หนีไปเมื่อคืนงั้นหรือ?
เจินจูใจนเอ่ยอะไรไม่ออกเล็กน้อย
หมายความว่าพวกเขานำไปเพียงเงินทองกับของมีค่าและทาน้ำมันไว้ใต้ฝ่าเท้า [1] หนีไปแล้ว
คิดถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ได้เห็นเมื่อคืน อีกทั้งเครื่องเรือนอันแสนโอ่อ่าภายในห้องเ่าั้ นี่ทิ้งไปตามอำเภอใจเช่นนี้เลยงั้นหรือ? ช่างมั่งคั่งร่ำรวยเสียจริงเลย
“ไม่ใช่บอกว่าจะมาขอขมาแสดงการสำนึกผิดหรือ? เหตุใดก็หนีไปเสียอย่างนี้? ไม่รักษาคำพูดเกินไปแล้วกระมัง” ผิงอันโมโหเล็กน้อย เมื่อคืนชายที่ใบหน้าเ็านั่นดูเต็มไปด้วยความจริงใจ ทว่าพอหันหลังไปก็ตบก้นหนีเสียนี่
“คนเ่าั้ ส่วนใหญ่เป็คนกลับกลอกเห็นแก่เงินเป็สำคัญ จะมีสัจจะเสียที่ไหน” หลัวจิ่งแค่นหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งเสียง
“หนีไปตอนกลางดึก หากไล่ตามไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เื่นี้เกรงว่าพวกเราคงถูกเอาเปรียบและได้แต่เก็บงำเอาไว้แล้วขอรับ” เหยาเฮ่าหลานขมวดคิ้ว “ข้อมูลบนทะเบียนที่อยู่ก็ไม่ครบถ้วนเช่นกัน ถ้าคิดจะไล่สืบไปให้ถึงภูมิลำเนาเดิมและฐานที่อยู่ของเขา คงไม่ใช่เื่ง่ายเลยขอรับ”
“พวกเขาน่าจะอยู่แถวเมืองหลวง กว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์ชายสามได้ไม่ใช่เื่ง่ายเลย พวกเขาไม่มีทางทิ้งเส้นสายนี้ไปแน่” ต้องจับตาดูฝั่งองค์ชายสามไว้ให้ติดๆ ในไม่ช้าพวกเขาต้องเผยพิรุธออกมา เหอะ เขาไม่มีทางปล่อยพวกมันไปง่ายๆ เช่นนี้หรอก แต่เหยาเฮ่าหลานเป็คนของเจิ้นกั๋วกง มีคำบางคำที่ไม่อาจกล่าวออกมาชัดเจนเกินไปได้
ประตูห้องถูกเคาะดังขึ้น
เหยาเฮ่าหลานเข้าไปใกล้ประตูแล้วเปิดออก ลูกจ้างโรงเตี๊ยมโค้งทำความเคารพและเข้ามา
“นายท่าน เมื่อครู่มีเด็กผู้หนึ่งนำจดหมายมาวางให้เ้าของร้าน ระบุว่าต้องมอบให้แขกที่เหมาโรงเตี๊ยมขอรับ”
เขาโค้งอย่างเคารพนบนอบและยื่นซองจดหมายหนึ่งฉบับหนาเข้ามา
เหยาเฮ่าหลานรับไว้ ชำเลืองมองแวบหนึ่งบนซองจดหมายไม่ได้ลงนาม เขาส่งให้หลัวจิ่ง
หลัวจิ่งเปิดครั่งประทับ แล้วดึงกระดาษจดหมายหนึ่งใบออกมาเปิดขึ้นอ่าน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาส่งจดหมายไปให้เหยาเฮ่าหลาน
เหยาเฮ่าหลานกวาดสายตามองปราดหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน
“เด็กที่นำจดหมายมาส่งให้ล่ะ?”
“เรียนนายท่าน พอส่งจดหมายเสร็จเขาก็วิ่งหายไปแล้วขอรับ” ลูกจ้างกระวนกระวายเล็กน้อย เขารีบแย่งเอาจดหมายมาส่งให้ เดิมคิดว่าจะได้รับเงินชมเชย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่พวกเขาอ่านจดหมายไปแล้ว สีหน้าจะเปลี่ยนเป็ไม่ดีขึ้นมาเสียนี่ เมื่อคืนพวกเขาใช้จ่ายเงินกันอย่างอู้ฟู่ ลูกจ้างที่อยู่ดูแลเมื่อคืนได้รับเงินรางวัลอยู่หลายเหลียง ทำเอาลูกจ้างทั้งโรงเตี๊ยมต่างอิจฉาไม่หยุด ทำไมพอมาทีของเขากลับเกิดปัญหาขึ้นเสียได้
“เ้ารู้จักเด็กผู้นั้นหรือไม่?”
“…รู้จักขอรับ เป็เด็กที่แต่ก่อนเดินเตร่อยู่บนถนนขอรับ”
“เร็ว... เ้านำทางข้าไปหาเขาที”
“…ขอรับ” ลูกจ้างใบหน้าอมทุกข์ ถูกเหยาเฮ่าหลานลากออกไป
“บนจดหมายเขียนอะไรไว้หรือ?” เจินจูมองหลัวจิ่งด้วยความประหลาดใจ
ผิงอันก็จ้องเขาด้วยดวงตากลมโตเช่นกัน
“ชายแซ่จ้าวคนโตนั่น ทำการขอโทษแสดงการสำนึกผิดบนจดหมาย บอกว่าที่บ้านเกิดธุระด่วนขึ้นกะทันหันต้องรีบกลับไปจัดการ ไม่สามารถมาขอโทษด้วยตัวเองถึงที่ได้ โปรดอภัยให้ด้วย” หลัวจิ่งทิ้งจดหมายให้พวกเขาอย่างไม่สบอารมณ์ คนแซ่จ้าวช่างหน้าด้านไร้ยางอาย หนีไปในชั่วข้ามคืนและยังกล้ามาอ้างด้วยคำพูดคำจาดูดีเพียงนี้อีก หนังหน้าหนาเสียยิ่งกว่าฝาผนังทองแดงนัก
เจินจูกับผิงอันอ่านหนึ่งรอบ สองคนได้แต่มองหน้ากันไปมา
ในซองจดหมายมีตั๋วเงินปึกหนาโผล่ออกมาด้วย พอนับๆ ดูแล้วทั้งหมดทั้งมวลสองหมื่นเหลียงถ้วนๆ
“นี่เป็การแสดงความสำนึกผิดที่เขามอบให้งั้นหรือ เหอะ... ใช้ชีวิตคงเส้นคงวาดีจริงๆ ไม่ว่าเื่อะไรก็ล้วนคิดใช้เงินแก้ไขปัญหาทั้งสิ้น” หลัวจิ่งมองตั๋วเงินบนโต๊ะด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“โอ้ว เงินเยอะแยะเลยนี่”
ผิงอันหยิบตั๋วเงินหนึ่งใบมูลค่าห้าร้อยเหลียงขึ้น เขาพลิกมองไปมาด้วยความสนใจ นี่เป็ครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นตั๋วเงินจำนวนมากเพียงนี้
“…”
เป็เงินอีกแล้ว... เจินจูหมดคำพูด เงินก้อนใหญ่ในกระเป๋าส่วนตัวของนางยังใช้ไม่หมดเลย เหตุใดก็เพิ่มเข้ามาใหม่อีกนี่ ต้องมาปวดหัวว่าจะใช้จ่ายออกไปอย่างไรอีกแล้ว
“ตั๋วเงินพวกนี้ พวกเราไม่ควรรับไว้ใช่หรือไม่?”
หากรับไว้ไม่ใช่หมายความว่าให้อภัยพวกเขาแล้วหรือ? เื่จะง่ายเช่นนี้ได้เสียที่ไหน
“รับสิ! จะไม่รับได้อย่างไร ต่อให้ไม่อยากรับก็หาคนคืนไม่ได้แล้ว พวกเขาต้องหนีไปนานแล้วแน่นอน เซี่ยวเว่ยเหยาหาคนไม่เจอหรอก” หลัวจิ่งซ้อนเงินขึ้นอย่างเป็ระเบียบ จากนั้นดันไปตรงหน้าเจินจู “เ้ารับไว้ ควรใช้อย่างไรทำไมจะไม่ใช้อย่างนั้นล่ะ ตั๋วเงินเล็กน้อยนี่นับเป็ของชดเชยจิตใจที่พวกเขาให้เ้า”
ตั๋วเงินเล็กน้อย? เจินจูมองตั๋วเงินหนึ่งกองหนาตรงหน้า... วาจาช่างโอหังจริงๆ
“…เ้าเก็บไว้เถอะ ตั๋วเงินมากมายเพียงนี้ ข้ากลัวทำหล่นหาย”
นางยื่นนิ้วมือออกมา และดันตั๋วเงินไปให้เขา
“ให้เ้ารับไว้ก็รับไว้ หากข้า้าใช้ค่อยถามเอากับเ้า”
หลัวจิ่งใช้สายตามืดครึ้มจ้องนางหนึ่งที แล้วดันกองตั๋วเงินออกมาอีกรอบ น้ำเสียงยิ่งไม่ต้องถามหาความอ่อนโยนเลย
“…”
เอาเถอะ รังเกียจเงินไปก็ทำอะไรไม่ได้ เช่นนั้นนางรับไว้แล้วกัน ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาจางๆ อย่างอธิบายไม่ถูก
เหยาเฮ่าหลานกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ไม่เจอเบาะแสอะไรดังคาด เด็กผู้นั้นรับเงินมาสองเหวินก็รีบนำจดหมายมาส่งอย่างดีใจเหลือล้น คนที่มาจ้างเป็ผู้ใดล้วนไม่รู้จักทั้งสิ้น
เหยาเฮ่าหลานหารือกับหลัวจิ่งอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วออกไปศาลาว่าการอำเภอฉีหลินอีกรอบ สกุลจ้าวหนีไปแล้วแต่ลานบ้านยังอยู่ ให้เ้าหน้าที่ในศาลาว่าการคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวด้านในไว้ หากค้นพบอะไรให้ไปรายงานได้ที่จวนเจิ้นกั๋วกง
่บ่ายท่านหมอมาเปลี่ยนยาให้หลัวจิ่ง าแของเขาปิดแน่นสนิทดีมาก ไม่มีเืไหลออกมาอีก ท่านหมอเอาแต่ชมว่าสภาพร่างกายของเขาดีจริงๆ าแลึกเพียงนี้ เพียงคืนเดียวก็ไม่มีเืซึมออกมาแล้ว
หลังดื่มยาไป เจินจูจึงบังคับให้เขาพักผ่อนตอนกลางวัน เมื่อคืนก็ไม่ได้พักผ่อนให้ดี วันนี้อย่างไรก็ต้องชดเชยสักงีบ
พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้เช้าจะออกเดินทาง ขณะนี้เสียเวลาอยู่อำเภอฉีหลินมาหนึ่งวัน บนกายหลัวจิ่งกับผิงอันก็มีาแอีก ไม่เหมาะให้เดินทางอย่างรวดเร็ว หากออกเดินทางให้เร็วหน่อย ต่อให้การเดินทางจะช้าลงไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถเร่งกลับไปหมู่บ้านวั้งหลินก่อนปีใหม่ได้
การถูกคนจับตัวไปบนถนนครั้งนี้ เจินจูเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงสิ่งหนึ่ง ความยากลำบากของสตรียุคโบราณ โดยเฉพาะเป็สตรีที่หน้าตางดงาม ให้เดินอยู่บนถนนดีๆ ก็ล้วนถูกคนที่มีเจตนาร้ายปรารถนาเอาได้
ด้วยเหตุนี้การออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ต้องกระทำสิ่งต่างๆ ให้เงียบเชียบไม่เตะตาจะดีกว่า
คิดได้ดังนั้นนางจึงรื้อเสื้อกันหนาวสองชั้นที่หลี่ซื่อเย็บให้ออกมาจากห่อผ้าในมิติช่องว่างและนำมาเปลี่ยน จากนั้นเก็บเสื้อกันหนาวสองชั้นตัวใหม่ที่ฮูหยินกั๋วกงเร่งทำออกมาให้เข้าไปในมิติช่องว่างเช่นเดิม แต่งชุดธรรมดาเรียบง่ายสักหน่อย อย่างน้อยจะได้ไม่ถูกคนชั่วโหยหาง่ายดายเพียงนั้น
เมื่อหลัวจิ่งตื่นขึ้นมาในห้องก็เห็นนางกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายกลับไปเป็ชุดเก่า สีหน้าจึงมืดครึ้มลง
เขาใช้มือขวาข้างที่ไม่ได้รับาเ็ ดึงเจินจูกลับเข้ามาในห้องของนางเอง เพื่อให้นางเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็ชุดใหม่เหมือนเดิม
“และหากเ้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องระมัดระวังหน่อยสิ ไม่เช่นนั้นใบหน้าของชายวัยฉกรรจ์เช่นพวกข้าจะเอาไปหยุดไว้ตรงไหน?”
ชายวัยฉกรรจ์? เจินจูชำเลืองมองใบหน้าละเอียดเรียบลื่นและอ่อนนุ่มของเขาแวบหนึ่ง อื้ม... เอาเถอะ แม้เขายังเด็กอยู่ ทว่าในใจเป็ชายวัยฉกรรจ์แล้วนี่
เอาล่ะจะทำลายความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของชายวัยฉกรรจ์ไม่ได้
เจินจูเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่อย่างเชื่อฟัง
ดันเขาออกจากห้องไปก่อน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงดึงประตูห้องเปิดออก
คิ้วยาวเฉียงของหลัวจิ่งยังคงขมวดอยู่เช่นเดิม ดวงตาสีเข้มจับจ้องบนมวยผมของนาง
บนผมดำนุ่มดุจปุยเมฆ ปิ่นไข่มุกสักชิ้นก็ไม่มี แม้กระทั่งต่างหูก็ไม่สวม
เจินจูกลอกตาใส่เขาอย่างระงับไว้ไม่อยู่ เมื่อก่อนตอนนางอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่สวมเครื่องประดับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เสียหน่อย
ทว่าหลัวจิ่งกลับไม่สนใจ ขวางนางไว้อย่างไม่เลิกรา ยืนกรานให้นางกลับไปสวมเครื่องประดับเสียให้ได้
ในเมื่อผู้าเ็เล่นใหญ่ เจินจูจึงจำใจเข้าไปค้นกล่องเครื่องประดับขึ้นมา แล้วหยิบแปรงคาดดอกยู่หลันปักที่มวยผมให้ตัวเอง จากนั้นสวมต่างหูจื่อติงเซียง ในที่สุดก็ทำให้นายท่านผู้นั้นหลบทางให้นางด้วยความพึงพอใจได้
“แต่งตัวเช่นนี้ดีกว่าตั้งเท่าไร แม่นางน้อยควรตกแต่งสิ่งสวยๆ งามๆ ส่วนอย่างอื่นล้วนไม่ต้องกังวลใจ หากมีคนชั่วอยากทำเื่ไร้ศีลธรรมเช่นนั้นอีก ให้พวกข้าจัดการมันเอง”
นายท่านที่ใบหน้าอ่อนวัยเดินตามหลังนางพลางบ่นไม่หยุดปาก
จนกระทั่งนางออกมาจากห้องของผิงอัน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเกาเตี่ยนที่ซื้อมาเมื่อคืนไม่มีแล้ว จึง้าลากนางไปเดินซื้ออีกรอบ
เจินจูลังเลเล็กน้อย
“ไม่ต้องกลัว จะไม่เกิดเื่เช่นเมื่อวานแน่” ใบหน้าหลัวจิ่งจริงจัง มองคนตัวเล็กที่ดูน่ารักตรงหน้าด้วยความปวดใจ ล้วนเป็เขาที่ไม่ดี ทำให้นางตื่นใกลัว แม้แต่การออกไปข้างนอกก็ล้วนมีเงามืดอยู่ในใจเสียแล้ว
เจินจูยิ้มส่งไปให้เขา นางไม่ใช่ว่าหวาดกลัวเสียหน่อย แต่เื่เมื่อคืนดึงให้เขากับผิงอันต้องมาาเ็ นางแค่รู้สึกว่าต้องระวังสักหน่อยเท่านั้น
“อื้ม ข้าไม่กลัว มีเ้าคอยปกป้อง ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวทั้งสิ้น”
แสร้งทำท่าทางอ่อนแอขณะกล่าว แล้วสวมหมวกสูงให้เขา [2] ลูบปลอบบ่าของเขาที่ได้รับาเ็เล็กน้อย
ดวงตาที่ลึกซึ้งของหลัวจิ่งเป็ประกายดังคาด มุมปากยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ พลอยให้จิตใจสว่างสดใสขึ้นไปด้วย
เจินจูลอบยิ้มอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าต่อให้บุรุษจะอายุเท่าไร ก็ล้วนชอบความรู้สึกที่ได้รับความนิยมชมชอบจากเพศตรงข้ามกันทั้งนั้น
เมื่อเรียกผิงอันมาแล้ว สามคนจึงพาผู้คุ้มกันไปด้วยอีกสองคน แล้วเดินเล่นบนถนนอำเภอฉีหลินหนึ่งรอบอย่างเบิกบานใจ กระทั่งกลับมายังโรงเตี๊ยม บนมือของผู้คุ้มกันต่างก็ทั้งหิ้วทั้งยกสิ่งของห่อเล็กห่อใหญ่เต็มมือไว้ไม่น้อย
ตกเย็นหลังทานอาหารเย็นเสร็จสิ้น ทุกคนต่างก็รีบเข้าพักผ่อน
กลางดึกเกิดลมพัดแรงขึ้น จนถึงเวลายามฟ้าสว่างในอากาศเริ่มมีเกล็ดหิมะปลิวว่อน
การเปลี่ยนแปลงของอากาศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของพวกนาง หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็เตรียมอาหารแห้งเล็กน้อย ขบวนรถม้าเริ่มเดินทางออกจากอำเภอฉีหลินอย่างเชื่องช้า
สละรถม้าออกมาหนึ่งเกวียน จัดแจงปูผ้านวมผืนหนาไว้้า ให้หลัวจิ่งและผิงอันใช้ร่วมกัน
ผู้าเ็สองคนอาศัยตำราที่เซียวจวิ้นมอบให้ผิงอัน และหมากล้อมเล่นฆ่าเวลา
ส่วนเจินจูเริ่มดึงผ้าไหมสีเข้มออกมาหนึ่งชิ้น เริ่มปักกระเป๋าใบเล็กให้หูฉางกุ้ย
การเดินทางครึ่งหลังมานี้ราบรื่นอย่างมาก นอกจากพบกับหิมะด้านนอกที่ตกอยู่เป็ระยะๆ แล้ว ขบวนรถม้าของพวกนางก็ไม่เจอกับความยุ่งยากอื่นใดอีก
อย่างไรเสียขบวนรถม้ากองกำลังแข็งแกร่งสี่สิบกว่าชีวิต ต่อให้เป็โจรดักปล้นต่างก็ไม่กล้าเข้ามาหาเื่ง่ายๆ แน่
เวลาพลบค่ำผ่านไปสิบวัน
ในที่สุดขบวนของพวกนางก็เร่งมาถึงหัวเมืองเอ้อโจวจนได้
ถนนของเมืองเฉิงหยางยังคงคึกคักจอแจอยู่เช่นเดิม พักผ่อนอยู่หนึ่งคืน บ่ายพรุ่งนี้ก็จะกลับถึงบ้านแล้ว
ผิงอันรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก นี่เป็ครั้งแรกที่เขาออกมาไกลบ้านนานเพียงนี้ เขาเต็มไปด้วยความคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ อีกทั้งบรรดาสหายของเขาอีก
สภาพอาการาเ็ของเขาดีขึ้นมาก เส้นโลหิตหัวใจที่ได้รับการะเืทำให้าเ็ ถูกเจินจูแอบใช้น้ำแร่จิติญญาบำรุงรักษาอยู่หลายวัน จึงไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว
่เวลาสองวันมานี้ก็เริ่มออกไปขี่ม้าได้
เหยาเฮ่าหลานรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก ตอนแรกที่เขาได้จับชีพจรให้ผิงอัน สภาพอาการาเ็ยังรุนแรงอยู่มาก ท่านหมอของอำเภอฉีหลินก็กล่าวไว้เช่นกันว่าสภาพอาการาเ็ของเขา อย่างน้อยต้องใช้เวลารักษาหนึ่งถึงสองเดือนจึงจะสามารถหายเป็ปกติได้
ทว่า นี่เพิ่งผ่านมาสิบวันเอง เด็กชายก็เริ่มมีชีวิตชีวาออกมาะโโลดเต้นเสียแล้ว อีกทั้งชีพจรก็ยังมั่นคงปกติ ไม่มีอาการที่ตกค้างอยู่เลยแม้แต่น้อย
หรือความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายคืนสู่สภาพเดิมของเด็กจะดีเป็พิเศษ?
เหยาเฮ่าหลานสงสัย
สภาพอาการาเ็ของหลัวจิ่งฟื้นคืนกลับมาได้ดีมากเช่นกัน หลังาแหายสนิท แม้แต่ผ้าพันแผลก็ตัดทิ้งไปแล้ว แต่กระดูกไหล่ที่ได้รับาเ็หากจะบำรุงรักษาขึ้นมาต้องใช้เวลาเล็กน้อย
พรุ่งนี้ก็จะถึงบ้าน ในใจของทุกคนต่างก็ดีใจเป็อย่างมาก ออกจากบ้านมารอบหนึ่งใช้เวลาไปหนึ่งเดือน ยังมีเวลาอีกไม่กี่วันก็จะฉลองปีใหม่กัน
กลุ่มผู้คุ้มกันที่หลิวอี้นำมา แทบทั้งหมดโยกย้ายมาจากหัวเมือง จึงเท่ากับว่าพวกเขาได้มาถึงบ้านแล้ว
เจินจูมอบเงินยี่สิบเหลียงแก่ทุกคน ให้พวกเขากลับบ้านกันไปได้เลย เดิมหลิวอี้ไม่เห็นด้วย กล่าวว่าอย่างไรก็ต้องมาส่งพวกนางกลับเข้าเมืองเสียก่อน หลังรายงานผลกับหลิวผิงแล้วจึงจะนับได้ว่าหน้าที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์
เจินจูส่ายหน้า สร้างความยุ่งยากลำบากให้พวกเขามานานเกินไป ผ่านไปอีกสามสี่วันก็จะฉลองปีใหม่อยู่แล้ว เหล่าผู้คุ้มกันเร่งเดินทางมานานเพียงนี้ ต่างก็ลำบากกันทั้งสิ้น
ผู้คุ้มกันของหลัวจิ่งและองครักษ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงล้วนยังอยู่ ไม่จำเป็ต้องรบกวนพวกเขาอีก
หลิวอี้เห็นว่านางยืนกรานเช่นนี้ จึงกล่าวอะไรออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงดำเนินการตามความเห็นนาง
หัวเมืองเฉิงหยางในยามพลบค่ำคึกคักเป็อย่างยิ่ง จวนจะฉลองปีใหม่เช่นนี้ คนจากตำบลและเมืองละแวกใกล้เคียงต่างมาจับจ่ายซื้อของปีใหม่เป็จำนวนมาก แม้สีท้องฟ้าจะเริ่มค่ำมืดลงไปอย่างช้าๆ แต่ผู้คนยังหลั่งไหลกันอยู่ไม่ขาดสาย
ผู้คุ้มกันที่ได้รับเงินรางวัลมาอำลาด้วยความดีใจ แล้วหิ้วสัมภาระกลับบ้านของตน
เงินเดือนปกติของผู้คุ้มกันเป็เงินหนึ่งเหลียงห้าร้อยเหวินโดยประมาณ ทว่าคุ้มกันสองพี่น้องสกุลหูไปเมืองหลวงหนึ่งเดือน กลับได้รับเงินรางวัลยี่สิบเหลียง ช่างเพียงพอให้พวกเขาฉลองปีใหม่กันได้อย่างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว
เชิงอรรถ
[1] ทาน้ำมันไว้ใต้ฝ่าเท้า หมายถึง การอุปมาว่าหนีไปอย่างรวดเร็ว
[2] สวมหมวกสูง หมายถึง พูดจายกยอ