“ท่านปักเป็ลายต้นไผ่หรือต้นสนก็ได้เ้าค่ะ ใช้ด้ายเงินปัก”
สน ไผ่ และเหมย ล้วนเป็พืชที่มีความหยิ่งทะนงสู้ลม มีจิติญญาน่ายกย่อง ถูกเรียกขานว่า เป็สามสหายแห่งเหมันต์ ต้นสนเป็สัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์ไม่แก่ไม่เฒ่า ต้นไผ่เป็สัญลักษณ์ของสุภาพบุรุษ ดอกเหมยเป็สัญลักษณ์ของสตรีงามผู้แข็งแกร่ง เหตุที่เลือกพืชทั้งสามชนิดก็เนื่องจากพวกมันจะยังคงเขียวขจีไปจนถึงเดือนสิบสอง ซึ่งเป็ฤดูหนาวนั่นเอง
หลี่หรูอี้คิดว่าเจียงชิงอวิ๋นเป็บุรุษทั้งยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์ หากปักสนับเข่าเป็ลายไผ่หรือลายสนคงจะดี
“ลักษณะของไผ่และสนหมายถึง จิตใจอันดีงามยึดมั่นในคุณธรรม ผู้รู้อักษรล้วนชมชอบ เช่นนั้นข้าจะปักสองลายนี้แล้วกัน หวังว่าจะเข้าตานายท่านเจียง” ก่อนหน้านี้จ้าวซื่อค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการปักผ้าของตน แต่ครั้งนี้จะทำเพื่อมอบให้เจียงชิงอวิ๋น นางได้ยินบุตรีบรรยายลักษณะของจวนเจียงแล้ว ความร่ำรวยสูงศักดิ์เช่นนั้นเกรงว่างานปักของตนจะมิอาจนำออกมาอวดได้
“ในภาคเหนือไม่มีสนับเข่า งานปักของท่านก็เป็อันดับต้นๆ ในละแวกนี้ สนับเข่าที่ทำเองกับมือจะไม่เข้าตาเขาได้อย่างไรเ้าคะ”
“เ้านี่นะ ข้าดีเช่นที่เ้าว่าที่ไหนกัน”
“ดีสิเ้าคะ” เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งตัวในตัวนอกของหลี่หรูอี้ล้วนเป็ของที่จ้าวซื่อทำให้ บนเอี๊ยมปักลายดอกมู่ตัน กางเกงปักลายดอกฝูหรง จ้าวซื่อสายตาไม่ดี เพิ่งออกจากการอยู่เดือนก็มาทำเสื้อผ้าให้หลี่หรูอี้แล้ว มีมารดาที่ดีเช่นนี้นับเป็วาสนาจากชาติปางก่อนจริงๆ หลี่หรูอี้คิดได้เช่นนั้นก็เข้าไปกอดแขนจ้าวซื่อ
จ้าวซื่อกล่าวอย่างนึกสนุก “อายุมากเพียงนี้แล้วยังออดอ้อนอยู่อีก จะให้ข้าป้อนนมเ้าด้วยหรือไม่เล่า”
หลี่หรูอี้ก็นึกขำอยู่ในใจ ถึงกับพูดยิ้มๆ ไปว่า “หากท่านป้อนข้าก็กิน”
จ้าวซื่อลูบหัวบุตรีสุดที่รัก ผมของนางดำขลับและหนากว่าเมื่อก่อนมาก รูปโฉมก็ดูสง่างามและงดงามขึ้นทุกวัน จะมองอย่างไรก็ไม่มีที่ติจริงๆ จ้าวซื่อนึกในใจว่า ลูกสาวนางดีเพียงนี้ ต่อไปไม่รู้ว่าจะถูกบุรุษหน้าเหม็นบ้านใดเอาเปรียบ
วันต่อมาอู่โก่วจื่อนำสนับเข่าหนึ่งร้อยชิ้นไปยังอำเภอฉางผิง โดยชวนซื่อโก่วจื่อไปด้วย
สนับเข่าหนึ่งชิ้น ต่อให้ปักอักษรด้วยแล้วต้นทุนก็ยังไม่เกินสามทองแดง อู่โก่วจื่อขายชิ้นละสิบทองแดง หนึ่งคู่สิบแปดทองแดง
ซื่อโก่วจื่อกระซิบว่า “เ้าขายแพงเพียงนี้จะมีคนซื้อหรือ”
อู่โก่วจื่อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่มันเวลาใดแล้ว อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว ต้นหอมหนึ่งชั่งยังขายถึงสามทองแดง สนับเข่านี้ใช้ผ้าฝ้ายทำ เป็ผ้าฝ้ายคุณภาพดี ทั้งยังปักอักษรอีกด้วย แต่ข้าเพิ่งจะขายแค่สิบทองแดง เท่านี้ก็ถูกมากแล้ว”
ซื่อโก่วจื่อกระซิบเสียงแ่ “ที่เ้ากล่าวก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล”
“รีบขายเถิด ขายให้หมดเร็วๆ จะได้กลับบ้าน” อู่โก่วจื่อยืนอยู่ท่ามกลางสายลมอันหนาวเย็นที่พัดมาจากทางเหนือ ผ่านไปไม่ทันไรผิวหน้าก็เย็นจัดจนเกือบทนไม่ไหวแล้ว แต่หลี่หรูอี้มักจะกล่าวว่า ทำการค้าจะต้องทนต่อความลำบากและเหน็ดเหนื่อยให้ได้
“เร่เข้ามา มาดูกันจ้า สนับเข่าฝู่ ลู่ โซ่ว สี่ มีความสุข ร่ำรวยเงินทอง และอายุยืน”
“รีบเข้ามาดูกันจ้า สนับเข่าฝู่ ลู่ โซ่ว สี่ ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับปีใหม่”
สองพี่น้องไม่ได้ขายของเป็ครั้งแรก ต่างก็มีประสบการณ์กันมาแล้ว จึงพากันะโคำที่หลี่หรูอี้สอนมาอย่างใจกล้า
“สนับเข่าคืออะไรหรือ”
“ข้ารู้จักเด็กสองคนนั่น พวกเขาเคยมาขายถุงเงินไหมผสานที่อำเภอของพวกเราเมื่อหลายเดือนมาแล้ว เพื่อนบ้านข้าซื้อมาสองถุง ้าปักลายดอกไม้ ดูแล้วเป็เอกลักษณ์ยิ่งนัก”
“ไป ไปดูกันเถิด”
ไม่นานก็มีคนเข้ามาดูอย่างคึกคัก
“้าใช้ด้ายเงินด้ายทองปักอักษรด้วย นี่คืออักษรอะไรหรือ ข้าไม่รู้จัก”
“พวกเขาบอกว่า ตัวอักษรบนสนับเข่าก็คือ ฝู่ ลู่ โซ่ว สี่”
“ที่แท้ก็ฝู่ ลู่ โซ่ว สี่นี่เอง ดีๆ เป็มงคลจริงๆ”
“เด็กน้อย สนับเข่าใช้ทำอะไร”
“ที่แท้ก็ใช้ปกป้องเข่านี่เอง”
“เอาสนับเข่าไปสวมเข่าเพื่อทำให้อบอุ่น เช่นนี้ฤดูหนาวก็ไม่ต้องกลัวว่าจะปวดข้อเข่าแล้ว”
“ปกป้องเข่าแล้วมีอะไรดีอีก”
ไม่นานก็มีคนหยิบเงินทองแดงออกมาซื้อสนับเข่าไปสองคู่
“ข้าซื้อสองคู่ จะนำไปให้ท่านพ่อท่านแม่”
คนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะ “เ้าไม่ซื้อให้พ่อตาแม่ยายด้วยหรือ”
คนผู้นั้นหน้าแดง “ผู้น้อยยังไม่ได้แต่งภรรยาขอรับ”
ชายฉกรรจ์หน้าดำสวมชุดผ้าไหมคนหนึ่งกล่าวเสียงดังว่า “ข้ามีพ่อแม่แล้วก็มีพ่อตาแม่ยายด้วย ข้าขอซื้อสี่คู่”
สตรีนางหนึ่ง ยามอยู่เดือนนางจะรู้สึกเย็นที่หัวเข่า ต่อให้สวมกางเกงผ้าฝ้ายคลุมเข่าตลอดทั้งฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวก็ยังรู้สึกเ็ป นางยัดเงินทองแดงจำนวนมากให้อู่โก่วจื่อแล้วพูดว่า “ข้าซื้อให้ตนเองคู่หนึ่ง ข้า้าชิ้นที่ปักด้วยด้ายทอง”
หนึ่งบอกต่อสิบ สิบบอกต่อร้อย แม้อำเภอจะใหญ่เพียงนั้น ทว่าผ่านไปไม่ถึง่สายก็มีคนมากมายรู้แล้วว่าสองพี่น้องที่เคยมาขายถุงเงินไหมผสานเมื่อหลายเดือนก่อนกลับมาแล้ว คราวนี้มาขายสนับเข่าอันใดนั่น ทั้งยังมีฝู ลู่ โซ่ว สี่อีกด้วย จะอย่างไรก็เป็มงคล ซื้อไปแล้วก็คล้ายกับนำฝู ลู่ โซ่ว สี่ กลับมาบ้าน ปีหน้าก็จะราบรื่นสมปรารถนาตลอดปี
“คนที่ขายสนับเข่าอันใดนั่นเล่า”
“อากาศเย็นเพียงนี้ ข้าคร้านจะออกไปยิ่งนัก ภรรยาข้าไม่ทำอะไร เอาแต่จะให้ข้าไปซื้อสนับเข่าให้ได้ คราวนี้ดียิ่งนัก ข้ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว”
บุรุษหลายคนยืนหาคนขายสนับเข่าฝู ลู่ โซ่ว สี่ อยู่ที่นอกประตูอำเภอนานแล้วแต่ก็ยังไม่พบ ต่อมาได้ยินชายชราขายต้นหอมกล่าวว่า สองพี่น้องขายของหมดจนกลับไปนานแล้ว “พวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีก”
อู่โก่วจื่อวิ่งไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้นจนซื่อโก่วจื่อที่เดินตามอยู่ข้างๆ เหงื่อออกท่วมตัว
“น้องสาว ถึงบ้านแล้ว”
“ข้ายังไม่เข้าหมู่บ้าน ข้าจะไปตำบลจินจี ซื้อผ้าหยาบ ผ้าฝ้าย และด้ายเงินด้ายทอง” ปีที่แล้วราคาสินค้าในตำบลจินจีถูกกว่าที่อำเภอฉางผิง อู่โก่วจื่อรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อวัสดุมาให้มาก คราวนี้ได้รับคำชี้แนะจากหลี่หรูอี้มาแล้วจึงตัดสินใจจะไปซื้อวัสดุที่นั่น
“เ้าจะซื้อเท่าใด”
อู่โก่วจื่อกล่าวอย่างฮึกเหิม “ซื้อด้วยเงินทั้งหมดที่มี”
“น้องสาว ข้านำเงินมาด้วย ข้าจะให้เ้าสองร้อยห้าสิบทองแดง เ้าทำสนับเข่าหาเงินได้ก็มาแบ่งข้าบ้าง ตกลงหรือไม่” ซื่อโก่วจื่อนำเงินติดตัวมาด้วย แต่ไม่กล้าใช้ทั้งหมด
อู่โก่วจื่อกล่าวว่า “ได้” เป็พี่น้องกัน ยังมีอะไรต้องพูดกันอีก
ซื่อโก่วจื่อมองไปยังรถม้าของครอบครัวสูงศักดิ์ที่วิ่งเฉียดข้างกายไป จากนั้นก็กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “หากพี่สาวยังอยู่ก็คงดี ฝีมือการปักผ้าของนางยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทั้งยังปักอักษรได้ด้วย”
ซานโก่วจื่อพี่สาวของทั้งสองอายุสิบสามปีแล้ว ตอนนี้ไปเป็บ่าวอยู่ในครอบครัวร่ำรวย เป็สัญญาขายตัวชั่วคราวไม่ใช่สัญญาขายตัวตลอดชีพ แรกเริ่มเดิมทีได้เงินฤดูละสามสิบทองแดงรวมอาหารและที่อยู่แล้ว ต่อมาจึงเพิ่มเป็หกสิบทองแดง
ซานโก่วจื่อเป็บุตรีคนโต ตอนยังเด็กก็สามารถช่วยหม่าซื่อทำงานและดูแลน้องๆ ได้แล้ว ทั้งสองจึงรักใคร่ซานโก่ว จื่อยิ่งนัก
อู่โก่วจื่อกล่าวว่า “หากครั้งนี้ข้าทำเงินได้จะไปคุยกับท่านแม่ว่า จะให้ท่านพี่กลับมาทำการค้ากับพวกเรา ไม่ต้องไปเป็บ่าวไพร่ให้ผู้อื่นแล้ว”
ซื่อโก่วจื่อมีแววตาตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ดียิ่งนัก เ้ามีความสามารถจริงๆ”
“หากข้ามีเงินจะส่งเ้าไปเรียนด้วย แต่ข้ายังหาเงินได้ไม่มากพอ” อู่โก่วจื่อเห็นหลี่หรูอี้เป็ต้นแบบมาตลอด
“จริงหรือ”
“จริงแท้แน่นอน”
“น้องสาวคนดี” ซื่อโก่วจื่อรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก เติบโตมาขนาดนี้แล้ว กระทั่งบิดามารดาก็ยังไม่เคยพูดว่าจะส่งเขาไปเรียนหนังสือ ส่วนน้องสาวก็เพิ่งจะอายุเก้าขวบเท่านั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หลังจากที่สองพี่น้องซื้อของในตำบลจินจีเสร็จแล้ว ก็เห็นคนขายปลาเจียงหลี่เข้าพอดี ปลาตัวเล็กสุดหนักสามชั่งกว่า ตัวใหญ่สุดหนักเจ็ดถึงแปดชั่ง
คนขายปลากล่าวว่า “ปลาของข้าคือปลาเจียงหลี่ เกล็ดเป็สีทอง ก้างน้อยมีเนื้อเยอะ ครอบครัวร่ำรวยเท่านั้นจึงจะกินได้”
เมื่ออู่โก่วจื่อเห็นปลาเจียงหลี่ก็รู้สึกยินดีขึ้นมาโดยพลัน ทว่าในมือตนไม่มีเงินแล้ว จึงได้แต่กระทืบเท้า “เห้อ... ข้าใช้เงินไปหมดแล้ว ซื้อปลาเจียงหลี่ไม่ได้แล้ว”
ซื่อโก่วจื่อเอ่ยถามขึ้นว่า “เ้าอยากกินปลาเจียงหลี่หรือ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้