ตอนที่ 3 เห็ดหลินจือเมฆม่วง
สายลมยามเช้าในเขตชานเมืองนั้นสดชื่นและบริสุทธิ์ แต่สำหรับครอบครัวตระกูลมู่แล้ว มันกลับหนักอึ้งราวกับแบกรับความอัปยศเอาไว้เต็มอก การจากไปของหลิงซีพร้ะกร้าสานใบเล็กทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่น่าอึดอัด
มู่เจิ้งมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของลูกสาวที่หายลับไปตรงหัวโค้งของทางเดินดินด้วยหัวใจที่บีบรัด สงสารลูกสาวจับใจ เขากำด้ามจอบในมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
"นางยังไม่หายดี แล้วยังจะเข้าป่าไปคนเดียวอีก" มู่เจิ้งพูดพึงพำพลางส่ายหน้า ขณะที่มู่เฉียงผู้เป็พี่ชายที่ยืนจิบชาอยู่อย่างสบายอารมณ์ เขาปรายตามองน้องชายแวบหนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงในลำคอ "เ้าจะกังวลอะไรนักหนา? ก็นางบอกเองว่าจะอยู่แค่ชายป่า อย่างมากก็แค่หาเห็ดโง่ๆ หรือผักป่าเล็กๆ น้อยๆ กลับมา ดีเสียอีกจะได้ช่วยกันประหยัดเสบียงของบ้านเราไปอีกมื้อ ใช้แรงงานคนที่ยังพอมีแรงให้เป็ประโยชน์ ดีกว่านอนให้ข้าวสารกร่อนไปวันๆ"
คำพูดไร้น้ำใจนั้นราวกับน้ำแข็งที่สาดใส่หน้า แต่มู่เจิ้งก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรม เขาแบกจอบขึ้นบ่า เดินไปยังทุ่งนาของตระกูลด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง แผ่นหลังที่เคยตั้งตรงบัดนี้กลับงองุ้มลงเล็กน้อยภายใต้น้ำหนักของความจนใจ
ภายในป่าเชิงเขา...
ทันทีที่ก้าวพ้นแนวเขตหมู่บ้าน โลกทั้งใบของหลิงซีก็เปลี่ยนไป อากาศที่นี่เย็นสบายและชุ่มชื้น กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ และกลิ่นดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาเป็ลำผ่านหมู่ไม้หนาทึบ เกิดเป็ภาพที่งดงามราวกับดินแดนในเทพนิยาย
แต่สิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นจนแทบหยุดหายใจคือภาพที่เห็นผ่าน "ดวงตาทิพย์หยก"
ป่าทั้งป่าในสายตาเธอไม่ได้เป็เพียงสีเขียว แต่เป็มหาสมุทรแห่งพลังปราณที่ส่องแสงระยิบระยับ!
ต้นไม้แต่ละต้นมีแสงปราณสีเขียวอ่อนๆ ห่อหุ้ม ดอกไม้ป่ามีแสงสีสันสดใสตามชนิดของมัน แม้แต่ก้อนหินริมลำธารยังมีแสงสีเทาจางๆ ไหลเวียนอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีพลังชีวิตเป็ของตนเอง โลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์กว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้มากนัก
"เอาล่ะ เริ่มงานกันเลยดีกว่า" หลิงซียิ้มให้กับตัวเอง
เธอเดินลึกเข้าไปในป่าอย่างระมัดระวัง สายตาคอยสอดส่องหาแสงปราณที่ แตกต่าง จากพืชทั่วไป เธอไม่ได้มองหาผักป่าธรรมดา นั่นเป็เพียงข้ออ้าง แต่เธอกำลังมองหา ของจริง
ไม่นานนัก สายตาของเธอก็ไปสะดุดกับแสงสีเขียวอมเหลืองที่สว่างกว่าปกติ มันซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มหนามหนาแน่น หลิงซีใช้กิ่งไม้แห้งเขี่ยพุ่มหนามออกอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เธอรู้จักดีจากชาติก่อน
"ตี้หวง !" เธออุทานออกมาเบาๆ
มันคือรากสมุนไพรชั้นดีที่ช่วยบำรุงเืและพลังหยิน แสงปราณที่สว่างสดใสบ่งบอกว่ามันเติบโตในที่ที่เหมาะสมและมีอายุหลายปีแล้ว เธอใช้มีดพกเก่าๆ ที่ติดตัวมาขุดมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ได้รากอวบอ้วนมาถึงสามราก
‘แค่เ้านี่ก็น่าจะพอค่าข้าวสารดีๆ ให้เราได้กินไปหลายวันแล้ว’ เธอคิดในใจพลางเก็บมันใส่ตะกร้าอย่างดีโดยใช้ใบไม้ใบใหญ่ห่อหุ้มไว้
เธอเดินต่อไปเรื่อยๆ เก็บผักป่าและเห็ดที่กินได้ซึ่งชาวบ้านรู้จักกันดีใส่ตะกร้าจนเกือบเต็มเพื่อใช้เป็ฉากบังหน้า แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเธอยังไม่ปรากฏ จุดแสงสีเขียวมรกตที่เธอเห็นเมื่อคืนนี้ มันอยู่ลึกเข้าไปในป่ามากกว่านี้
หลิงซีสูดหายใจลึก ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ‘คนไม่เข้าถ้ำเสือ ไฉนเลยจะได้ลูกเสือ’ เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เธอก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางมุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่าทึบ บริเวณที่ชาวบ้านทั่วไปไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวสัตว์ป่า
ยิ่งเดินลึกเข้าไป แสงปราณรอบตัวก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น ต้นไม้ที่นี่สูงใหญ่กว่าปกติมาก บางต้นต้องใช้คนสองคนโอบจึงจะรอบ ลำธารใสสะอาดไหลรินผ่านโขดหินที่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวชอุ่ม อากาศบริสุทธิ์จนทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งร่าง
และแล้ว... เธอก็รู้สึกได้ถึงมัน!
พลังปราณที่บริสุทธิ์และเข้มข้นอย่างมหาศาล พวยพุ่งออกมาจากจุดๆ เดียว มันไม่ได้อยู่บนพื้นดิน แต่ดูเหมือนจะอยู่ต่ำลงไป
หลิงซีเดินตามทิศทางของแสงปราณนั้นไป จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง มันคือต้นการบูรพันปีที่ใหญ่โตมโหฬารจนน่าเกรงขาม รากของมันชอนไชไปทั่วบริเวณเหมือนกับอสรพิษั์ และใต้รากไม้ขนาดใหญ่ที่บิดเกลียวเป็โพรงลึกลงไปนั้นเอง คือที่มาของแสงสีมรกตเจิดจ้าดวงนั้น!
หัวใจของเธอเต้นโครมคราม หลิงซีคุกเข่าลง ค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปมองในโพรงมืดๆ นั้น
สิ่งที่เธอเห็นทำให้เธอแทบจะลืมหายใจ
มันคือเห็ด! เห็ดชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายก้อนเมฆและมีสีม่วงเข้มราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาล บนผิวของมันมีละอองสีทองละเอียดปกคลุมอยู่บางๆ แสงปราณสีเขียวมรกตที่เธอเห็นไม่ได้มาจากตัวเห็ดโดยตรง แต่เป็พลังชีวิตอันบริสุทธิ์ที่เห็ดดอกนี้ดูดซับจากแก่นโลกและปลดปล่อยออกมา
ความทรงจำของหลินในฐานะนักพฤกษศาสตร์แล่นพล่านอยู่ในหัว นี่มัน ไม่ผิดแน่!
"จื่ออวิ๋นหลิงจือ เห็ดหลินจือเมฆม่วง!"
นี่คือเห็ดหลินจือระดับตำนานที่หาได้ยากยิ่งกว่าทองคำ! ตามบันทึกโบราณ มันจะเติบโตเฉพาะในที่ที่มีพลังงานธรรมชาติบริสุทธิ์และต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจึงจะก่อตัวขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ สรรพคุณของมันเรียกได้ว่า "พลิกชีวิตเปลี่ยนชะตา" สามารถรักษาได้สารพัดโรค ยืดอายุขัย และฟื้นฟูร่างกายที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์!
‘พระเ้า นี่มันแจ็กพอตชัดๆ!’
หลิงซีกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ สอดมือเข้าไปในโพรงอย่างระมัดระวังที่สุด นิ้วััได้ถึงความเย็นและนุ่มลื่นของดอกเห็ด นางค่อยๆ บรรจงเด็ดมันออกมาจากขอนไม้ที่มันเกาะอยู่ เมื่อเห็ดหลินจือเมฆม่วงอยู่ในมือเธอ ความรู้สึกอุ่นๆ และพลังชีวิตอันมหาศาลก็แผ่ซ่านเข้ามาในร่างของเธอ ทำให้ร่างกายที่เคยอ่อนเพลียกลับมากระปรี้กระเปร่าในทันที!
เธอไม่รอช้า รีบนำผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าที่สุดที่พกติดตัวมาห่อหุ้มมันไว้อย่างดีถึงสามชั้น แล้วซ่อนไว้ที่ก้นตะกร้าโดยใช้สมุนไพรตี้หวงและผักป่าต่างๆ วางทับไว้จนมิด
"ได้เวลากลับบ้านแล้ว" เธอบอกกับตัวเอง
ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน
ชาวบ้านหลายคนที่กำลังจะกลับจากทุ่งนาเห็นหลิงซีเดินสวนมาในสภาพเนื้อตัวมอมแมมเล็กน้อย แต่ดูแข็งแรงกว่าที่เคยเห็น ในมือถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักป่า
"นั่นใช่ลูกสาวบ้านรองของตระกูลมู่รึเปล่า?" หญิงชาวบ้านคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อน "เห็นว่าป่วยหนักปางตายไม่ใช่รึ? ไหงวันนี้ถึงเข้าป่าได้แล้วล่ะ?"
"ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ดูนางสิ ถึงจะผอมไปหน่อย แต่ดูมีเรี่ยวมีแรงดีนี่นา สงสัยจะหายดีแล้วกระมัง" เพื่อนบ้านอีกคนตอบ "แต่ก็น่าสงสารนะ ครอบครัวนั้นทำงานหนักแทบตาย แต่กลับได้กินแต่ของเหลือๆ จากบ้านใหญ่ ‘วัวงานได้กินแกลบ ม้าศึกได้กินข้าวสาร’ เฮ้อ! โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง"
บทสนทนาของชาวบ้านลอยเข้าหูหลิงซี แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงแค่ก้มศีรษะให้เล็กน้อยตามมารยาทแล้วเดินต่อไป ‘พวกท่านรอดูเถอะ ความยุติธรรมน่ะ ถ้า์ไม่ให้ ข้าก็จะสร้างมันขึ้นมาเอง!’
เมื่อถึงกระท่อมท้ายเรือน
หลี่ซือกับมู่เฟยนั่งรออยู่หน้ากระท่อมด้วยความกระวนกระวายใจ พอเห็นร่างของหลิงซีเดินกลับมา สองแม่ลูกก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
"ซีเอ๋อร์! เ้ากลับมาแล้ว!" หลี่ซือคว้าตัวลูกสาวมากอดไว้แน่น สำรวจร่างกายของเธอั้แ่หัวจรดเท้าด้วยความเป็ห่วง "เป็อย่างไรบ้าง? ไม่ได้าเ็ตรงไหนใช่หรือไม่?"
"ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านแม่" หลิงซียิ้มบางๆ ทำให้นางคลายใจลง "ดูสิเ้าคะ ข้าได้ผักป่ากับเห็ดมาเยอะแยะเลย คืนนี้เราจะได้มีซุปเห็ดร้อนๆ กินกันแล้ว"
มู่เฟยชะโงกหน้ามองในตะกร้า ดวงตาเป็ประกายเมื่อเห็นเห็ดสีน้ำตาลหลายดอก "จริงหรือขอรับพี่หญิง? พวกเราจะได้กินซุปเห็ดหรือ?"
"จริงสิ" หลิงซีลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู
ไม่นานนักมู่เจิ้งก็กลับมา พอเห็นว่าลูกสาวปลอดภัยและยังหาอาหารกลับมาได้ เขาก็ทั้งดีใจและโล่งอก คืนนั้น เป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่กระท่อมเล็กๆ หลังนี้มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
หลังจากกินอาหารเย็น (ซึ่งก็ยังคงเป็ข้าวหยาบ แต่มีซุปเห็ดที่หอมกรุ่นเพิ่มเข้ามา) และรอจนกระทั่งมู่เฟยหลับไปแล้ว หลิงซีจึงได้เรียกพ่อกับแม่เข้ามาในห้องนอนของเธอ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีบางอย่างจะให้ดู"
นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะค่อยๆ รื้อผักป่าในตะกร้าออก แล้วหยิบห่อผ้าเช็ดหน้าที่ซ่อนอยู่ก้นตะกร้าออกมาวางบนโต๊ะไม้เก่าๆ อย่างแ่เบา
มู่เจิ้งกับหลี่ซือมองหน้ากันด้วยความสงสัย
"มันคืออะไรหรือลูก?" หลี่ซือถาม
หลิงซีไม่ตอบ แต่นางค่อยๆ คลี่ผ้าออกทีละชั้น ทีละชั้น
และทันทีที่ผ้าชั้นสุดท้ายถูกเปิดออก แสงนวลจันทร์ที่ส่องผ่านรูโหว่บนหลังคากระทบเข้ากับผิวสีม่วงเข้มและละอองสีทองของเห็ดหลินจือเมฆม่วง เกิดเป็ประกายเรืองรองที่งดงามจนน่าตะลึง! แม้จะอยู่ในที่มืด แต่พลังชีวิตอันเข้มข้นของมันก็ยังแผ่ออกมาจนััได้
"สะ... ์!"
มู่เจิ้งอุทานออกมาเสียงสั่นพร่า เข่าทั้งสองข้างของเขาอ่อนยวบจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ดวงตาของชายผู้กรำงานหนักมาทั้งชีวิตเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา แม้เขาจะเป็เพียงชาวนา แต่เื่ราวของ หลินจือวิเศษ ก็เป็ตำนานที่เล่าขานกันมารุ่นสู่รุ่น และสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันดูมีค่าและอัศจรรย์เกินกว่าในนิทานที่เขาเคยได้ยินมาเสียอีก!
"นี่... นี่มันอะไรกันลูก? เ้าไปได้มันมาจากที่ใดกัน?" หลี่ซือยกมือขึ้นทาบอก หัวใจเต้นรัวจนแทบจะออกมานอกอก นางััได้ถึงกลิ่นหอมบริสุทธิ์ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด
หลิงซีมองปฏิกิริยาของพ่อกับแม่อย่างใจเย็น นางเตรียมคำตอบไว้แล้ว "ข้าเดินตามลำธารเข้าไปลึกหน่อยเ้าค่ะ แล้วก็ไปเจอโพรงใต้รากไม้ใหญ่โดยบังเอิญ ตอนแรกคิดว่าเป็เห็ดพิษ แต่พอเข้าไปใกล้ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ธรรมดา ข้าจำได้ว่าเคยเห็นภาพวาดของมันในตำราสมุนไพรเก่าๆ ที่ท่านปู่เคยเก็บไว้ เขาเรียกมันว่า หลินจือเมฆม่วง เ้าค่ะ"
นางอ้างถึงปู่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเคยเป็หมอเทวดาประจำหมู่บ้านอยู่พักหนึ่ง เื่นี้จึงพอจะมีน้ำหนักให้เชื่อถือได้
"หลินจือเมฆม่วง" มู่เจิ้งทวนคำนั้นราวกับคนละเมอ มือไม้ของเขาสั่นเทา อยากจะลองััแต่ก็ไม่กล้า "ของล้ำค่าเช่นนี้ ของล้ำค่าเช่นนี้!" เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิง "ซีเอ๋อร์ เื่นี้ เื่นี้ต้องห้ามให้ใครรู้เป็อันขาด! โดยเฉพาะ โดยเฉพาะบ้านใหญ่!"
"ข้ารู้เ้าค่ะท่านพ่อ" หลิงซีพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น "ข้ารู้ดีว่า ‘ทรัพย์สมบัติล่อใจคน’ หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่ามันจะไม่ใช่โชคดี แต่จะเป็หายนะของครอบครัวเรา"
หลี่ซือพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง "ลูกพูดถูก หากท่านแม่สามีรู้เข้า นางต้องยึดมันไปให้เทียนหยูบำรุงร่างกายแน่ๆ แล้วพวกเราก็จะไม่ได้อะไรเลย"
มู่เจิ้งเดินวนไปวนมาในห้องแคบๆ นั้นราวกับหนูติดจั่น ความตื่นเต้นดีใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็ความกังวลอย่างหนัก "แล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันดี? จะเก็บไว้ก็อันตราย จะเอาไปขายก็กลัวคนรู้ที่มาที่ไป"
นี่คือสิ่งที่หลิงซีรอคอย นางมองหน้าบิดาด้วยแววตาที่สุขุมเกินวัย ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ สิ่งนี้คือโอกาสของพวกเรา คือเส้นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้ได้ ข้ามีแผนแล้วเ้าค่ะ"
คำว่าข้ามีแผนแล้ว ที่หลุดออกมาจากปากของลูกสาวที่เคยอ่อนแอและขี้โรค ทำให้มู่เจิ้งและหลี่ซือถึงกับนิ่งอึ้งไป พวกเขามองหน้าลูกสาวราวกับไม่เคยรู้จักนางมาก่อน แววตาที่แน่วแน่ น้ำเสียงที่มั่นคง และสติปัญญาที่ฉายชัดออกมานั้น มันไม่ใช่แววตาของเด็กสาววัยสิบห้าปีเลยแม้แต่น้อย
"แผนอะไรหรือลูก?" มู่เจิ้งถามกลับไปอย่างไม่รู้ตัว
หลิงซียิ้มบางๆ ที่มุมปาก เป็รอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกทั้งอบอุ่นใจและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
"แผน ที่จะทำให้พวกเราไม่ต้องยืนรอรับ เศษอาหารจากใครอีกต่อไป!"