ถึงเพียงนี้
เสี่ยวหมี่ไม่มีเวลามาสนใจว่าคนรอบข้างจะคิดเห็นอย่างไร นางตรวจสอบรายละเอียดของขวัญและของหมั้น นางรู้สึกว่าของขวัญพบหน้ามอบแค่ตำราไม่กี่เล่มและผ้าสองสามพับดูจะเล็กน้อยเกินไป คาดว่าคงเพราะตระกูลบัณฑิตชอบความเรียบง่าย แต่สกุลเฉินเป็พ่อค้า จะอย่างไรก็ต้องเพิ่มทองหรือเงินลงไปสักหน่อย
นางจึงหาเวลาว่างวาดกำไลแบบใหม่คู่หนึ่ง แล้วส่งไปให้ที่ร้านตีขึ้นมา
เถ้าแก่ร้านเครื่องเงินคิดเพียงแค่ค่าอะไหล่เงิน อย่างอื่นล้วนไม่คิด แต่ขอเก็บแบบไว้ เสี่ยวหมี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ถือเสียว่าเป็การสานไมตรีไปในตัว อย่างไรเสียนางก็ยังมีพี่ชายอีกสองคน
พี่ใหญ่ลู่แต่งงานแล้ว แต่ก็ยังมีพี่รองลู่ พี่สามลู่อีก...
เสี่ยวหมี่หยุดความคิดในหัว อย่าเพิ่งไปกังวลถึงเื่ในอนาคตจะดีกว่า จัดการเื่แต่งภรรยาของพี่ใหญ่ให้เรียบร้อยเสียก่อน
แม่สื่อที่ท่านป้าหลิวแนะนำมาให้มีชื่อว่าท่านป้าเผิง เป็คนที่มีชื่อเสียงทีเดียว ยามนางมาที่บ้านถึงแม้คนที่รับรองนางจะเป็บิดาลู่ แต่เสี่ยวหมี่ก็อาศัยจังหวะที่ยกของว่างและน้ำชาพิจารณาท่านป้าเผิงั้แ่หัวจรดเท้า
นางอายุห้าสิบกว่า ไม่ได้สวมอาภรณ์ฉูดฉาดแบบที่จินตนาการไว้ นางแต่งกายสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ท่าทางยามสนทนาดื่มชาทานของว่างก็ใช้ได้ เสี่ยวหมี่จึงวางใจ ตอนที่ส่งสินน้ำใจก็ให้มากขึ้นอีกยี่สิบอีแปะ อย่างไรเสียวันหน้าคงต้องไปมาหาสู่กันอีกมาก
ระหว่างทางนั่งรถม้ามาสกุลลู่ ท่านป้าเผิงก็คำนวณอยู่ในหัวเป็อย่างดี สกุลลู่มีบุตรชายหญิงสี่คน และยังเป็ที่ล่ำลือว่าร่ำรวยและใจกว้าง รับทำงานมงคลของบ้านนี้ หากทำได้ดีนางก็จะได้ประโยชน์เต็มๆ
เป็จริงดังคาด นางยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าบ้านเ้าสาว ก็ได้เงินรางวัลรวมกันถึงห้าสิบอีแปะแล้ว นางยินดีจนยิ้มไม่หุบ
“นายท่านลู่วางใจ อย่างอื่นข้าไม่ถนัด แต่เื่ผูกวาสนาคนนี่ไว้ใจข้าได้”
เสี่ยวหมี่ส่งกล่องของขวัญพบหน้าให้ นางเหลือบมองอย่างว่องไวไปหนึ่งครั้ง เห็นแล้วก็ตาโตแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
เนื่องจากสกุลเฉินได้รับคำมั่นจากเสี่ยวหมี่แล้ว จึงไม่ร้อนใจเหมือนในตอนแรก แต่เจิ้งซื่อก็วุ่นวายจัดแจงให้สาวใช้ในบ้านทำความสะอาดโถงรับรองทุกวัน ทั้งยังตัดชุดใหม่ให้บุตรสาวด้วย ดีที่ที่บ้านเปิดร้านขายผ้าอยู่แล้ว จึงมีผ้าดีๆ มากมายให้เลือก
สกุลเฉินยามปกติเงียบสงบมาก ตอนนี้จู่ๆ เกิดครึกครื้นขึ้นมา แน่นอนว่าเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงย่อมสังเกตเห็น จึงมาสอบถาม พวกเด็กรับใช้เผลอพูดออกไปไม่กี่ประโยค พวกผู้หญิงที่ชอบจับกลุ่มสนทนากันก็พอจะคาดเดาเื่ราวได้แล้ว
เช่นนี้เอง ไม่นานเื่ที่บุตรสาวดวงกินสามีของสกุลเฉินจะแต่งงานก็ถูกเล่าลือไปทั่ว
เจิ้งซื่อได้ยินเื่นี้จากปากของหญิงรับใช้ที่ออกไปซื้อหาของใช้จำเป็ นางโกรธถึงขนาดโยนแก้วชาลงพื้น เสร็จแล้วก็เข้าไปกอดบุตรสาวร้องห่มร้องไห้ บอกว่าตนผิดเองที่ตอนแรกตาบอดเลือกคนผิด ทำให้บุตรสาวต้องมาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ทำไปทั้งชีวิต
หากสกุลลู่รู้เื่นี้เข้าแล้วไม่มาสู่ขอ เช่นนั้นบุตรสาวนางจะไม่กลายเป็ที่หัวเราะเยาะของคนทั้งเมืองอีกครั้งหรือ
เฉินเยว่เซียนเห็นเช่นนั้นก็อับจนหนทาง นางข่มความอายเล่าบทสนนาระหว่างนางและพี่ใหญ่ลู่ในวันนั้นออกมา สองสามีภรรยาถึงวางใจ
วันนี้อากาศสดใส พระอาทิตย์ที่แอบซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆในที่สุดก็รู้ตัวเสียทีว่าถึงเวลาต้องทำงานแล้ว จึงยอมแย้มหน้าออกมาสาดแสงให้โลกที่คล้ายจะชื้นจนขึ้นราแล้วอบอุ่นขึ้นเสียที
ตอนที่ท่านป้าเผิงไปถึงบ้านสกุลเฉินนั้น เถ้าแก่เฉินได้เดินทางไปที่ร้านแล้ว เจิ้งซื่อจึงให้คนไปเรียกเขากลับมา
งานแต่งงานที่ครอบครัวฝ่ายหญิงและฝ่ายชายแอบตกลงใจกันไว้เรียบร้อยแล้วเช่นนี้ พวกแม่สื่อชอบกันมากที่สุด ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย แค่เอ่ยวาจามงคลให้มากๆ ส่งของขวัญและเทียบดวงชะตาให้ แค่นี้ก็ได้เงินรางวัลแล้ว
เป็จริงดังคาด สองสามีภรรยาสกุลเฉินตอบรับคำสู่ขอของสกุลลู่อย่างง่ายดาย เมื่อรับเทียบเขียนชะตาวันเดือนปีเกิดของพี่ใหญ่ลู่มาแล้ว ก็มอบถุงเงินหนักอึ้งให้เป็รางวัล
ท่านป้าเผิงเอ่ยคำมงคลออกจากปากราวกับสายน้ำ ทำให้สองสามีภรรยายิ้มกว้างไม่หุบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้