จ้านอู๋มิ่งหยิ่งผยองจนสุดจะเปรียบ คำพูดประโยคนั้นเหมือนเช่นเชื้อเพลิงปลูกฝังลงในหัวใจของกลุ่มอำนาจต่างๆ ทั่วสารทิศในเมืองวันสิ้นโลก เขาไม่กลัวความวุ่นวายในเมืองวันสิ้นโลกแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ของเขา แต่คนในตระกูลจู้ก็ไม่กลัวด้วยเช่นกันอย่างนั้นหรือ? ถ้าหากเ้ากลัวความสับสนวุ่นวายล่ะก็ เช่นนั้นก็มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือได้แต่ให้ท่านเ้าเมืองวันสิ้นโลกออกหน้า ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องชอบธรรมอย่างแท้จริง และจึงจะสามารถชนะใจคนได้
“หากข้าเป็เ้า จะไม่ทำเื่ราวที่พังทลายกำแพงเมืองของตนเอง ต่อให้เ้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลโหยวสำเร็จแล้วอย่างไร? ใต้หล้ามีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น แข็งแกร่งขึ้นด้วยตนเองจึงจะเป็ความแข็งแกร่งที่แท้จริง กองกำลังภายนอกทั้งหมดล้วนเป็เมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น เห็นแก่ที่เ้ามีอายุอยู่มามากกว่าร้อยปีแล้ว วันนี้ข้าก็จะสอนเหตุผลข้อนี้ให้เ้าทราบไว้ ลำดับต่อไปสมควรจัดการอย่างไรเป็เื่ราวของตระกูลจู้ สำหรับท่านเ้าเมืองนั้น อย่าได้เอาชีวิตของเขามาข่มขู่หญิงสาวที่อ่อนแอผู้หนึ่งอีก หรือว่าตระกูลจู้ของพวกเ้ามีบุตรสาวคนนี้คนเดียวเท่านั้น? ถ้าไม่มีบุตรสาวล่ะก็ เอาอนุภรรยาอะไรนั่นของเ้าตกแต่งให้กับคุณชายอะไรนั่นของตระกูลโหยวก็แล้วกัน รับประกันได้เลยว่าผู้อื่นก็ยินดีน้อมรับไว้เช่นกัน…”
“อา ข้าโมโหแทบตายแล้ว…” จู้เชียนชิวกระอักเืพ่นโลหิตออกมาคำหนึ่ง
ทุกคนล้วนมองหน้ากันตะลึงงัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นฤทธิ์เดชฝีปากอันคมกริบร้ายกาจของจ้านอู๋มิ่งแล้ว คนผู้นี้ยึดครองความชอบธรรมอยู่ตลอดเวลา ถ้อยคำที่พูดออกมาด้วยบุคลิกน่าเกรงขามนั้นช่างสุดแสนอำมหิตยิ่งนัก ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ คนหนึ่งกลับด่าจนจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคอาเจียนเป็เืสามลิตร เกรงว่าก็จะถูกนำมาเล่าเป็นิทานสืบไปเช่นกัน
จู้เชียนชิวขุ่นเคืองนัก สำหรับจ้านอู๋มิ่งผู้นี้ เขาแค้นที่ไม่สามารถนำมาแทะเนื้อเลาะกระดูก แต่ว่าเบื้องหน้าไม่เพียงมีจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานสองคนเท่านั้น ยังมีเหยียนเต้าจื่อที่เป็ตัวแทนจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักนิกายฝ่ายธรรมะอีกกลุ่มหนึ่ง เขาไม่สามารถทำอะไรจ้านอู๋มิ่งได้เลย เื่ราวในวันนี้ของเขายังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย แม้แต่กลุ่มอำนาจและกองกำลังหลักแต่ละกลุ่มในเมืองวันสิ้นโลกทั้งเมืองก็ยังตั้งข้อกังขาสงสัยพฤติกรรมของพวกเขาเช่นกัน ไม่ได้สามัคคีเป็น้ำหนึ่งใจเดียว คิดจะต่อกรกับคนของสำนักนิกายต่างๆ ก็เป็ไปไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะจ้านอู๋มิ่งที่ท่าทางน่าเกรงขามและทำตัวราวกับเื่นี้ถูกต้องชอบธรรม มีเล่ห์ลิ้นคารมที่สุดแสนร้ายกาจ…
แรกเริ่มโอกาสอยู่ในกำมือของพวกเขา ทั้งยังเป็เ้าถิ่นอีกด้วย แต่ว่าไปๆ มาๆ เื่ราวกลับกลายเป็เช่นนี้ ผลสุดท้ายตนกลายเป็คนนอกคนหนึ่งไปแล้วก็ปาน ทำให้ทุกคนพากันต่อต้าน ญาติสนิทตีจาก สหายหลีกหนี แม้แต่ตระกูลโหยวเองจิตใจก็หวั่นไหวแล้ว สิ่งนี้ทำให้จู้เชียนชิวพลันรู้สึกว่าตนเหมือนดั่งได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไปแล้วจริงๆ
“จู้เชียนชิว ข้า้าทราบว่าผู้ใดกันแน่ที่้าจัดการพวกเราทั้งหมดในคราวเดียว ถึงแม้ตอนนี้วิกฤตคลี่คลายลงแล้ว แต่คนที่โเี้อำมหิตและทะเยอทะยานเช่นนี้ ไหนเลยจะปล่อยให้ลอยนวลต่อไปได้” เสวียนเสวียนจื่อสีหน้าเขียวคล้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลจู้ก็คือเื่ตลกเื่หนึ่ง หากมิใช่การปรากฏตัวของจ้านอู๋มิ่งและเหยียนเต้าจื่อ เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดจะถูกะเิขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกแห่งนี้แล้ว ต่อให้พวกเขาที่บรรลุขอบเขตจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงก็ยากจะหลีกเลี่ยงอันตรายเช่นกัน สิ่งที่น่ากลัวมากยิ่งกว่านั้นคือมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าที่ได้ยินจากปากจ้านอู๋มิ่งนั้น เขาเองก็เป็ปรมาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่งเช่นกัน ย่อมทราบถึงความร้ายกาจของค่ายกลนี้
เกรงว่าค่ายกลนี้จะสามารถเปิดทำงานได้เองทันทีหลังจากเกิดการะเิขึ้นในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลก และดูดกลืนดวงิญญาที่ตายอย่างคับแค้นทั้งหมดในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกไปจนหมดสิ้น ตลอดจนกลิ่นอายซากศพเืเนื้อของผู้เสียชีวิตล้วนกลายเป็สารหล่อเลี้ยงค่ายกลดังกล่าว นั่นก็จะกลายเป็พลังอันมหาศาล พลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เพียงพอที่จะให้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทะลวงด่านเป็เทพเ้าาตลอดจนผ่านทัณฑ์สายฟ้าบรรลุเหนือกว่าเทพเ้าาเลยทีเดียว คนที่ก่อตั้งค่ายกลนี้ช่างมีความทะเยอทะยานขนาดไหนและชั่วร้ายเพียงใด แต่ว่าความสำเร็จด้านค่ายกลของบุคคลนี้เหนือล้ำกว่าตนมากมายนัก เนื่องจากถึงแม้ตนจะใช้พลังของสำนักนิกาย แต่ก็ไม่สามารถก่อตั้งมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าออกมาได้…
เพราะค่ายกลนี้ไม่เพียงแต่้าสมบัติทางธรรมชาติจำนวนมากมหาศาลเท่านั้น ยัง้าสถานที่ที่มีพลังหยินสักแห่งหนึ่งด้วย…ดังนั้นเสวียนเสวียนจื่อไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำพูดของสองตัวประหลาดเฒ่าของตระกูลจู้ หากว่าคนของตระกูลจู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ก่อตั้งค่ายกลดังกล่าว เช่นนั้นก็จะต้องกลายเป็ศัตรูร่วมของเหล่าบรรดาสำนักนิกายทั่วหล้า ตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลกก็ไม่จำเป็ต้องดำรงคงอยู่ต่อไปแล้ว
“จู้เชียนชิว ไม่ว่าเ้าจะมีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับคนผู้นี้หรือไม่ แต่ใช้วิธีการชั่วร้ายอำมหิตเช่นนี้ลงมือกับข้าและคนอื่นๆ จะให้เลิกราวางมือกันง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าหากพวกเ้าไม่ยินยอมพูดออกมาว่าเป็ผู้ใด เช่นนั้นตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลกก็จะต้องกลายเป็ศัตรูร่วมของใต้หล้า!” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดก็แสดงท่าทีเ็า สีหน้าเย็นเยียบเช่นกัน ลองตรึกตรองดูตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้ล้วนมีชีวิตอยู่ร่วมพันปีแล้ว ขณะนี้ได้เป็คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ระดับบนสุดของแผ่นดินนี้มาเนิ่นนานแล้ว พลันได้ทราบว่าเมื่อครู่นี้เองตนแทบจะต้องดับสูญอย่างหวุดหวิดภายใต้หลุมพรางกับดักของพวกเขา จะให้พวกเขาไม่โกรธเคืองได้อย่างไร
จ้านอู๋มิ่งไม่กลัวคนตระกูลจู้เลยแม้แต่น้อย เพราะขอเพียงเขาเปิดประเด็นเื่นี้ออกไปเท่านั้น เช่นนั้นแล้วสิ่งที่รอคอยคนตระกูลจู้อยู่ก็คือคำถามที่ทำให้หัวร้างข้างแตก เื่ราวส่วนที่เหลือก็มอบให้ตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายไปจัดการ สิ่งที่เขาต้องทำคือแสดงความคิดเห็นแดกดันในเวลาที่เหมาะสมก็ใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็ต้องไปพัวพันกับตาเฒ่าโง่เขลาเลอะเลือนเหล่านี้อีกต่อไป และสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้เพื่อค้นหาโม่ฉางชุนที่แอบลอบลงมือกับจู้เชียนเชียนให้ออกมา
“ขอถามจอมยุทธ์น้อยจ้าน มหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าก่อตั้งไว้ในสถานที่ใด?” เสวียนเสวียนจื่อถามจ้านอู๋มิ่งอย่างสุภาพเกรงใจด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“สมรภูมิรบกระดูกขาว!” จ้านอู๋มิ่งเห็นเสวียนเสวียนจื่อถาม สีหน้าพลันจริงจังขึ้นมา ชายชราคนนี้มีกลิ่นอายและจิติญญาดุจเทพเซียนชนิดหนึ่ง ดูแล้วก็รู้สึกต้องตาสบายใจเช่นกัน สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ชายชราท่านนี้เป็กำลังหลักในการโจมตีตัวประหลาดเฒ่าตระกูลจู้ เขาย่อมต้องทำตัวเคารพนอบน้อมขึ้นมาบ้าง
“สมรภูมิรบกระดูกขาว...กลับเป็สมรภูมิรบกระดูกขาว!” เสวียนเสวียนจื่อเข้าใจในทันใด ในเมืองวันสิ้นโลกนี้ หากพูดว่ามีสถานที่ที่มีพลังหยินเปี่ยมล้นอย่างที่สุด นั่นก็จะต้องเป็สมรภูมิรบกระดูกขาวอย่างแน่นอน เนื่องเพราะสถานที่นั้นมีิญญาคับแค้นหลงเหลืออยู่มากมายยิ่งนัก ยอดฝีมือนับพันนับหมื่นเสียชีวิตในน่านน้ำมหาสมุทรแถบนั้น ถึงแม้จะล่วงเลยมาหลายแสนปีแล้ว กลิ่นอายมรณะอันเข้มข้นยังคงไม่สลายไปแต่อย่างใด กล่าวถึงที่สุดแล้วสถานที่นั้นมีกระดูกมากมายไร้สิ้นสุด และยังอยู่ใกล้เมืองวันสิ้นโลกอย่างยิ่ง ถ้าเกิดโศกนาฏกรรมในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกขึ้นแล้ว สมรภูมิรบกระดูกขาวก็สามารถดูดกลืนได้จากระยะไกลได้พอดี และในยามธรรมดา น้อยคนนักจะเข้าไปที่สมรภูมิรบกระดูกขาว เนื่องเพราะสถานที่นั้นมีกลิ่นอายหยินรุนแรงยิ่งนัก นอกจากพวกุ์อย่างสำนักบริบาลปีศาจแล้ว คนอื่นๆ ไม่มีผู้ใดชอบสถานที่แห่งนั้น
“ทุกคนอย่าได้ฟังไอ้หนูนี่พูดจาเหลวไหลไร้สาระ ไม่มีเื่เช่นนี้อย่างเด็ดขาด ไอ้หนูนี่แค่้าก่อกวนพิธีหมั้นของตระกูลจู้และตระกูลโหยว คิดแย่งตัวเชียนเชียนไป ดังนั้นจึงได้ใส่ร้ายตระกูลจู้ของพวกเราเช่นนี้ ที่พวกเราเชื้อเชิญบรรพบุรุษผู้เฒ่าทุกท่าน ล้วนมาจากความสัตย์ซื่อจริงใจ” จู้ว่านเหนียนพูดขึ้นเสียงดัง
“ในเมื่อบรรพบุรุษเฒ่าว่านเหนียนพูดเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรามิสู้ไปดูอย่างละเอียดที่สมรภูมิรบกระดูกขาวสักครั้ง แล้วเื่ราวทุกอย่างก็จะได้กระจ่างกันเสียที ไฉนต้องมาโต้เถียงกันอย่างไม่จบไม่สิ้นด้วยเล่า?” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดยิ้มน้อยๆ พูดขึ้น
“ข้าคิดว่าทุกคนยังคงจำเป็ต้องไปที่สมรภูมิรบกระดูกขาวเพื่อตรวจดูให้ละเอียด เราผู้ชรากับจอมยุทธ์น้อยจ้านเพิ่งกลับมาจากสมรภูมิรบกระดูกขาวไม่นาน พบว่ามีค่ายกลน่าสะพรึงกลัวนี้ดำรงอยู่จริงๆ บางทีข้ากับจอมยุทธ์น้อยจ้านความรู้อาจตื้นเขินก็เป็ได้เช่นกัน อาจจดจำค่ายกลใหญ่นี้ผิดพลาดไปก็เป็ไปได้ คิดว่าในหมู่ทุกท่านในที่นี้จะต้องมียอดฝีมือทางค่ายกลอยู่อย่างแน่นอน เมื่อเห็นครั้งเดียวก็สามารถทราบแล้วมิใช่หรือ แต่ว่าถึงเวลานั้นหวังว่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลจู้จะสามารถให้คำตอบแก่ทุกคนได้” พลันเหยียนเต้าจื่อพูดจาแทรกขึ้นมา น้ำเสียงเขาเคร่งขรึมจริงจัง แสดงให้เห็นชัดว่าไม่เหมือนกำลังพูดเท็จ และด้วยศักดิ์ฐานะของตัวประหลาดเฒ่าของสำนักนิกายชั้นนำฝ่ายธรรมะ ย่อมทำให้ผู้คนเชื่อถือเขาอย่างยิ่ง
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปดูที่สมรภูมิรบกระดูกขาวด้วยกันเถิด อยู่เพียงไม่ไกล สามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างจะได้กระจ่างเสียที” เยว่หลิงซานพูดอย่างเฉยชา
สมรภูมิรบกระดูกขาวห่างจากเมืองวันสิ้นโลกไม่เกินร้อยลี้ ต่อให้เป็ราชันาเหินบินครู่เดียวก็ถึงที่หมาย ดังนั้นคนในจวนเ้าเมืองแทบทั้งหมดล้วนเร่งรุดไปแล้ว
แน่นอน การเดินทางครั้งนี้คนของตระกูลจู้และตระกูลโหยวจำนวนมากกว่า กล่าวถึงที่สุดแล้วเพื่องานหมั้นหมายในครั้งนี้ พวกเขาเตรียมการไปไม่น้อยเลยจริงๆ จ้านอู๋มิ่งพาจู้เชียนเชียนไปภายใต้การคุ้มครองของบรรพบุรุษผู้เฒ่าเยว่หลิงซานและเทียนฉาน ร่อนลงบนยอดเขากระดูกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของสมรภูมิกระดูกขาวพร้อมกับทุกๆ คน
ยอดเขากระดูกที่สูงที่สุดแห่งนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเลร่วมพันวา ตำนานเล่าขานยอดเขาแห่งนี้ก็คือโครงกระดูกราชันปลาวาฬั์มหึมาตัวหนึ่งในมหาสมุทร หลังจากตายแล้วกลายเป็ยอดเขาแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ยอดเขานี้จึงถูกผู้คนเรียกขานว่ายอดเขาปลาวาฬด้วยความเคยชิน ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบด้าน มองเห็นเกาะเล็กๆ จำนวนมากมายในสมรภูมิรบกระดูกขาวได้อย่างชัดเจน
เกาะแห่งการต่อสู้ กระดูกกระจายไปทั่วเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าหรือบนกระดานหมากรุก ทั่วน่านน้ำมหาสมุทรแถบนี้ เคยมีคนอยู่ว่างไร้เื่ราวลองทำการนับจำนวนดู พบว่ามีเกาะจำนวนมากถึงเการ้อยเก้าสิบเก้าแห่งที่กองทับซ้อนกันโผล่พ้นขึ้นมาบนผิวน้ำ ยังมีเกาะกระดูกอีกจำนวนมากที่ไม่ได้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ กลายเป็โขดหินจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนในมหาสมุทร กล่าวได้ว่าทั่วบริเวณใต้น่านน้ำมหาสมุทรแถบนี้แทบจะปกคลุมด้วยกระดูกสีขาวหนาๆ ผืนหนึ่ง ทั่วน่านน้ำมหาสมุทรแถบนี้จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายชั้นหนึ่ง
ตัวประหลาดเฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มากกว่าสิบคนมารวมตัวกันที่ยอดเขาปลาวาฬ บินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงร่วมหมื่นวากวาดสายตามองไปรอบด้าน สีหน้าเสวียนเสวียนจื่อแปรเปลี่ยนแล้ว เขาในฐานะปรมาจารย์ค่ายกล ถึงแม้จะไม่สามารถจะก่อตั้งมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้า แต่กลับสามารถเห็นเกาะกระดูกเล็กๆ แห่งนี้ในรัศมีหลายพันลี้ของสมรภูมิรบกระดูกขาวได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าจะถูกผู้คนดัดแปลงแก้ไขอย่างลับๆ ก่อตั้งเป็ค่ายกลใหญ่น่าสะพรึงกลัวกึ่งธรรมชาติขึ้นมาแห่งหนึ่ง ประสานสอดคล้องกับรูปแบบธรรมชาติดั้งเดิมของเกาะกระดูกขาว
นี่คืองานที่ลงทุนลงแรงอย่างมหาศาลงานหนึ่งอย่างแน่นอน ตัวประหลาดเฒ่าที่มีอายุอยู่มาร่วมพันปีเหล่านี้ผู้ใดบ้างที่มิใช่ยอดคน ถึงแม้จะไม่เชี่ยวชาญเื่ค่ายกลมากนัก แต่ระยะเวลาร่วมพันปีมานี้ก็ตะลุยฝ่าฟันมามากน้อยบ้างเช่นกัน ถึงจะดูไม่ออกว่านี่คือค่ายกลประเภทใด กลับทราบว่าคำพูดของจ้านอู๋มิ่งไม่ได้กล่าวอย่างเลื่อนลอย
“ปรากฏว่าดูคล้ายกับมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าในตำนานจริงๆ! ผู้ที่ก่อตั้งค่ายกลนี้จิตใจโเี้อย่างยิ่ง จากทิศทางการก่อตั้งของค่ายกล สามารถดูดกลืนกลิ่นอายมรณะและิญญาคับแค้นได้ทุกแห่งหนจากเมืองวันสิ้นโลก นี่ก็คือการคำนวณทั่วทั้งเมืองวันสิ้นโลกเข้าไปแล้ว…” ในน้ำเสียงของเสวียนเสวียนจื่อแฝงสำนึกฆ่าฟันอันรุนแรงเข้มข้น
“พวกอสูรชั่วร้ายนอกรีตกลุ่มนี้ ได้ยินมาเนิ่นนานแล้วว่ามีบางคนจงใจก่อให้เกิดาระหว่างราชวงศ์ขึ้นในแคว้นมหาจักรพรรดิต่างๆ มีคนลึกลับคอยลักลอบรวบรวมกลิ่นอายมรณะและิญญาคับแค้นอยู่ คิดไม่ถึงว่ากลับมีคนลงทุนมหาศาลขนาดนี้เพื่อมาเล่นงานกลุ่มเหล่าวีรบุรุษของใต้หล้า จู้เชียนชิวเอ๋ยจู้เชียนชิว ตระกูลจู้และตระกูลโหยวของพวกเ้า้าทำสิ่งใดกันแน่?” เยว่หลิงซานสูดหายใจลึกๆ สายตาหันมองมา จดจ้องจู้เชียนชิวโดยตรง สีหน้าท่าทางแสดงความดุร้ายขึ้นวูบหนึ่ง
ตัวประหลาดเฒ่าของสำนักนิกายต่างๆ ขยับท่าร่างวูบ รีบเร่งถอยห่างจากคนของตระกูลจู้และตระกูลโหยวทันที
ข้อเท็จจริงสำคัญกว่าคำพูด ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ทำให้ตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายอดที่จะเชื่อไม่ได้ ค่ายกลขนาดใหญ่เป็พิเศษนี้ ถ้าไม่ใช่สุดยอดปรมาจารย์แห่งค่ายกลบนแผ่นดินนี้ ย่อมไม่สามารถจะก่อตั้งสำเร็จได้ เสวียนเสวียนจื่อทราบว่าต่อให้ตนเองและเหยียนเต้าจื่อร่วมมือกัน เกรงว่าก็ไม่สามารถก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้ออกมาได้เช่นกัน ค่ายกลชนิดนี้โเี้อำมหิตเกินไป เขายังััถึงความคับแค้นมหาศาลที่แฝงเร้นอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในค่ายกลกำลังถูกผันแปรด้วยซ้ำ ถูกใครบางคนในความมืดมิดกลืนกิน…
ด้วยคำพูดของจ้านอู๋มิ่ง อาจจะมีคนที่เชื่อถือไม่มากนัก แต่คำพูดของเหยียนเต้าจื่อกลับไม่มีผู้ใดกล้าสงสัย
“เ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีก ผู้ใดเป็คนวางแผนการนี้กันแน่ ขอให้บอกกล่าวมาอย่างชัดเจนด้วย” สายตาของเสวียนเสวียนจื่อจ้องมองคนของตระกูลจู้เขม็ง ทั้งหมดััได้ถึงสำนึกฆ่าฟันบนร่างเสวียนเสวียนจื่อ
ในที่ห่างไกล จ้านอู๋มิ่งจูงมือของจู้เชียนเชียนและนั่งลงบนกองกระดูกแห่งหนึ่งของยอดเขาปลาวาฬ มองดูพระอาทิตย์อัสดงค่อยๆ ลับขอบฟ้าทางทิศประจิมจากที่ห่างไกล สบายอกสบายใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ตะวันยอแสงสีทองยามอัสดงสวยงามอย่างยิ่งใช่หรือไม่?” จ้านอู๋มิ่งไม่สนใจสายตาของผู้อื่นโดยสิ้นเชิง เขาแย้มยิ้มเอ่ยถามขึ้น
“ดูเหมือนเ้าจะไม่กังวลต่อเื่ทั้งหมดนี้?” จิตใจของจู้เชียนเชียนกลับสงบลงได้ยากยิ่งนัก เมื่อเห็นจ้านอู๋มิ่งสงบนิ่งถึงเพียงนี้ นางอดที่จะถามเบาๆ คำหนึ่งไม่ได้
จ้านอู๋มิ่งยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ไฉนต้องกังวลใจเช่นนี้ด้วยเล่า?”
“แต่ว่าข้ากังวลใจต่อท่านพ่อ!” จู้เชียนเชียนยังคงมิอาจวางใจอยู่บ้าง
“เหอะ เวลานี้ท่านเ้าเมืองปลอดภัยอย่างยิ่ง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวเท่านั้น” จ้านอู๋มิ่งกระซิบที่ข้างหูของจู้เชียนเชียนเบาๆ
“อา จริงหรือ?” จู้เชียนเชียนปีติยินดียิ่งนัก ดูจากการแสดงออกของจ้านอู๋มิ่งแล้วไม่ใช่กำลังล้อเล่น พลันจิตใจค่อยๆ ผ่อนคลายลง หินก้อนใหญ่ที่กดทับหัวใจตลอดมาคล้ายดั่งถูกยกออกไปแล้ว
“ทั้งหมดนี้เป็เื่จริงหรือ? บรรพบุรุษผู้เฒ่าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเพื่อวางแผนการเข่นฆ่าสังหารเช่นนี้”
“อย่าได้คิดมากไป เวลาที่จริงก็คือเท็จ เท็จก็คือจริงเช่นกัน คนที่มองเห็นไม่ชัดเจนก็เพราะตนเองอยู่ภายใต้สถานการณ์นั้น อีกสักครู่หากเ้ารู้สึกว่ามีความผิดปกติ อย่าได้ใกลัว เนื่องจากข้า้าอาศัยโอกาสนี้รักษาอาการที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายเ้าให้หาย แต่เวลานี้ข้า้าเืของเ้าเป็สื่อชักนำ” จ้านอู๋มิ่งกล่าวพลางยิ้มอย่างลึกล้ำ สายตาจ้องมองไปบนท้องฟ้าอันห่างไกล สถานที่นั้นเหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่งชักกระบี่และง้างธนู[1]ขึ้นแล้ว ทว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จ้านอู๋มิ่ง้าพอดี
[1] สถานการณ์ตึงเครียดใกล้จะแตกหักเปิดศึกแล้ว
