เนื้อหาที่ชุ่ยเอ๋อร์พูดบางส่วน มู่หรงฉิงย่อมรู้ดีอยู่แล้ว และมู่หรงฉิงก็ไม่้าถามถึงการตายของอนุอีกสี่คนด้วย ในคำพูดของชุ่ยเอ๋อร์ นางย่อมต้องบอกว่าผู้หญิงเ่าั้สนใจจ้าวจื่อซินจึงยั่วยวนเขา ดังนั้น พวกนางถึงได้ตายด้วยดาบของเขา
“เฮ้อ เ้าเชื่อหรือไม่?” หลังจากเวลาผ่านไปนาน มู่หรงฉิงก็หัวเราะอย่างเ็าแต่กลับได้ยินเสียงตอบอย่างงุนงงของชุ่ยเอ๋อร์ “ฮะ?”
“ถ้าให้เลือกที่หน้าตา เ้าจะเลือกคุณชายรองที่ได้รับเลือกให้เป็หนึ่งในคุณชายสามคนในเมืองหลวงหรือไม่? หรือเ้าจะเลือกจ้าวจื่อซินคนหน้าตาธรรมดาที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนั้น?”
“ฮะ?” ชุ่ยเอ๋อร์รู้สึกสับสนกับคำพูดของมู่หรงฉิงเล็กน้อย แม้ว่าหน้าตาของจ้าวจื่อซินจะไม่ได้หล่อเหลาเทียบเท่ากับเฉินเทียนหยู ถึงกระนั้นสำหรับจ้าวจื่อซินก็ไม่สามารถใช้คำว่า ‘หน้าตาธรรมดา’ มาอธิบายได้
เคยได้ยินบ่าวที่ออกจากจวนพร้อมกับเฉินเทียนหยูบอกว่า ในอดีตที่ผ่านมาหากจ้าวจื่อซินออกจากจวนก็มักจะสะดุดตาผู้คนเป็อย่างมาก มีคุณหนูจากครอบครัวใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้เห็นจ้าวจื่อซินแล้วเป็ต้องหลงใหลราวกับสูญเสียิญญา
ตามที่พวกบ่าวเ่าั้ได้พูดกัน คุณชายสองกับจ้าวจื่อซิน คนหนึ่งอ่อนโยนประดุจหยก ส่วนอีกคนหนึ่งเ็าประดุจน้ำแข็ง เฉินเทียนหยูเป็บุรุษหล่อเหลาที่ทำให้หัวใจอบอุ่นดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่จ้าวจื่อซินคนนั้นเป็บุรุษน้ำแข็งผู้หล่อเหลา เขาเ็าดุจูเาน้ำแข็ง เย็นถึงกระดูกด้านใน แม้รูปร่างหน้าตาของเขาจะไม่ดีเท่าเฉินเทียนหยู แต่กระนั้นเขาก็เป็ชายหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากมากเช่นเดียวกัน
ชุ่ยเอ๋อร์ไม่คิดไม่ฝันว่า จ้าวจื่อซินผู้ซึ่งมีคนชื่นชอบนับจำนวนไม่ถ้วนจะได้รับการอธิบายจากปากของมู่หรงฉิงด้วยคำว่า ‘หน้าตาธรรมดา’
“เ้า…”
“เ้าออกไป! ถ้ายังไม่ให้ข้าเข้าไปอีก ข้าจะต่อยเ้า!”
คำพูดของมู่หรงฉิงถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามของเฉินเทียนหยูจากด้านนอกประตู ทำให้นางขมวดคิ้วกลายเป็รอยย่น มู่หรงฉิงไม่ทราบจริงๆ ว่าในอดีตที่ผ่านมาเฉินเทียนหยูเคยได้รับการอธิบายว่าเป็ ‘คนอบอุ่นดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิและหยก’ ได้อย่างไร
ถึงเขาจะไม่โง่งมทว่าเขาต้องเป็คนดื้อรั้นเอาแต่ใจ ในอดีตที่ผ่านมาการที่เฉินเทียนหยูทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาเป็คนอ่อนโยน เกรงว่ามันคงเป็เพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“เอาล่ะ ไปเปิดประตูให้คุณชายรองเข้ามา ไม่เช่นนั้นเขาจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก” มู่หรงฉิงพูดอย่างหดหู่เล็กน้อย เมื่อพูดถึงคำว่า ‘คลุ้มคลั่ง’ ทั้งมู่หรงฉิงและชุ่ยเอ๋อร์ต่างก็สั่นเทาอย่างมิอาจห้ามได้
เฉินเทียนหยูในเวลาคลุ้มคลั่งเป็เหมือนปีศาจจริงๆ!
ชุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่พูดอะไรมาก รีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง ก่อนที่นางจะทันได้อ้าปากพูด เฉินเทียนหยูก็ตรงเข้ามาในห้อง จึงได้เห็นมู่หรงฉิงนั่งดื่มชาอย่างเงียบๆ
เขาหัวเราะคิกคักสองหนก่อนเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างมู่หรงฉิง “จ้าวจื่อซินบอกว่าน้องหญิงโกรธแล้ว ข้าจึงไม่กินข้าวเหนียวห่อใบบัวแล้ว จ้าวจื่อซินบอกว่า ถ้าข้ากินอีกเกรงว่าน้องหญิงจะไม่สนใจข้าแล้ว”
ในเวลานี้เฉินเทียนหยูดูเชื่อฟังและน่ารัก แม้เขาจะโง่เขลาเบาปัญญา แต่กระนั้นเขาก็ไม่้าให้มู่หรงฉิงโกรธ แม้เขาจะงี่เง่าแต่กระนั้นเขาก็กลัวว่ามู่หรงฉิงจะไม่สนใจเขา
เมื่อข้าเห็นเฉินเทียนหยูทำตัวเช่นนั้น ความหงุดหงิดในใจก็คลายตัวเป็หมอกควันทันทีและกระจายหายไปกับสายลมพัด
เขาก็น่าสงสารเช่นกัน ทำไมนางจะต้องขอให้เขาเป็เหมือนคนปกติและสามารถทำเื่ปกติได้ล่ะ?
ไม่จำเป็ต้องคิดมากอีกต่อไปแล้ว มู่หรงฉิงถอนหายใจ นางปล่อยให้เฉินเทียนหยูจับมือและเริ่มพูดคุยและหัวเราะ
บรรยากาศภายในห้องแปรเปลี่ยนเป็ความปรองดองและกลมกลืนกันอีกหน ด้านนอกหน้าต่าง จ้าวจื่อซินกำลังยืนพิงกำแพง แหงนหน้ามองนกบนท้องฟ้าโบยบินด้วยสายตาไม่แยแส และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่?
เวลาเหมือนน้ำไหล เคลื่อนผ่านไปไม่หวนคืน!
ยามท้องฟ้าเริ่มมืดลง มู่หรงฉิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลอยู่หลายส่วน
“คุณหนูใหญ่กำลังวิตกกังวลเื่อาการคลุ้มคลั่งของคุณชายรองหรือ?” ปี้เอ๋อร์เห็นมู่หรงฉิงยืนอยู่ด้านข้างหน้าต่างมองดูดวงจันทร์ ก็จับพัดแล้วโบกวีให้มู่หรงฉิง “บ่าวหาเก้าอี้ยาวหนึ่งตัวมาได้ พวกเราวางไว้ข้างหน้าต่างบานนี้ดีหรือไม่ เวลาว่างก็จะสามารถดูแสงจันทร์ได้ และถ้าคุณชายรองคลุ้มคลั่งจริงๆ การเปิดหน้าต่างก็จะเป็ทางออกของการเอาตัวรอด!”
เสียงของปี้เอ๋อร์เบาค่อย แต่มู่หรงฉิงััได้ถึงความจริงใจและความเป็ห่วงเป็ใยในคำพูดของปี้เอ๋อร์ สายตาของนางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ก่อนหันหลังกลับและสบสายตากับปี้เอ๋อร์อย่างจนปัญญา นางมีเื่จะพูดกับปี้เอ๋อร์มากมาย แต่นางพูดที่นี่ไม่ได้
ดวงตาของปี้เอ๋อร์เป็ประกาย มือที่ถือพัดหยุดนิ่งชั่วคราวจากนั้นนางก็พัดต่อไป “คุณหนูใหญ่อย่าได้วิตกกังวลเลย บ่าวเข้าใจว่าคุณหนูมีความสงสัยอยู่ในใจ และบ่าวเองก็มีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ บางทีนี่อาจจะเป็่เวลาที่หายาก ที่จะทำให้คุณหนูใหญ่ได้มีโอกาสแยกแยะอะไรถูกอะไรผิด ในขณะเดียวกันก็ให้เวลาบ่าวได้เห็นความโง่เขลาในอดีตที่ผ่านมาของตนเองด้วย”
มู่หรงฉิงเข้าใจคำพูดของปี้เอ๋อร์อย่างกระจ่างแล้ว ปี้เอ๋อร์เข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับนางผิดไป อีกด้านความคิดของนางที่มีต่อปี้เอ๋อร์ มันคือความผิดพลาด แต่โชคดีที่นางไม่ได้ทำอะไรที่พลาดพลั้งไป
หลังจากยืนอยู่ข้างหน้าต่างสักพักหนึ่ง ปี้เอ๋อร์ก็จัดแจงให้พวกสาวใช้ย้ายเก้าอี้ยาวไปที่ข้างหน้าต่าง โดยมีมู่หรงฉิงยืนมองอย่างเงียบๆ ฝ่ายเฉินเทียนหยูกลับออกอาการอยากรู้อยากเห็น ััที่นี่และมองดูที่นั่น
“น้องหญิงทำไมถึงมาวางเก้าอี้ยาวที่นี่ล่ะ?” เฉินเทียนหยูหมุนตัวเดินไปหามู่หรงฉิงพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มีคำกล่าวว่า การบรรลุเต๋านั้นจะต้องดูดซับจิติญญาแห่งโลกซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลกเกิดการโคจรพิเศษ ฉิงเอ๋อร์ก็อยากจะลองเหมือนกัน” หลังจากพูดไปเรื่อยโดยไม่มีหลักฐานใดมาอ้างอิง มือทั้งสองข้างของมู่หรงฉิงกดลงบนเก้าอี้ยาว อืม... ไม่เลวนี่ แม้ว่ามันจะเป็แค่เก้าอี้ยาวหนึ่งตัว ถึงกระนั้นมันก็เล็กกว่าเตียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อจัดวางอะไรแล้วก็ย่อมอยู่ได้ดี
“การจะบรรลุเต๋านั้นจะต้องมีจิติญญาแห่งโลกได้ และดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลกเกิดการโคจรพิเศษ เป็สิ่งจำเป็สำหรับคนจะเป็เทพเซียน ผู้น้อยไม่รู้มาก่อนว่าฮูหยินน้อยจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับการบำเพ็ญธรรมอย่างลึกซึ้งเช่นนี้” เสียงอันไม่พึงประสงค์ดังมาจากประตู มู่หรงฉิงไม่ต้องหันกลับไปก็สามารถจินตนาการได้ว่าในเวลานี้เ้าของประโยคกำลังกอดอก ส่วนดาบยาวเล่มนั้นคงสอดอยู่ระหว่างสองแขน และเขาคนนั้นก็ยืนอยู่ข้างบานประตู มองด้วยสายตาสัพยอกระคนเย้ยหยัน
มู่หรงฉิงไม่เข้าใจว่าทำไมนางรู้สึกถึงความเป็ศัตรูกับจ้าวจื่อซินมากถึงเพียงนี้? นางเป็คนจิตใจดีมากเสมอมา แต่ทำไมเมื่อนางได้พบกับจ้าวจื่อซิน นางก็เป็เหมือนน้ำมันตะเกียงที่พร้อมถูกจุดเป็ไฟ และอยากจะเผาเขาในเวลาเดียวกัน
“ข้าก็อยากเป็เทพเซียนเช่นกัน ข้าก็อยากดูดซับพลังจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ด้วย” ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อซิน เฉินเทียนหยูก็เริ่มะโร้องขอจะนอนบนเก้าอี้ยาว
ถ้าเ้านอนที่นี่จริงๆ ข้าจะต้องได้เป็เทพธิดาแน่แล้ว มู่หรงฉิงนินทาในใจอย่างอดไม่ได้ พลางลากเฉินเทียนหยูเดินไปที่เตียงพร้อมไล่บ่าวรับใช้ออกไปก่อน และแม้กระทั่งจ้าวจื่อซินก็ถูกไล่ให้ออกไปด้วย จากนั้นก็ดึงตาข่ายออกมาด้วยท่าทางลึกลับ
นางพยายามขบคิดเป็เวลานานแล้ว เขาแปลงร่างในเวลากลางดึกไม่ใช่หรือ? นางไม่กลัว หรือถ้าจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในเวลานี้นางไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว นี่เป็ตาข่ายไม่ใช่หรือ? แม้นางไม่รู้ว่าตาข่ายนี้ทำมาจากวัสดุชนิดใด แต่เมื่อคืนเฉินเทียนหยูก็ติดอยู่ในตาข่ายนี้ใช่หรือไม่? เมื่อมีมันอยู่ ทำไมนางจะไม่ใช้มันให้เป็ประโยชน์ล่ะ?
มู่หรงฉิงทำตัวลึกลับส่งผลให้เฉินเทียนหยูพลอยตื่นตระหนกไปด้วย เขาก้มตัวลง ดูเหมือนว่าเขากลัวคนอื่นจะได้ยินอย่างไรอย่างนั้น “น้องหญิง น้องหญิงจะทำอะไรหรือ?”
“ท่านพี่ พวกเรามาเล่นอะไรสนุกๆ กันเถอะ การเล่นสนุกนี้เรียกว่า ...ใครขยับคนนั้นพ่ายแพ้ ดีหรือไม่?” ขณะมองดูดวงตาที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เมื่อนางคิดได้ว่าถ้าผู้ชายคนนี้เกิดคลุ้มคลั่งในเวลากลางดึกจริงๆ นางก็จะต้องตาย นางจะรู้สึกผิดทำไมเล่า?
เฉินเทียนหยูชอบเล่นและชอบกิน นี่คือข้อสรุปที่มู่หรงฉิงได้จากการสังเกตใน่เวลาสองวันนี้ มู่หรงฉิงได้ใช้ฝีมือการทำอาหารปราบเฉินเทียนหยูจนกลายเป็คนเชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย แต่ในเวลานี้เื่เดียวที่วิตกกังวลอยู่ก็คือเฉินเทียนหยูยามอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง!
มู่หรงฉิงตระหนักได้ว่าวันนี้ทั้งวัน เฉินเทียนหยูได้แต่ทำตัวโง่งม ไม่มีอาการคลุ้มคลั่งเลย หรือว่าอาการคลุ้มคลั่งของเฉินเทียนหยูมีเวลาของมัน? หรือว่าถ้าเฉินเทียนหยูอารมณ์ดี เขาก็จะไม่คลุ้มคลั่ง?
ด้วยความสงสัยนางจึงตัดสินใจที่จะสังเกตอย่างรอบคอบเป็เวลาสองสามวัน ถึงกระนั้นนางก็ต้องใช้ตาข่ายจับตัวเฉินเทียนหยูไว้อย่างแ่า
เฉินเทียนหยูนอนนิ่งอยู่บนเตียงคล้ายกับบ๊ะจ่าง เป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงรู้สึกผิดในใจเล็กน้อย “ท่านพี่นอนอยู่ที่นี่ ฉิงเอ๋อร์จะไปนอนอยู่ตรงนั้น ถ้าใครขยับ คนนั้นก็จะแพ้ไป ผู้แพ้คนนั้นจะต้องเชื่อฟังตลอดไป”
ก็ใช่ นี่มันเป็สิ่งที่เป็ไปไม่ได้อยู่แล้ว มู่หรงฉิงไม่รู้ว่านางจะใช้อะไรในการเดิมพันได้อีก จึงบอกให้เฉินเทียนหยูเชื่อฟัง
มันแทบไม่ต้องกังวลถ้าเล่นกับคนโง่ เพราะแม้จะน่าเบื่อสักแค่ไหน จะไร้สาระมากเพียงใด เขาก็สามารถเล่นให้เป็เื่สนุกมากได้
ดังนั้นหลังจากมู่หรงฉิงพูดจบ เฉินเทียนหยูจึงนอนนิ่งๆ กลายเป็บ๊ะจ่างไม่ขยับเขยื้อนหนึ่งลูกอยู่ตรงนั้น และแน่นอนว่ามู่หรงฉิงก็ทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้ยาวนุ่ม มองดูแสงจันทร์บนท้องฟ้า
เมื่อคืนนางไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ และในระหว่างวันก็ยุ่งอยู่ตลอด ครั้นถึงเวลากลางคืน นางย่อมรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก เล่นสนุกกับเฉินเทียนหยู ใครขยับคนนั้นแพ้แต่จบลงด้วยการผล็อยหลับไป
ขณะกึ่งฝันกึ่งตื่นขึ้น นางได้ยินเสียงถอนหายใจจึงลืมตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ หลังจากเห็นร่างหนึ่งตกลงจากเตียง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งเผยความก้าวร้าวทำให้มู่หรงฉิงที่ยังไม่ได้สติ กลับตื่นตัวภายในชั่วพริบตาเดียว
หากเป็เฉินเทียนหยูที่โง่เขลา เขาต้องไม่มีท่าทางรุนแรงและสีหน้าดุร้าย นั่นก็หมายความว่าเฉินเทียนหยูในเวลานี้คือเทพอาชูร่าแห่งนรกโลกันตร์ มันช่างน่ากลัวอะไรปานนั้น
ม่านตาสีแดงดุจปีศาจในนิทานผี กอปรกับความโเี้ในดวงตาด้วยแล้ว ทำให้มู่หรงฉิงหดตัวเล็กลงและเอนตัวพิงกำแพงโดยสัญชาตญาณ
ในจวนเฉินมีเพียงจ้าวจื่อซินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถปราบเฉินเทียนหยูขณะคลุ้มคลั่งได้ ไม่ว่าอนุทั้งหกคนจะเข้ามาในเรือนม่อเหอด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่ท้ายที่สุดพวกนางก็้าหลบหนีอย่างตื่นตระหนก ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเฉินเทียนหยูที่เป็เช่นนั้น จะมีผู้หญิงคนไหนที่ไม่หวั่นกลัว?
“จานไฉ่เยว่”
มู่หรงฉิงพิงกำแพงด้วยความหวั่นกลัวอยู่หลายส่วน และเฉินเทียนหยูก็พูดสามคำด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
จานไฉ่เยว่? จานไฉ่เยว่? จานไฉ่เยว่?
ไม่ว่านางจะเป็จานไหน เป็เยว่ใด มู่หรงฉิงคิดในใจ เฉินเทียนหยูพูดถึงชื่อนั้นด้วยความเกลียดชัง จะต้องเป็ผู้หญิงที่ทรยศเขาเป็แน่
ดังคำกล่าวที่ว่า ยิ่งรักมากเท่าไรก็ยิ่งเกลียดชังมากเท่านั้น เฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งเนื่องจากผู้หญิงคนนั้น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีความสำคัญต่อเฉินเทียนหยูไม่น้อย
เฉินเทียนหยูกลิ้งไถตัวอยู่บนพื้นคล้ายกับงูอันตรายตัวหนึ่ง อย่าคิดว่าเขาถูกตาข่ายมัดไว้แล้วจะปลอดภัย เขาไม่สามารถยืนขึ้นได้ แต่กลับพยายามคืบคลานเหมือนอสรพิษตัวหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาทางมู่หรงฉิง
มู่หรงฉิงพลอยเกิดภาพลวงตา นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็กระต่ายหลงทางริมลำธารบนูเา นางบังเอิญเข้าไปในถ้ำงูพิษของเฉินเทียนหยู มองดูดวงตาที่มีเสน่ห์และน่ากลัวของเขา ราวกับกำลังรอให้เขาเปิดปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวและกลืนนางในคำเดียว
นางถึงกับตัวสั่นหนาวสะท้าน ใน่เวลาสั้นๆ ที่นางอยู่ในภวังค์ความคิด เฉินเทียนหยูก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อมองไปเห็นเฉินเทียนหยูอยู่ห่างจากเก้าอี้ยาวไม่ถึงห้าก้าว มู่หรงฉิงกลับตั้งสติได้และสงบลง กลัวอะไร? เขาคลุ้มคลั่งเช่นนี้ จะสามารถกลืนกินนางได้อย่างไรกัน?