หลี่ซื่อกำลังตั้งครรภ์ จึงกลายเป็ผู้ได้รับการดูแลสำคัญที่สุดของสกุลหู
เดินไปแห่งหนไหน สายตาของที่บ้านล้วนจ้องมาที่นาง
นางไปห้องครัว อยากเป็ลูกมือช่วยบุตรสาว
“ท่านแม่ ทำไมท่านมาในห้องครัวอีกแล้ว เขม่าควันคลุ้งไปทั่ว เดี๋ยวท่านก็สำลักหรอกเ้าค่ะ”
นางไปแปลงผัก อยากหาถังน้ำมารดน้ำแปลงผัก
“หรงเหนียง เ้าอย่าหิ้วถังน้ำ มันหนัก ระวังเอวเ้าจะปวด”
นางไปหน้าบ้าน หยิบไม้กวาดเก็บกวาดใบไม่ที่ร่วงหล่น
“ท่านแม่ ท่านอย่าขยับ ลานบ้านรอข้าเลิกเรียนแล้วจะกลับมากวาดขอรับ”
จนกระทั่ง นางเดินออกจากประตูลานบ้านมาเดินเล่น
“ท่านอาสะใภ้ ท่านจะไปไหนหรือ? รอเดี๋ยว ให้เจินจูไปเป็เพื่อนเถอะนะขอรับ”
“…”
หลี่ซื่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง แค่ตั้งครรภ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่ตุ๊กตาเครื่องเคลือบดินเผาเสียหน่อย ฟู่เหรินครอบครัวไหนไม่ผ่านไปแบบนี้บ้าง พอถึงคราวนางกลับเห็นว่าอ่อนแอเปราะบางขึ้นมาเสียนี่
ปากบ่นเช่นนี้แต่ในใจกลับอบอุ่น
การวางแผนจัดสวนริมฝั่งแม่น้ำกำลังดำเนินไปอย่างมีระเบียบ
หลิงเสี่ยนวางแผนว่าข้างที่พักอาศัยของบ้านสกุลหูที่ยังมีพื้นที่อยู่ในตอนนี้ น่าจะสร้างบ้านที่มีลานกว้างประตูสองชั้นขึ้นมาอีก
บ้านใหม่ของสกุลหู ในสายตาของหลิงเสี่ยนมีลักษณะเป็สิ่งปลูกสร้างตามแบบหมู่บ้านชนบทอย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างกับลานบ้านที่ดูเป็ทางการมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเสนอให้สร้างบ้านที่มีลานกว้างหนึ่งหลังและประตูสองชั้นขึ้นอีก
เดิมทีเจินจูไม่เห็นด้วย
สำหรับนางแล้ว บ้านของสกุลหูตอนนี้หากเทียบกับอาคารห้องชุดเล็กๆ ของยุคปัจจุบัน ไม่รู้ว่าดีกว่าตั้งกี่เท่าแล้ว เรียบง่ายตามแบบโบราณและกว้างขวาง ลักษณะบรรยากาศค่อนข้างสอดคล้องกับพวกเขาที่เป็ครอบครัวชาวนาอย่างมาก
ผนวกกับ แต่เดิมบ้านของสกุลหูก็เพิ่งจะสร้างขึ้นใหม่ ให้สร้างบ้านที่มีลานกว้างอีกหนึ่งหลังและมีประตูสองชั้นอาจเป็ที่สนใจมากเกินไปหน่อย
ความคิดของนาง หลังได้รู้ว่าหลี่ซื่อตั้งครรภ์ลูกน้อยอีกคนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้ในบ้านอยู่กันไม่น้อย ล้างหน้าบ้วนปากหรือทำกิจวัตรส่วนตัวทุกวันค่ำเช้าล้วนเคลื่อนไหวไม่สะดวกอยู่บ้าง
นางเคยถามหลิงเสี่ยนเป็พิเศษอีกครั้งว่าวางแผนจะอยู่หมู่บ้านวั้งหลินสองสามปีใช่หรือไม่
หลิงเสี่ยนไม่พูดไม่จาอยู่นาน ฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของพวกเขาตอนนี้ แม้ไม่ใช่นักโทษ แต่ก็ยังไม่ได้รับการอภัยโทษ อาศัยอยู่หมู่บ้านวั้งหลินสามารถเลี่ยงความยุ่งยากได้ไม่น้อย
ดังนั้น เขาจึงแสดงท่าทีอย่างนอบน้อมจริงใจว่า คิดจะอาศัยอยู่หมู่บ้านวั้งหลินหลายปีจริงๆ
เจินจูพยักหน้าเข้าใจ เอ่ยกำหนดการสำหรับโครงการสร้างลานบ้านกว้างอีกหนึ่งหลังที่มีประตูสองชั้นขึ้น
การเริ่มก่อสร้างบ้านไม่หยุดสำหรับหูฉางกุ้ย ค่อนข้างมีภูมิต้านทานได้แล้ว แต่เมื่อเจินจูบอกกับเขาว่าจะสร้างประตูสองชั้น กลับทำให้เขาใอยู่บ้าง
“เจินจู ลานบ้านกว้างประตูสองชั้นสิ้นเปลืองอย่างมาก ครอบครัวเรามีเงินมากมายเพียงนั้นหรือ?”
หูฉางกุ้ยไม่รู้ว่าครอบครัวตนเองมีเงินมากแค่ไหน เขารู้เพียงเจินจูเคยบอกว่า หลังเขามีโสมคนหนึ่งผืน หากบ้านไม่มีเงินแล้วก็ขุดไปขายหนึ่งต้น
ครั้งก่อน ค่าใช้จ่ายที่ผิงซั่นไปวัดโบราณชิงเหยียนเพื่อเปลี่ยนดวงชะตาวันเกิด ก็ได้มาจากการขายโสมคนหนึ่งต้นในนั้น
เจินจูยิ้มอย่างสวยงาม “ท่านพ่อ นี่เป็ตั๋วเงินที่เหลือจากการขายโสมคนครั้งก่อน ท่านเก็บไว้ เวลา้าใช้เงินก็หยิบออกมาใช้ได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าที่บ้านจะไม่มีเงินนะเ้าคะ”
ในมิติช่องว่างของนางมีเม็ดเงินเปลือย เม็ดทองเปลือย ไข่มุก หยก เครื่องประดับหยก หมาหน่าว [1] หินตาแมว [2] และอีกมากมาย... เกือบกองจนเต็มโต๊ะในกระท่อมแล้ว
ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเป็ผลงานที่เสี่ยวฮุยนำมามอบให้ระยะนี้
เวลาพลบค่ำของทุกวัน บนสันกำแพงข้างห้องครัว ขอแค่เจินจูเงยหน้าขึ้น รับรองได้ว่าต้องเห็นหนูตัวอ้วนท้วนบ้องแบ๊วสีเทาตัวนั้นได้แน่นอน
มันหลบอยู่หลังดอกกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยที่เบ่งบานสะพรั่งและยื่นศีรษะออกมา เต็มไปด้วยท่าทางน่ารักนัก
เมื่อเห็นนาง คล้ายกับแสดงกลก็ไม่ปาน มันจะอุ้มของจากด้านข้างที่วาววับออกมาหนึ่งชิ้น
ยื่นสองเท้าเล็กที่มีสิ่งของวาววับออกมาให้นาง
ท่าทางเล็กๆ แสนน่ารัก ทำให้คนใจอ่อนระทวยได้ไม่หยุดหย่อน
แม้เจินจูจะย้ำกับมันครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าวันๆ อย่าเอาแต่นำของเหล่านี้มา แต่มันเอียงหัวเล็กๆ ท่าทางน่าสงสาร ราวกับว่าหากไม่รับของไว้มันจะโศกเศร้าอย่างมาก
เจินจูจนปัญญาจริงๆ ทำได้เพียงตามแต่ใจของมัน
แต่นางไม่ได้ใช้ผลิตผลจากมิติช่องว่างมาเป็ของแลกเปลี่ยนอีก แค่ทุกครั้งจะให้เนื้อพะโล้ชิ้นเล็กหรือปลาทอดหนึ่งตัวแก่มัน
เนื้อพะโล้ปกติล้วนเติมน้ำแร่จิติญญา ส่วนปลาทอดไม่ได้ใส่
แต่เสี่ยวฮุยกลับไม่ได้รังเกียจ นางให้อะไรมันก็กินอย่างนั้น
เสี่ยวฮุยไม่กล้าเข้าในลานบ้าน ในลานบ้านเป็อาณาเขตของเสี่ยวหวงกับเสี่ยวเฮย มันเลี่ยงพื้นที่ที่เป็ภัยอย่างชาญฉลาด ทุกครั้งล้วนโผล่ออกมาบนสันกำแพงตลอด
หลังถูกเจินจูตำหนิจึงเปลี่ยนเวลา ไม่ปีนขึ้นมาบนสันกำแพงทุกวันอีก แต่เปลี่ยนมาเป็ปรากฏกายทุกสามวันห้าวันแทน
ด้วยเหตุนี้ในมิติช่องว่างของเจินจู นับวันของมีค่ายิ่งมากขึ้น ยิ่งกองก็ยิ่งสูงเป็ูเาเล็กๆ
ขณะนี้นางจึงเริ่มกลุ้มใจว่าเงินทองควรใช้จ่ายออกไปอย่างไรดี
หูฉางกุ้ยกอบตั๋วเงินใจลอย เงินขายโสมคนครั้งก่อนไม่ใช่จ่ายไปกับผิงซั่นหรอกหรือ ทำไมยังเหลืออยู่ได้?
“รูปลักษณ์โสมคนครั้งก่อนยอดเยี่ยม เ้าของร้านหลิวเลยให้ราคาแปดร้อยเหลียง จ่ายไปกับผิงซั่นสองร้อยเหลียง นี่จึงเป็ตั๋วเงินหกร้อยเหลียงที่เหลืออยู่เ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านเก็บไว้ก็พอแล้ว” เจินจูอธิบาย ครั้งก่อนหวังซื่อให้ตั๋วเงินแก่นาง นางรับมาแล้วโยนเข้าในมิติช่องว่าง เพราะเป็อย่างนี้ ผ่านมาหลายวันแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้
“แปด... แปดร้อยเหลียง! ทำไมราคาครั้งนี้สูงเพียงนี้ล่ะ?” หูฉางกุ้ยตะลึงงัน
“โสมคนแบ่งรูปลักษณ์ระดับชั้นไม่ใช่หรือเ้าคะ อายุยิ่งสูงรูปลักษณ์ยิ่งดี พอขายก็เป็ธรรมดาที่ต้องแพง อย่างไรเสียเ้าของร้านหลิวคงไม่ทำการค้าขายขาดทุนอย่างเด็ดขาด หากเขาขายเปลี่ยนมือออกไป อย่างน้อยราคาขายก็สามารถได้กำไรเป็เท่าตัว” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
หูฉางกุ้ยกลืนน้ำลาย ขายออกไปเป็เท่าตัว นั่นไม่ใช่ว่าเป็หนึ่งพันหกร้อยเหลียงเลยหรือ?
แม้หมู่นี้เขาจับจ่ายเงินมาไม่น้อย แต่ยังถูกทำให้ใอยู่
ตั๋วเงินหกร้อยเหลียงในมือ รวมกับอีกหลายร้อยเหลียงในตู้ล็อกกุญแจ ในใจหูฉางกุ้ยมีความมั่นใจขึ้นทันใด
บุตรสาวอยากสร้างอะไรก็สร้างอย่างนั้น ผู้าุโหลิงเป็ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ บ้านที่เขาวางแผนสร้างขึ้นไม่มีทางแย่แน่นอน ตนขอเพียงรับผิดชอบการจ่ายเงินก็พอแล้ว
ยามพลบค่ำ หลังทานอาหารเย็นไปแล้ว แต่สีท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่
เจินจูะโเรียกเสี่ยวหวง พาออกจากบ้านไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร
นี่เป็กิจกรรมที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ใน่นี้ของนาง
เวลากลางวันปกติเสี่ยวเฮยมักไม่มีร่องรอยให้เห็น ไม่รู้ว่าหลบไปนอนี้เีอยู่มุมไหน
ส่วนเสี่ยวหวงไม่เหมือนกัน นอกจากติดตามหูฉางกุ้ยกับผิงอันออกไปเดินเล่นนอกบ้านเป็บางครั้งบางคราวแล้ว ทุกวันมันล้วนทำหน้าที่เฝ้าบ้านดูแลลานอย่างแข็งขัน
รูปลักษณ์ของเสี่ยวหวงเกินกว่าต้าหวงแม่ของมันไปมาก ดวงตามีชีวิตชีวา สีขนมันวาว ขาทั้งสี่ใหญ่และแข็งแรงมีพละกำลัง วิ่งหรือเดินเหินขึ้นมาท่วงท่าสง่างาม ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว
“ไปกัน เสี่ยวหวง!”
เจินจูหิ้วตะกร้าใบเล็กนำหน้าออกจากบ้าน เสี่ยวหวงกระดิกหางตามอยู่ซ้ายขวา
เจินจูไม่ได้เดินไปบนถนนสายหลักที่มุ่งเข้าในหมู่บ้าน แต่เดินเลียบถนนเล็ก แล้วขึ้นไปบนคันนาที่แคบยาว
ยามเย็นของฤดูร้อน อากาศที่ร้อนในตอนกลางวันกระจัดกระจายหายไปเล็กน้อย เมื่อเดินอยู่บนคันนา มองทุ่งนาเดือนหกมีสีเหลืองและเขียว อัดแน่นไปด้วยต้นข้าวอย่างเป็ระเบียบอยู่ด้วยกัน เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาในทุกผืนนา
นางวิ่งเลียบไปตามคันนา วิ่งไปถึงที่นาของตนเองอย่างหนึ่งก้าวสามะโ
ที่นาของสองบ้านล้วนเรียงอยู่ด้วยกัน เจินจูถือโอกาสเดินเล่นไปตามทางหนึ่งรอบ ยื่นมือออกไปลูบต้นข้าวในนาอยู่บ่อยๆ
ในสายตาของคนอื่นจะคิดว่านางมีนิสัยเป็เด็กน้อย ที่มาเล่นสนุกในที่นา
บนความเป็จริง... นางนำน้ำแร่จิติญญาจากมิติช่องว่างมารดลงไปในนาข้าว
แต่ที่นาใหญ่ไปหน่อย นางกลัวว่าจะรดได้ไม่ทั่วถึง จึงเดินเล่นอยู่รอบที่นาหลายรอบ
ไม่ใช่แค่นาข้าวของครอบครัวนาง หากนางเดินอยู่บนคันนาแล้วยื่นมือโปรยออกไปตามอำเภอใจ น้ำแร่จิติญญากระจายโดนผืนนาของครอบครัวไหนก็นับเป็ช่วยโปรยให้ครอบครัวนั้น
การที่คุณภาพของเมล็ดข้าวแตกต่างกับของครอบครัวอื่น หากมีคนเจตนาสืบหาเหตุผลขึ้นมาย่อมง่ายต่อการกลายเป็จุดสนใจ นางกระจายน้ำแร่จิติญญาไปทั่วทิศทาง หนึ่ง... คือเบี่ยงเบนไม่ให้เป็ที่สนใจเสียหน่อย สอง... คือเพื่อเป็ประโยชน์ต่อผู้คนมากขึ้น อีกอย่างรอให้ไม้ผลของตนเองเติบโตและออกผลแล้ว ก็กระจายให้คนชราและเด็กในหมู่บ้านมากหน่อย ให้ประสิทธิภาพของน้ำแร่จิติญญากระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ผ่านไปสิบกว่าปีหรือยี่สิบปี หมู่บ้านวั้งหลินอาจมีคนหนุ่มสาวที่ฉลาดมีความสามารถมากขึ้น รวมทั้งผู้สูงอายุก็แข็งแรงและอายุยืนยาวอีกด้วย
ถึงเวลานั้น คนสูงอายุที่อายุยืนยาวกับเด็กที่เฉลียวฉลาดของครอบครัวนาง ก็จะไม่ได้เด่นสะดุดตาเพียงนั้นแล้ว
นี่คือแผนการระยะยาวที่เจินจูพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่าจึงสรุปออกมาได้
คนทั้งครอบครัวโดดเด่นเป็พิเศษเกินไป ง่ายต่อการถูกประณามและเฝ้าศึกษาอย่างละเอียด หากคนทั้งหมู่บ้านมีความโดดเด่นและมีความสามารถ ส่วนใหญ่มักว่ากันว่าเป็เขตกำเนิดอัจฉริยะบุคคล
เจินจูคิดถึงผลระยะยาว อย่างไรเสียนางยังต้องใช้ชีวิตอยู่ยุคนี้อีกเป็เวลานาน เตรียมการไว้ล่วงหน้าป้องกันไว้ก่อนเป็สิ่งสำคัญอย่างมาก
นางหิ้วตะกร้ามาถึงบ้านถู่วั่งข้างถนนเส้นเล็ก
“พี่สาวเจินจู! เสี่ยวหวง!”
ถู่วั่งะโร้องด้วยความดีใจระคนแปลกใจ
“ถู่วั่ง ท่านย่าเ้าล่ะ? พวกเ้าทานอาหารเย็นกันหรือยัง?”
ลานบ้านของบ้านถู่วั่ง ล้อมขึ้นด้วยรั้วหนึ่งรอบ บนรั้วปลูกแตงและถั่วกระจัดกระจาย ข้างลานบ้านเป็แปลงผักสองแปลงของครอบครัวเขา
“ถู่วั่ง เป็ผู้ใดมาหรือ?” เสียงของท่านย่าถู่วั่งแหบแห้งดูผ่านโลกมามาก
“ท่านย่า เป็พี่สาวเจินจูมาขอรับ” ใบหน้าเล็กของถู่วั่งยิ้มจนสว่างไสว
เขาเรียนอยู่โรงเรียนวั้งหลินมาระยะหนึ่งแล้ว ผ่านความตื่นเต้นและความกังวลใจขณะแรกเริ่มมาได้ เขาในตอนนี้สนุกสนานกระปรี้กระเปร่ากับชีวิตการเข้าเรียนในทุกๆ วัน
สำหรับสกุลหูที่เสนอโอกาสให้เข้าเรียน พวกเขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณเป็อย่างมาก
ทุกเช้าของถู่วั่งในตอนนี้ ตื่นแต่เช้าเมื่อฟ้าสางก็ไปเก็บผักป่าและหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่ใต้เชิงเขา เดินทางกลับไปกลับมาไม่กี่รอบเพื่อนำมากองให้เป็ระเบียบหน้าประตูบ้านสกุลหู แล้วค่อยล้างหน้าบ้วนปาก เริ่มก่อไฟต้มน้ำทำกับข้าว หลังทานข้าวเช้าเสร็จจึงหิ้วตะกร้าไผ่สานใบเล็กขึ้นและไปโรงเรียน
เด็กในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ใช้ตะกร้าไผ่สานใบเล็กเพื่อเป็กระเป๋าหนังสือใช้เข้าเรียน ด้านในใส่กระดานแผ่นหินและปากกาหินที่ท่านอาจารย์มอบให้
พวกเขาเพิ่งเริ่มคัดตัวอักษรในระดับขั้นต้น ท่านอาจารย์กล่าวว่าใช้แผ่นกระดานหินกับปากกาหินฝึกเขียนหนังสือก่อน เมื่อผ่านไปครึ่งปีค่อยเริ่มใช้เครื่องเขียนกับหมึกและกระดาษฝึกเขียนหนังสือ
ตำราที่ใช้เรียนระดับขั้นต้น ล้วนวางอยู่บนโต๊ะของท่านอาจารย์ เมื่อเข้าเรียนถึงจะแจกจ่ายมาบนโต๊ะของพวกเขา จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้ เพื่อเป็การรักษาตำรา เพราะตำราแพงและง่ายต่อการเสียหาย เด็กผู้ชายซุ่มซ่าม ทำตำราเสียหายง่ายมาก เพราะเหตุนี้ตำราจึงไม่สามารถหยิบกลับมาบ้านได้
การบ้านของทุกวันคือแบบฝึกหัดเขียนตัวอักษรที่เรียนใหม่บนแผ่นกระดานหิน
ถู่วั่งขยันมาก รู้จักเห็นคุณค่าโอกาสในการศึกษาที่ได้มาอย่างยากลำบาก ทุกวันเขาล้วนฝึกจนชำนาญถึงวางแผ่นกระดานหินในมือลง
“เจินจู ทำไมมีเวลามาได้? ทานข้าวแล้วหรือยัง อบขนมเปี๊ยะให้เ้าทานสักชิ้นดีหรือไม่?” ท่านย่าของถู่วั่งเกาะประคองกำแพงเดินออกมาจากด้านใน
ดวงตาของนางเมื่อตกเย็นแล้วจะมองไม่ค่อยชัดเจน ต้องประคองผนังนิดหน่อยถึงจะเดินเหินง่ายขึ้น
เจินจูรีบวางตะกร้าในมือลง เข้าไปประคองนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ใต้ชายคาบ้าน
“ท่านย่าของถู่วั่ง ข้าทานข้าวมาแล้ว แค่มาเยี่ยมถู่วั่งตัวน้อย เลยถือโอกาสเอาถั่วพุ่มที่บ้านข้าปลูกและเนื้อพะโล้เล็กน้อยมาให้พวกท่านเ้าค่ะ”
นางหยิบถั่วพุ่มฝักยาวและเนื้อพะโล้ออกมาจากตะกร้า
ปีนี้ถั่วพุ่มที่หลี่ซื่อเพาะปลูกอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ห้อยเต็มสวนผักถี่ยิบ บนโต๊ะอาหารของที่บ้านหลายวันมานี้เกือบมีถั่วพุ่มเต็มไปหมด
จะทานอย่างไรล้วนไม่ทันความเร็วในการเติบโตของมันเลย ต่อให้ของอร่อยแค่ไหนแต่ทานทุกวันก็เอียนได้ เจินจูจนปัญญาทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีเป็แจกจ่ายถั่วพุ่มให้ผู้อื่นไปบ้าง
น่าเสียดายฤดูกาลนี้เป็่ที่แตงและถั่วสุกงอมพอดี แต่ละครอบครัวในหมู่บ้านล้วนปลูกกันไม่น้อย นางทำได้เพียงมอบให้กับซิ่วฉายหยางและอาจารย์ฟางทุกวัน มีเพียงสองครอบครัวนี้ที่เพิ่งมาได้ไม่นาน ผักปลูกใหม่จึงยังไม่สามารถทานได้
“โธ่เอ๋ย ขอบใจเจินจูแล้ว แต่ถู่วั่งปลูกถั่วพุ่มข้างรั้วอยู่ สองวันนี้ก็จะสามารถทานได้แล้ว” ท่านย่าของถู่วั่งยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ
เจินจูชำเลืองมองแวบหนึ่ง ถั่วพุ่มปลูกได้หรอมแหรมนัก “ท่านย่าของถู่วั่ง ถั่วพุ่มบ้านท่านปลูกได้น้อย ทานของบ้านข้าเถอะเ้าค่ะ”
อย่างไรเสียถู่วั่งยังเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง ผักพวกแตงและถั่วที่ปลูกไว้พอถูไถให้ปลูกรอดได้ก็ไม่เลวแล้ว
ถู่วั่งมองไปตามสายตาของนาง เขินอายขึ้นทันที เมล็ดพันธุ์ถั่วพุ่มเป็เขาเก็บไว้เองเมื่อปีที่แล้ว ผลสุดท้ายตอนปลูกในปีนี้ มีหลายเมล็ดที่ไม่สามารถปลูกขึ้นได้
พักอยู่บ้านของถู่วั่งครู่หนึ่ง ถามการเรียนและการบ้านที่โรงเรียนของเขาเล็กน้อย พอเห็นสีของท้องฟ้าเริ่มค่ำมืดลงเรื่อยๆ จึงกล่าวลากลับบ้านไป
เชิงอรรถ
[1] หมาหน่าว (玛瑙) คือ อัญมณีหินโมรา
[2] หินตาแมว (猫眼石) คือ พลอยไพฑูรย์ หรืออัญมณีโอปอล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้