หลังอาหารเช้า ผิงซุ่นกับชุ่ยจูมาถึงตรงเวลา ห้องเรียนเล็กของสกุลหูก็เริ่มวิชาของหนึ่งวันขึ้น
แผ่นหินหนึ่งก้อนใหญ่วางติดบนผิวโต๊ะเอียง นี่เป็แผ่นกระดานที่ใช้สอนของหลัวจิ่ง ขณะนั้น บนแผ่นกระดานยังเขียนศัพท์ใหม่ที่ยังไม่ได้ลบของเมื่อวานทิ้งไว้อยู่
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่แล้ว ต่างก็ทยอยกันหยิบเอาแบบฝึกหัดคำศัพท์ใหม่ที่ฝึกเขียนเมื่อวานออกมาอย่างมีสมาธิ วางไว้บนโต๊ะเพื่อตรวจสอบตามแบบที่ทำประจำ
หลัวจิ่งกวาดตามองผ่านทีละอัน ในสหายสี่คน ผิงอันที่เด็กสุดกลับเขียนตัวอักษรได้ดีที่สุด หลังประเมินเปรียบเทียบไปแล้ว ใบหน้าเล็กของผิงอันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่เสียแรงเปล่าที่เขาเขียนแล้วเช็ด เช็ดแล้วเขียน ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเขียนตัวอักษรให้ได้ดี
เจินจูมองด้วยความเบิกบานใจ ตัวอักษรของนางเขียนได้ตามอำเภอใจ โดยรวมแล้วเขียนผ่านไปหนึ่งรอบ เพียงรู้จักก็พอ นางไม่คิดจะจริงจังมากนัก
ส่วนชุ่ยจูกลับฝึกเขียนตัวอักษรอย่างจริงจังมาก หนึ่งขีดหนึ่งเส้น ยังนับว่าเขียนได้ประณีตเรียบร้อย
มีเพียงตัวอักษรของผิงซุ่น ที่เขียนไม่เป็ระเบียบเท่าไร ไม่ค่อยน่าดู ยิ่งนิสัยเ้าหนุ่มนี่คึกคักปราดเปรียว ไม่ชอบเรียนหนังสือเท่าไร ตัวอักษรก็เขียนได้ไม่ตั้งใจนัก ทุกวันเขียนศัพท์ใหม่สองสามรอบก็นับว่าไม่เลวแล้ว ดีที่ว่า แม้ตัวอักษรของผิงซุ่นจะเขียนได้ยุ่งเหยิง แต่ความจำกลับไม่แย่ ตัวอักษรหรือคำที่เคยสอนไปล้วนแล้วแต่จำได้
เมื่อตรวจการบ้านหมดแล้ว หลัวจิ่งจับโต๊ะประคองตนเองและเริ่มเขียนเนื้อหาของวิชาเรียนวันนี้บนแผ่นกระดานหิน เป็ย่อหน้าสั้นๆ หลังเขียนเรียบร้อยจึงสอนอ่าน อ่านเสร็จก็อธิบายความหมาย สุดท้ายเหลือการบ้านศัพท์ใหม่ไว้ เท่านี้หนึ่งชั้นเรียนก็จบลง
ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนเป็เจินจูกับเขาปรึกษากันไว้ดีแล้ว เพราะไม่มีตำราเรียน หลัวจิ่งจึงไม่มีทางที่จะสอนได้ เจินจูได้เสนอความเห็นเช่นนี้ขึ้นมา หลัวจิ่งคิดอยู่เล็กน้อย เหมือนว่าจะทำได้เพียงเช่นนี้ ดังนั้น เขาสอนได้ตามอำเภอใจ พวกนางก็เรียนกันตามอำเภอใจ
หลังห้องเรียนเล็กจบลง ชุ่ยจูกับเจินจูก็ไปรวมตัวกันที่ห้องครัว เริ่มทำอาหารกลางวัน หยิบเนื้อตากแห้งหนึ่งชิ้นกุนเชียงสองเส้นที่ผึ่งลมออกมาจากห้องโถง ล้างให้สะอาด แล้ววางไว้บนข้าว นึ่งให้สุกไปพร้อมกันกับข้าวสวย
พอเสียงฟองอากาศ “วี้ด วี้ด” ในหม้อดังขึ้น กลิ่นหอมของเนื้อตากแห้งก็กระจายไปทั่ว ชวนให้คนน้ำลายสอ
ชุ่ยจูดมกลิ่นหอมแล้วกลืนน้ำลายลงไป “เจินจู กุนเชียงกับเนื้อแห้งนี่เหตุใดหอมเช่นนี้ อยากทานเสียจนท้องร้องโครกแล้ว”
“ฮ่า ฮ่า พี่รอง อีกเดี๋ยวพอทานเข้าไปท่านก็จะรู้ได้ว่าหอมหรือไม่” รสชาติกุนเชียงมีลักษณะเฉพาะตัว มีรสเค็ม มีความสด และกลิ่นหอมเข้มข้น เหมาะทานกับข้าวที่สุด กุนเชียงหนึ่งเส้นเล็กข้าวหนึ่งถ้วย เท่านี้ก็ได้กลิ่นหอมติดทั่วปากแล้ว
ทุกปีเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว บนระเบียงหน้าต่างของบ้านนางมักแขวนอาหารหมักที่ต้องผึ่งแดดเต็มไปหมด แต่อาหารหมักค่อนข้างเค็ม ง่ายต่อการเป็ร้อนใน ไม่ควรทานเยอะ ดังนั้น คนส่วนใหญ่จะทานสองสามวันหนึ่งหน
กุนเชียงที่นึ่งเสร็จวางอยู่บนเขียงที่ล้างดีแล้ว ฝานให้เป็แผ่นบางๆ บิดออกมาหนึ่งแผ่นเข้าในปาก เจินจูลิ้มรสอย่างระวัง รอยยิ้มเอ่อล้นออกมา อื้ม รสชาติเป็แบบที่คิดจริงๆ ยังอร่อยกว่ากุนเชียงที่บ้านนางกรอกเมื่อก่อนอีก เนื้อพวกนี้เป็หมูป่าแบบดั้งเดิม รสชาติดีกว่าหมูเลี้ยงที่บ้านนางซื้อมานัก
ชุ่ยจูชิมหนึ่งชิ้นอย่างอดใจไม่ไหว “อื้ม... หอมมาก เจินจู อร่อยมากเลย” ชุ่ยจูมองเจินจูด้วยความแปลกใจ กุนเชียงนี่อร่อยมากจริงๆ
“เป็อะไรไป? กุนเชียงทานได้แล้วหรือ?” เสียงของหวังซื่อดังขึ้น แล้วเดินเข้ามาด้วยฝีเท้ารีบเร่ง
“ท่านย่า ท่านมาพอดี ชิมหน่อยสิ” เจินจูยิ้มแล้วป้อนให้นางหนึ่งชิ้น
หวังซื่อตั้งใจลิ้มรส ทั้งชิมไปด้วยพยักหน้าไปด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าระงับไว้ไม่อยู่
“ท่านย่า นี่เป็กุนเชียงรสหวานที่เติมน้ำตาล ชิ้นนี้กุนเชียงรสเผ็ด ชิ้นนี้คือเนื้อตากแห้ง ท่านลองชิมทั้งหมดดู” สามชั้นหนึ่งชิ้นเป็มันขลับแวววาวส่งเข้าไปในปากหวังซื่อ เนื้อตากแห้งเค็มเล็กน้อย ใช้ขึ้นฉ่ายแก่กับกระเทียมผัดเข้าด้วยกันรสชาติจะยิ่งดี
หวังซื่อเปรียบเทียบอาหารหมักทั้งสามชนิดหนึ่งรอบ รู้สึกว่ารสชาติของกุนเชียงใส่น้ำตาลจะถูกปากนางมากกว่า กุนเชียงที่รสชาติเผ็ดก็โดดเด่นมากนัก เพราะยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งมีรสชาติ
อาหารมื้อกลางวัน ทุกคนล้อมอยู่รอบโต๊ะ บนโต๊ะนอกจากอาหารหมักสามอย่างแล้ว ยังทำกับข้าวนิดหน่อย ฟักทองนึ่งหนึ่งถาด ปลาตัวเล็กทอดหนึ่งถาด สุดท้ายน้ำแกงเห็ดลูกชิ้นหนึ่งกะละมังใหญ่ มีปลา มีเนื้อ เป็อาหารที่ดีที่สุด่นี้ของครอบครัวหูเลย
นับั้แ่ลูกชิ้นไม่กี่อย่างออกสู่ภายนอกแล้ว ลูกชิ้นของที่บ้านก็ไม่เคยขาดสายมาก่อน หลี่ซื่อทำลูกชิ้นหัวไชเท้ากับลูกชิ้นเผือกตามวิธีของหวังซื่ออยู่บ่อยๆ วัตถุดิบลูกชิ้นสองอย่างนี้ไม่ซับซ้อน วิธีทำสะดวก หนึ่งครั้งทำหนึ่งกะละมังใหญ่ เมื่ออยากทานก็ยกขึ้นมาอุ่นนิดหน่อย สะดวกสบายเป็อย่างมาก
หลัวจิ่งนั่งอยู่อย่างเงียบเชียบ ั้แ่มีไม้เท้าค้ำยัน เขาก็เริ่มมานั่งทานข้าวที่โต๊ะ
บนโต๊ะอาหารของบ้านสกุลหูวันนี้คึกคักเป็พิเศษ ทันทีที่กุนเชียงและเนื้อตากแห้งอยู่บนโต๊ะ ทุกคนต่างทยอยยกตะเกียบขึ้น พอเนื้อเข้าปาก เสียงร้องตื่นใก็ดังขึ้นเป็แถว ทุกคนเคี้ยวและชื่นชมกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ปากของหลัวจิ่งไม่ออกเสียง แต่ในใจกลับตื่นตะลึงไม่หยุด อาหารหมักของบ้านสกุลหูทำได้ไม่เหมือนผู้ใดเลยจริงๆ รสชาติมีลักษณะเฉพาะตัวนัก
หวังซื่อหน้าตาประดับรอยยิ้ม ในปากเคี้ยวเนื้อ ในใจดอกไม้บานสะพรั่ง อาหารหมักทำได้สำเร็จลุล่วง ก็แสดงว่าจะเพิ่มรายได้อีกหนึ่งส่วนให้กับที่บ้านได้ แต่ไม่รู้ว่าอาหารหมักนี้ต้องขายสูตรหรือทำออกมาแล้วค่อยขายดี? หวังซื่อมองเจินจูที่กำลังทานอย่างเอร็ดอร่อยอย่างกังวลและไม่แน่ใจ
รับรู้ถึงสายตาที่มองมาของหวังซื่อ เจินจูจึงหันไปยิ้มให้นาง แล้วรีบแย่งอาหารหมักหนึ่งชิ้นสุดท้ายจากในมือของผิงซุ่นมาอย่างรวดเร็ว และใส่เข้าในปากภายในหนึ่งคำทันที
เ้าหนุ่มนี่เป็นักทานตัวยงจริงๆ เลย เนื้อหมักหนึ่งถาดเขาคนเดียวทานไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเป็เช่นนี้หรอกหรือ เมื่อแย่งอาหารหมักมาไม่ได้ ก็เริ่มเอื้อมมือไปทางเนื้อตากแห้ง เจินจูชูตะเกียบขึ้นถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เขาจึงเก็บมือที่ยื่นออกไปด้วยใบหน้าปวดร้าว
คีบเนื้อตากแห้งขึ้นมาไม่กี่ชิ้น วางในถ้วยของหลัวจิ่งกับผิงอัน “รีบทาน หากยังไม่ทานอีก ผิงซุ่นจะทานเนื้อเกลี้ยงคนเดียวแล้ว”
“เ้าหมอนี่มารกลับชาติมาเกิดหรือ เนื้อหนึ่งถาดเกือบจะถูกเ้าทานเกลี้ยงแล้ว” ชุ่ยจูยื่นมือออกมาคว้าหูของผิงซุ่นไว้แน่น สีหน้าตอนนางโกรธไม่น่าดูเลยจริงๆ คนหนึ่งโต๊ะล้วนทานไม่เยอะเท่าเขาคนเดียวเลย
“โอ๊ะโอ๊ย ท่านพี่ เจ็บ” ผิงซุ่นปกป้องหูตนเองไว้ อ้อนวอนขอให้ยกโทษ “เป็เนื้อที่อร่อยเกินไป ข้าเลยอดใจไว้ไม่ได้น่ะ”
“พรืด…” เจินจูพ่นหัวเราะ “พี่รอง พอแล้ว อีกสักเดี๋ยว พวกท่านเอากลับไปจำนวนหนึ่ง ผิงซุ่น อาหารหมักค่อนข้างเค็ม ทานเยอะแล้วจะเกิดร้อนในเอาได้ง่ายๆ เ้าทานคู่กับผักจะดีกว่า”
ชุ่ยจูเก็บมือด้วยความโกรธ
หลี่ซื่อหัวเราะแล้วคีบเนื้อตากแห้งให้ผิงซุ่น กล่าวเสียงแหบแห้งด้วยความอ่อนโยน “ให้เ้า ทานเยอะๆ หน่อย”
ผิงซุ่นเงยหน้ามองแวบหนึ่ง รีบกล่าวในทันที “ขอบคุณอาสะใภ้รอง”
หลี่ซื่อหัวเราะพลางพยักหน้ารับ
อาหารเที่ยงหนึ่งมื้อทานกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะไม่ขาดสาย
หลังมื้ออาหาร เจินจูเอาปลาตัวเล็กคลุกรวมกับข้าว ทำอาหารกลางวันให้เสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยวิ่งเข้ามาดมเล็กน้อย ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติที่คุ้นเคย จึงไม่ให้ความสนใจไปพักหนึ่ง เจินจูที่มองอยู่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ใช้มือจิ้มเข้าที่หัวน้อยๆ ของมัน เ้าแมวขโมยฉลาดนี่ ทันทีหลังจากนั้นก็ไม่สนใจมันอีก จะให้มันเคยตัวไม่ได้แล้ว อาหารธรรมดายังไม่ได้กินก็เดินหนีไปเช่นนั้น แต่ยังไงซะเสี่ยวเฮยก็ไม่อดตายหรอก
เมื่อหวังซื่อช่วยหลี่ซื่อเก็บกวาดถ้วยกับตะเกียบเรียบร้อยแล้ว จึงจูงเจินจูเข้ามาในห้อง นั่งลงอยู่ข้างขอบเตียง “เจินจู อาหารหมักเหล่านี้ นับว่าทำได้ดีแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเราเอาไปขายได้หรือยัง?”
“แน่นอนว่าขายได้” เจินจูครุ่นคิด “แต่ เหมือนครั้งก่อนไม่ได้แล้ว”
หวังซื่อใคร่ครวญเพิ่มเล็กน้อย “เ้าจะบอกว่าขายสูตรเช่นขายลูกชิ้นไม่ได้หรือ?”
“อื้ม... กุนเชียงนี่ใส่เครื่องเทศหลายชนิดนักน่าจะทำเลียนแบบได้ไม่ง่าย” เจินจูนั่งขัดสมาธิบนเตียง ไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ ผ่านไปสักพักหนึ่ง จึงยิ้มขึ้น “ท่านย่า ปริมาณของเครื่องเทศที่ใส่ ข้ายังควบคุมไม่แม่น ข้าฝีมือครัวแย่นัก ส่วนสำคัญยังต้องอาศัยพวกท่าน ทำอาหารหมักอีกหลายครั้งหน่อย หากพวกเราคลำหาส่วนประกอบของตัวเองที่เหมาะสมที่สุดออกมาได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าผู้อื่นจะทำเลียนแบบแล้ว”
หวังซื่อครุ่นคิด กล่าวถามอย่างระวัง “เ้าจะบอกว่า กุนเชียงนี้ยังต้องปรับให้ดีขึ้น? ข้าทานแล้วก็อร่อยมากนะ”
“อื้ม... หากคิดจะทำระยะยาว แน่นอนว่ายิ่งอร่อยก็ยิ่งดี ตอนนี้รสชาตินี่ก็ไม่เลว แต่สูตรของเครื่องเทศยังดีขึ้นได้อีก พวกเราซื้อเนื้อมาทำอีกหลายๆ รอบลองดูหน่อย อาหารหมักสามารถแขวนเก็บไว้ได้เป็เวลานานเช่นนี้ ทำมากหน่อยก็ไม่ต้องกลัว” แม้ตอนนี้รสชาติของกุนเชียงนับว่าไม่เลวแล้ว แต่ เมื่อก่อนเจินจูเคยทานอาหารหมักโด่งดังมาหลายร้าน มีรสชาติอร่อยยิ่งกว่าเนื้อแห้งของตนเองจริงๆ กลิ่นหอมเข้มข้นมากกว่า สีก็มันวาวยิ่งกว่า
หวังซื่อพยักหน้า หยัดกายลุกขึ้น ”เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปซื้อเนื้อกับลุงเ้า รอบนี้ก็ต้องยี่สิบชั่งหรือ?”
“อืม... ทำสามสิบชั่งเถิด ท่านดู เนื้อยี่สิบชั่งตากแห้งขึ้นมาก็นิดเดียวเช่นนั้น หนึ่งครั้งตากแห้งมากหน่อย บ้านเราก็ต้องเก็บไว้ทานนิดหน่อยด้วย” เจินจูยิ้ม “ท่านย่า ไปซื้อเนื้อที่ใดหรือ?”
“ไปถามร้านขายเนื้อทางเข้าหมู่บ้านดูก่อน หากว่าราคาพอเหมาะ เราก็ซื้อกับเขาเลย” หวังซื่อเอ่ย
เจินจูส่ายหน้า “ซื้อเนื้อเยอะเช่นนี้ที่ทางเข้าหมู่บ้าน อีกเดี๋ยวบ้านเราก็ต้องมีคนหนึ่งกระจุกมาล้อมชมอีก เข้าเมืองไปซื้อเถิด แม้ไกลหน่อย แต่ก็ลดความขัดแย้ง ถือโอกาสไปร้านสมุนไพรเฉินจี้เอายาให้ยู่เซิงอีกสองสามเทียบ เขาขาดยามาหลายวันแล้วด้วย”
“เฮ้อ... เป็ย่าที่ใคร่ครวญไม่รอบคอบ เช่นนั้นไปเมือง ระยะนี้ยู่เซิงมองแล้วดีขึ้นไม่น้อย ต้องจูงเขาเข้าเมืองไปตรวจหน่อยหรือไม่?” หวังซื่อละอายใจเล็กน้อย ่นี้ละเลยยู่เซิงเด็กที่น่าสงสารไปแล้ว ขาดยามาตั้งหลายวัน หวังว่าจะไม่ส่งผลต่ออาการเจ็บไข้ของเขานะ
“าแภายนอกอื่นๆ ของเขาดีขึ้นพอใช้ได้แล้ว เหลือก็แต่ขาที่ต้องค่อยๆ บำรุงรักษา อากาศหนาวเกินไปนัก ท่านบอกสภาพของเขาแก่ท่านหมอชรานิดหน่อย ให้เขาดูว่าต้องเขียนใบสั่งยากี่เทียบก็พอ” เ้าหนุ่มนี่ตอนนี้สามารถค้ำไม้เท้าเดินเล่นไปทั่วได้ าแบนร่างกายน่าจะดีขึ้นพอสมควร
“ได้ ข้ารู้แล้ว ยังมีอันใดต้องซื้ออีกหรือไม่?”
“เครื่องเทศเหลือไม่มากแล้ว อีกสักครู่ ข้าให้ยู่เซิงเขียนชื่อของเครื่องเทศ ท่านก็ซื้อทั้งหมดกลับมา” ครั้งก่อนที่กรอกกุนเชียงได้ใช้เงินเก็บทั้งหมดของนางไปจนเกลี้ยง ขณะนี้เป็ธรรมดาที่ต้องซื้อเพิ่มเติม อีกทั้ง นางคิดชื่อเครื่องเทศจำนวนหนึ่งขึ้นมาได้เป็ระยะๆ ล้วนแล้วแต่ต้องซื้อกลับมาลองดู
เจินจูคิดเล็กน้อย นึกเื่สำคัญขึ้นได้ จึงรีบเสริมขึ้น “เนื้อหมูต้องซื้อเนื้อแดงเยอะเนื้อมันน้อย ดีที่สุดคือเนื้อมันสามส่วนเนื้อแดงเจ็ดส่วน อย่าซื้อเนื้อมันเยอะเกินไปนะ”
“ได้ ย่าจำได้แล้ว เช่นนั้นข้าไปหาลุงของเ้าก่อน ให้เขาเอาวัวมาใส่เกวียนให้เรียบร้อย ลูกวัวนี่เลี้ยงมาหลายวัน ควรขยับตัวได้แล้ว” หวังซื่อยิ้มแล้วกล่าว ลูกวัวเลี้ยงไว้ที่บ้านเก่า ทุกวันพวกนางล้วนดูแลเป็พิเศษ นี่ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะครึ่งเดือนเองหรือ ลูกวัวเติบโตขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดเจน
สองคนแยกย้ายกันจัดการธุระ ผ่านไปสิบห้านาที หวังซื่อกับหูฉางหลินก็พาผิงซุ่นออกเดินทาง
เดิมทีหวังซื่อไม่ได้ตั้งใจจะพาไปด้วย แต่ผิงซุ่นเห็นเกวียนวัวจึงวิ่งขึ้นมา แล้วเอาแต่ส่งเสียงเอะอะว่านานแล้วที่เขาไม่ได้เข้าเมือง หลังจากนั้นก็มองหวังซื่อด้วยใบหน้าน่าสงสารอย่างออดอ้อน หวังซื่อมองแล้วขบขันและอารมณ์ดี ส่วนหูฉางหลินใบหน้าแข็งทื่อ เตรียมจะโมโห เจินจูที่อยู่ด้านข้างหัวเราะแล้วแก้ไขสถานการณ์ให้ กล่าวตรงไปตรงมาว่าต่อไปทุกคนล้วนหมุนเวียนกันไป ผิงซุ่นจึงไปด้วยอย่างได้จังหวะพอดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้