ทุกครั้งที่ท่านพ่อของเขามาหา หลังจากนั้นก็จะไม่เห็นเงาอีกเป็ระยะเวลานาน บางทีก็ได้ยินคนในหมู่บ้านบอกว่าเมื่อคืนท่านพ่อเขาถูกแมวข่วน
เมื่อนึกถึงเื่นี้ ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้ท่านพ่อคงจะแอบขโมยของบางอย่างออกมา เมื่อท่านแม่รู้เข้า ทั้งสองจึงทะเลาะกันยกใหญ่
เขายังย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่ย่าจากไปได้ ตอนนั้นท่านย่าของเขานอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวมีริ้วรอยแห่งวัย มือที่เหี่ยวย่นลูบศีรษะของเขาแล้วพึมพำไม่หยุด “ย่าต้องไปแล้ว แต่กุ้ยเอ๋อร์ของข้าจะทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากจากไป ข้ายังไม่ได้เห็นกุ้ยเอ๋อร์ของข้าเติบโต หลานชายที่น่าสงสารของย่า ย่าต้องไปแล้ว ไม่อาจดูแลเ้าได้อีก ต่อไป เ้าไปอยู่ข้างกายพ่อแม่เ้า ต้องเชื่อฟัง อย่าเถียง อย่าโมโห เ้านิสัยดื้อรั้น ย่าวางใจไม่ลง กลัวเ้าจะเสียเปรียบ…”
จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของท่านย่า ก็ยังมีห่วงเื่ที่หลิวซานกุ้ยต้องกลับไปอยู่กับบิดามารดา และกลัวว่าชีวิตของเขาจะขมขื่น…
ในความมืด ของเหลวร้อนๆ ไหลท่วมท้นออกมาจากดวงตาของหลิวซานกุ้ย น้ำตาอุ่นๆ ไหลมาโดยไม่ขาดสาย ผ่านทางหางตาไปยังขมับและเปียกซึมลงบนหมอน
เขาไม่อาจลืมได้ว่าที่ท่านย่าตายตาไม่หลับก็เพราะมีห่วง ความรักใคร่เอ็นดูเขา ความเป็ห่วงเขา…
เมื่อกลับไปที่บ้าน ท่านพ่อก็ถอนหายใจตลอด ส่วนท่านแม่ก็ไม่แยแส มีเพียงท่านปู่ที่ปกป้องเขา ถึงแม้ชีวิตจะยากลำบากไปสักหน่อย หลิวฉีซื่อก็เพียงแค่หาเื่ด่าโดยไม่มีสาเหตุ แต่ไม่เคยตีเขา ต่อมายังส่งให้เขาเข้าเรียน แต่หลังจากที่ท่านปู่จากไป เื่นี้ก็กลายเป็เพียงความปรารถนา
ในเวลาต่อมา หลิวฉีซื่อก็ใช้สินสอดราคาถูกสู่ขอจางกุ้ยฮัว อันที่จริงเขานั้นพึงพอใจ เพราะจางกุ้ยฮัวไม่เพียงแค่สะสวย แต่ยังขยันหมั่นเพียรและกตัญญูต่อพ่อแม่ หลิวซานกุ้ยคิดมาตลอดว่าถึงแม้หลิวฉีซื่อจะไม่ชอบเขา แต่ก็ยังรักเขาที่เป็ลูกชาย กระทั่ง่หลังที่ภรรยาได้คลอดบุตรสาวออกมาทีละคน จนถึงตอนที่บุตรสาวคนรองเอ่ยถึงเื่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูแตกต่างจากคนในครอบครัว
ทั้งหมดนี้เขาคิดเพียงว่าท่านแม่นั้นลำเอียง เพราะตนเองไม่ได้เติบโตมาข้างกาย แต่หลังจากที่ได้เล่าเรียนก็ค่อยๆ แจ่มแจ้งและเริ่มคิดได้
เดิมทีหลิวซานกุ้ยยังมีข้อสงสัยในใจ แต่ก็พยายามมองหาเหตุผลที่จะไม่ให้ตัวเองคิดไปเช่นนั้น จนกระทั่งได้ยินคําพูดของจางกุ้ยฮัวในวันนี้ ซึ่งเป็เหมือนฟางเส้นสุดท้าย
จิตใจของเขาฟุ้งซ่านและสับสน เขา้าสงบนิ่งเพื่อคิดเื่เหล่านี้ให้ชัดเจน
“กุ้ยฮัว ใน่หลายปีที่ผ่านมาข้าไม่ได้สงสัยมาก่อน แต่พอข้าคิดอย่างละเอียด ท่านปู่ย่าก็ไม่เคยบอกว่าข้าไม่ได้เกิดจากท่านพ่อท่านแม่ อีกทั้งพ่อข้ารักและเป็ห่วงข้าจริง ข้าสามารถรับรู้ได้ แล้วก็ ข้ามีภาพจำว่าตอนนั้นคนในหมู่บ้านชมว่าข้าเหมือนย่า ย่าข้าได้ยินคนพูดแบบนี้ทุกครั้งก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ?”
จางกุ้ยฮัวฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เช่นนี้ก็เท่ากับเ้าเป็ลูกแท้ๆ หรือ?”
หรือมีเพียงบิดาที่ให้กำเนิด แต่หลิวฉีซื่อเป็เพียงแม่เลี้ยง?
นั่นไม่ถูกต้อง ความรักของหลิวฉีซื่อที่มีต่อหลิวสี่กุ้ยและหลิวเหรินกุ้ยก็ดูออกชัดเจนว่าเป็แม่ลูกกัน
ทันใดนั้น ในใจนางก็นึกถึงความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียว
“หรือว่าท่านแม่เ้าจะไม่ใช่...”
หรือว่ามารดาของหลิวซานกุ้ยจะไม่ใช่หลิวฉีซื่อ?
แต่ไม่ถูกต้อง นางแต่งงานมาอยู่ในหมู่บ้านสิบกว่าปี ไม่เคยได้ยินว่าหลิวซานกุ้ยเป็ลูกอนุ อีกอย่างหลิวต้าฟู่เองก็นิสัยซื่อตรงเป็คนดี ไม่น่าทำเื่เช่นนี้ได้
“ใน่หลายปีที่ผ่านมา ข้ารู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ ข้าเองก็เคยสงสัยว่าตนเองจะใช่ลูกท่านแม่จริงหรือ แต่คนในหมู่บ้านก็บอกว่าข้าเป็ลูกแท้ๆ ของนาง” เขาพูดเช่นนี้แต่แววตายังเต็มไปด้วยความสงสัย “แต่ก็ไม่ถูก คนในหมู่บ้านบอกว่า ตอนนั้นท่านปู่ข้าตามท่านย่าไปในจังหวัด เพื่อหางานในจังหวัด ดีกว่าอยู่ที่บ้านนอก”
จางกุ้ยฮัวถามอีกครั้งว่า “เ้าไม่ได้เกิดในหมู่บ้านหรือ?”
หลิวซานกุ้ยกล่าวว่า “ไม่ ข้าเกิดในจังหวัด พ่อข้าเคยทำงานในจวน แต่ไม่ได้อยู่นานมากนัก พ่อข้านิสัยซื่อตรงเกินไปจึงทำเพียงงานหนักในจวน ตอนนั้นท่านลุงข้าก็เป็ผู้ดูแลแล้ว เขารังเกียจพ่อข้าว่าพูดไม่เป็ ไม่รู้จักเอาใจคน ท่านย่าเองก็กลัวว่าท่านพ่อจะทำให้นางเสียหน้า จึงอยู่ในจังหวัดไม่ถึงหนึ่งปีเศษ เมื่อคลอดข้าออกมาก็พากันกลับหมู่บ้านสามสิบลี้”
เขากลัวว่าจางกุ้ยฮัวจะไม่เชื่อจึงเสริมว่า “ท่านย่าเป็คนบอกเื่นี้แก่ข้า”
เขาเชื่อว่าท่านย่าไม่มีทางโกหก
“ตอนนั้นพี่รองยังเด็ก ้าก็ยังมีพี่ใหญ่ ท่านย่าเห็นว่าท่านแม่ข้าเลี้ยงไม่ไหว จึงรับข้าไป”
นี่อธิบายได้ว่า เหตุใดจึงมีเพียงหลิวซานกุ้ยที่เติบโตมากับย่า
“แต่ข้าเคยคิดอย่างถี่ถ้วน ว่ากันว่ามารดาไม่รังเกียจลูกที่ไม่ได้เื่ และไม่รังเกียจบ้านที่จน แต่ท่านแม่เ้าปฏิบัติกับเ้าไม่เหมือนแม่แท้ๆ หลายปีมานี้ก็เรียกใช้ครอบครัวเราอย่างกับทาส กินนอนยังไม่ดีเท่าเด็กรับใช้ด้วยซ้ำ”
จางกุ้ยฮัวไม่ได้อิจฉาชุ่ยหลิวและอิงเอ๋อร์ เพียงแต่คิดว่าท่าทีของหลิวฉีซื่อไม่เหมือนมารดาแท้ๆ
หลิวซานกุ้ยเองก็รู้สึกว่าเื่นี้มีเงื่อนงำ จึงตอบ “อีกเดี๋ยวเ้าไปคุยกับลูก บอกว่าอย่าเพิ่งให้พวกนางหลุดปากออกไป ข้าจะไปแอบสืบเื่นี้เอง”
เห็นได้ชัดว่า เริ่มแรกหลิวฉีซื่อมีบุตรชายสี่หญิงหนึ่ง แต่ไม่รักใคร่หลิวซานกุ้ยเพียงคนเดียว เท่านั้นยังไม่พอ ยังใช้งานครอบครัวเขาราวกับทาส
อีกหนึ่งเื่ก็คือ หลิวซานกุ้ยไม่มีความคล้ายคลึงด้วยลักษณะรูปร่างและใบหน้ากับคนในตระกูลหลิวแม้แต่นิดเดียว มีเพียงความคล้ายกับหลิวต้าฟู่เพียงเศษเสี้ยว ตามหลักแล้ว หากว่าเป็บุตรแท้ก็ต้องเหมือนคนใดคนหนึ่งในบิดามารดา หรือบางทีก็เป็หลานที่เหมือนลุง แต่เขาไม่ได้คล้ายกับคนฝั่งพี่ชายของหลิวฉีซื่อแม้แต่น้อย
นี่คือเหตุผลที่จางกุ้ยฮัวสะกิดเื่นี้ให้เป็ประเด็น แต่ที่หลิวซานกุ้ยไม่ได้ใเพราะว่าเขาเคยสงสัยมานานแล้ว
หลิวเต้าเซียงไม่รู้แต่อย่างใดว่าคำพูดของตนเองนั้นทำให้มารดาเก็บไปคิดไม่ตก และได้บอกกล่าวกับหลิวซานกุ้ยเงียบๆ
อากาศเริ่มเย็นลง พริบตาเดียวก็มาถึงเดือนสิบสองอีกแล้ว
เด็กในครอบครัวเกษตรกรมักจะเลี้ยงไก่และเป็ดเป็ ครอบครัวหลิวเต้าเซียงเองก็เช่นกัน เป็เพราะซูจื่อเยี่ยที่ทำให้บ้านของนางมีตำราการเกษตรเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ยามว่างในฤดูหนาวบรรดาพี่น้องของหลิวเต้าเซียงก็มักจะล้อมวงเตาไฟและอ่านพวกมัน จากนั้นก็สอนหลิวชุนเซียงที่อายุสามขวบให้เขียนหนังสือ ทุกๆ สองวันจะสอนให้สามถึงห้าตัวอักษร ในเวลาเดียวกันเฉินซื่อก็อยู่ว่างไม่ได้ คอยทำของว่างให้พวกนางเป็ประจำ ใน่วันเวลาที่หนาวเหน็บ หลิวเต้าเซียงมองดูฝ่ามือของตนเอง อืม ฤดูหนาวนี้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยทีเดียว
ขณะนี้แสงเทียนสั่นไหวอย่างเลือนราง ห้องที่เงียบสงบก็ได้ยินเพียงเสียงดีดลูกคิดดังอย่างต่อเนื่อง
จางกุ้ยฮัวโยนฟืนท่อนใหญ่เข้าไปในเตาไฟ แล้วมองดูไฟที่ลุกโชน ขอเพียงปีที่กำลังจะมาถึงเป็ปีที่รุ่งโรจน์อีกหนึ่งปี
หลิวซานกุ้ยหรี่ตาพริ้ม เขาสวมชุดผ้าไหมหูโจวตัวยาวประดับขนกระต่าย แล้วถือน้ำชาร้อนขึ้นมาจิบช้าๆ
เฉินซื่อพาหลิวชุนเซียงกับคู่แฝดไปนอนแล้ว หากให้นางพูดก็คือ อาศัย่ที่ยังหนุ่มยังสาวและที่บ้านมีเงิน ควรรีบคลอดเด็กๆ ออกมาอีกหลายคนจะได้คึกคัก
เอิ่ม!
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา เกาจิ่วพาคนมารับสินค้า ไก่หนึ่งหมื่นตัว หมูหนึ่งพันตัว แล้วก็ไข่ไก่ราวหนึ่งแสนชั่ง ล้วนเป็ผลประกอบการในปีนี้ของครอบครัว
หลิวเต้าเซียงพลิกสมุดบัญชีไปจนถึงหน้าสุดท้าย จากนั้นก็บวกลบคูณหาร ไม่นานนักก็คำนวณออกมา แล้วใช้พู่กันแต้มขีดสุดท้ายลงบนกระดาษ เพื่อบันทึกตัวเลข
เมื่อมองไปที่ตัวเลขข้างต้นอารมณ์ของนางก็ดีไม่น้อย ใบหน้าสะสวยยิ้มแย้มแล้วหันมองด้านข้าง เห็นหลิวชิวเซียงท่าทางอารมณ์ดี ในใจก็ยิ่งสุขใจ
หลิวซานกุ้ยที่กําลังดื่มชาดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงมองมาด้วยใบหน้าที่อมยิ้ม
เื่ที่หลิวเต้าเซียงรักเงิน เป็ความลับที่เปิดเผยกันแค่คนในครอบครัว
ท่าทีของบิดาทำให้ใบหน้าของหลิวเต้าเซียงร้อนผ่าว อืม เขากำลังหัวเราะเยาะนางอีกแล้ว ท่านพ่อน่าโมโหขึ้นทุกวัน!
“ท่านพ่อ ข้ารักเงินแล้วอย่างไร ราชวงศ์โจวไม่ได้มีกฎหมายกำหนดว่า หญิงสาวห้ามหลงรักเงินนี่นา”
หลิวซานกุ้ยเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของนางอย่างสนุกสนาน แล้วเอ่ย “ดูท่าทางเ้าสิ ปีนี้เกรงว่าคงมีรายได้ก้อนใหญ่สินะ!”
“ครอบครัวของเราเลี้ยงไก่ห้าพันตัวเมื่อปีที่แล้ว และหมูมากกว่าสองร้อยตัวสามารถทำเงินได้มากกว่าสี่ร้อยตำลึง ปีนี้ย่อมมีรายได้มากกว่าอยู่แล้ว”
หลิวเต้าเซียงเปิดสมุดบัญชีรายได้และรายจ่ายทั้งหมดที่กำกับตัวเลขของปีนี้ มีรายรับทั้งหมดสองพันเจ็ดร้อยยี่สิบห้าตำลึง
ขณะนี้ทางด้านของหลิวชิวเซียงก็คำนวณค่าใช้จ่ายออกมาเรียบร้อย ก่อนจะเบะปากไม่ดีใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ปีนี้บ้านเราใช้ไปหนึ่งร้อยตำลึง ประกอบด้วย เงินที่ท่านพ่อเอาไปสอบสี่สิบตำลึง แล้วก็ท่านย่ามาหยิบนั่นหน่อยนี่หน่อย ปีนี้เอาของจากบ้านเราไปยี่สิบหกตำลึงเศษ ยังรวมถึงผ้า ไก่และเป็ดที่เอาไปจากบ้านเราในปีนี้เป็ต้น อืม มีเงินค่าแต่งอนุของลุงรองสามตำลึง แล้วก็งานเลี้ยงซิ่วไฉของอาสี่ ทั้งหมดใช้เงินครอบครัวเราไปราวสิบตำลึง แล้วก็ของขวัญประจำปีที่มอบให้ท่านย่าอีกปีละสองตำลึง”
ดูผิวเผินเหมือนว่าหลิวฉีซื่อจะไม่ได้เอาอะไรไปจากที่บ้าน แต่พอท้ายปีมาสรุปบัญชี สองพี่น้องเพิ่งจะพบว่า หนึ่งปีมานี้หลิวฉีซื่อได้ผลประโยชน์จากครอบครัวนางไปไม่น้อย
หลิวชิวเซียงโยนสมุดบัญชีออกไปและพูดอย่างโกรธเคือง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าโมโหจริงๆ เื่อะไรแยกครอบครัวแล้ว เรายังต้องรับผิดชอบเื่น่าอายของลุงรอง ข้าวสารที่ได้จากอันดับปิ่งเซิงของท่านก็ต้องยกให้บ้านเดิมไปทั้งหมด”
หลิวซานกุ้ยสอบได้อันดับแปดในซิ่วไฉรุ่นนี้ของอำเภอถู่หนิวจึงได้ตำแหน่งปิ่งเซิงด้วย จากกฎบัญญัติของราชวงศ์โจว หากได้อันดับปิ่งเซิง จะได้รับเงินหนึ่งตำลึงและข้าวสารสามสิบชั่งทุกเดือน
พอคำนวณแล้ว ก็ช่วยเติมรูโหว่ให้บ้านเดิมจริงๆ
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าสีหน้าของท่านพ่อไม่ดีนัก จึงเกลี้ยกล่อม “ท่านพี่อย่าโกรธไปเลย ของเ่าั้ก็แค่ขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัว”
เดิมทีนางอยากบอกว่าเป็แค่ของไล่ขอทาน แต่พอเห็นสีหน้าของหลิวซานกุ้ยแย่หนักกว่าเดิม จึงหยุดไว้ก่อน
จากนั้นหยิบสมุดบัญชีในมือ กระแอมและพูดว่า “ท่านพี่อย่าโกรธ ฟังข้าพูดถึงรายได้ของครอบครัวเราในปีนี้ก่อน”
นางบอกทุกคนก่อนว่า ปีนี้รายได้สุทธิของครอบครัวอยู่ที่สองพันเจ็ดร้อยยี่สิบห้าตำลึง
“อะไรนะ? เ้าว่าอะไรนะ?” จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าความสุขมาได้กะทันหันราวกับพายุ
จากรายได้ของปีที่แล้ว นางคิดว่าอย่างมากสุดก็คงหนึ่งพันตำลึงเศษ ใครจะรู้ว่าได้ถึงสองพันเจ็ดร้อยกว่าตำลึง
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ปีนี้เรามีรายได้เข้าบัญชีสองพันเจ็ดร้อยกว่าตำลึงจริง พอรวมกับเงินที่เหลือจากปีที่แล้วสามร้อยกว่าตำลึง ก็มีเงินคงเหลือทั้งหมดราว สามพันกับแปดสิบตำลึง”
“อะ อะไรนะ? ครอบครัวของเรามีเงินมากกว่าสามพันตำลึง?” หลิวซานกุ้ยรู้สึกเพียงว่าหัวใจกําลังเต้นรัวราวกับตีกลอง เื่ในบ้านเขาปล่อยให้บุตรสาวดูแลมาโดยตลอด ยามปกติก็เพียงแค่ช่วยดูเื่ใหญ่ๆ ให้
เขาเองก็เคยคำนวณในใจ เทียบกับปีที่แล้ว อย่างมากสุดก็น่าจะเพิ่มสามเท่าตัว แต่ไม่คิดว่าจะเยอะกว่าที่คิดไว้อีกเท่าตัว
-----