พั่งจื่อยกมือเกาศีรษะพลางตอบ “เป็เื่ที่บ้านลูกพี่น่ะ คือว่าตอนออกไปพี่เขาดูรีบร้อนมาก ส่วนรายละเอียดเป็ยังไงพวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน น้องสาวจัดการธุระเสร็จแล้วเหรอ”
เซี่ยโม่ไม่ได้ตอบแต่กลับถามต่อ “แล้วเมื่อไรพี่ซ่งจะกลับมาคะ”
“ไม่พรุ่งนี้ก็วันมะรืนนี้คงกลับมาแล้วละ” พั่งจื่อตอบอย่างไม่ปิดบัง
เซี่ยโม่เหมือนได้ยกูเาออกจากอก โชคดีที่เื่พี่ซ่งแอบแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากับคนอื่นไม่ได้ถูกเปิดเผย
เธอกลัวว่าจะมีเื่อะไรเกิดขึ้นกับพี่ซ่งจนต้องถูกตัดสินจำคุกหลายปี หากมีประวัติ เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็จะมีปัญหาตามมาด้วย
เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ รอให้เจอพี่ซ่งอีกครั้งเมื่อไร เธอค่อยเตือนให้เขาเลิกทำเื่สุ่มเสี่ยงพวกนี้
“พวกพี่ทั้งสอง ฉันจัดการเื่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ วันมะรืนนี้มาเข้าเรียนตามปกติได้เลย ขอบคุณพวกพี่ทั้งสองคนมากนะคะที่อุตส่าห์มา”
“จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว? น้องสาวนี่สุดยอดไปเลย ลูกพี่ยังบอกอีกว่า หากเปิดเทอมแล้วมีใครมารังแกก็ให้มาหาพวกเรา เดี๋ยวพวกเราไปจัดการให้”
เซี่ยโม่รู้สึกซาบซึ้งเหลือเกิน พี่ซ่งมีธุระมาไม่ได้ก็ยังให้พรรคพวกของตัวเองมาช่วยเหลือ น้ำใจครั้งนี้เธอจะจดจำเอาไว้
พอเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะกลับ เวลานี้เองที่เธอนึกถึงเนื้อกวางตุ๋นขึ้นมาได้
เธอเก็บมันเอาไว้ในโกดังสินค้า วันนี้มาขอพบผู้อำนวยการโรงเรียน หากนำอาหารใส่ในกระเป๋า เกรงว่ากลิ่นอาจจะลอยออกมารบกวนอีกฝ่ายเอาได้
“พวกพี่ทั้งสองเดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันมีเนื้อกวางตุ๋น ถ้าพวกพี่ไม่รังเกียจละก็” เซี่ยโม่เอ่ยรั้งชายหนุ่มทั้งสองคนเอาไว้
แววตาของทั้งสองคนเป็ประกาย ิญญาจะกละเข้าสิงร่างทันที “ไม่ ไม่ พวกเราไม่รังเกียจเลย ขอบใจน้องสาวมาก”
“น้องสาว เธอใจดีจัง ต่อไปถ้ามีเื่อะไรก็บอกพวกเราได้เลยนะ พวกเราพร้อมช่วยเหลือเธอเต็มที่” โซ่วจื่อกล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณ
เซี่ยโม่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ความจริงแล้วคือล้วงมือเข้าไปในโกดังสินค้าเพื่อหยิบเนื้อกวางตุ๋นออกมา ส่วนเสื้อผ้าที่เธอตัดให้พี่ซ่งรอมอบให้กับมือเองดีกว่า
เธอมองสีหน้าตื่นเต้นดีใจของทั้งสองคนพร้อมกับคิดในใจว่า ฉวยโอกาสตอนที่พี่ซ่งไม่อยู่ นำของในโกดังสินค้าออกมาขายก็น่าจะดี
พี่ซ่งฉลาดเกินไป ล่อหลอกแต่ละทีไม่ใช่ง่ายๆ เช่นนั้นเธอใช้พวกพี่สองคนนี้แทนก็แล้วกัน
อีกอย่างเธอวางแผนไว้แล้วว่า รอให้พี่ซ่งกลับมา เธอจะเตือนอีกฝ่ายให้เลิกลักลอบซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ดังนั้นต้องถือโอกาสนี้นำของในโกดังสินค้ามาขายเป็เงิน หากกลับมามีการจัดสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกเมื่อไร ถ้าไม่มีเงินจะทำอะไรก็ลำบาก ความตั้งใจที่จะซื้อเรือนสี่ประสานในเมืองหลวงก็อย่าได้หวังเลย
“พวกพี่ทั้งสอง พอดีเพื่อนร่วมห้องของฉันมีของที่อยากขายเป็เงิน พวกพี่ช่วยเอาไปขายให้หน่อยได้ไหมคะ”
ยังไม่พูดถึงว่าก่อนลูกพี่จะไปทำธุระ อีกฝ่ายสั่งไว้ว่าเื่ของเด็กสาวต้องมาก่อน เด็กสาวอุตส่าห์ให้เนื้อกวางตุ๋น พวกเขามีหรือจะไม่ช่วย
พั่งจื่อตบอกตัวเองอย่างเป็มั่นเป็เหมาะ “น้องสาว เธอมีของอะไรจะขายเหรอ ไม่ใช่สิ เพื่อนร่วมห้องเธอมีของอะไรอยากจะขาย ให้พวกเราไปช่วยขนมาไหม”
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกพี่ยังอยู่ที่เดิมใช่ไหมคะ ฉันมีจักรยาน ขี่จักรยานไปเอาของจากบ้านเพื่อนได้สะดวกมาก เสร็จแล้วเดี๋ยวเอาไปให้ที่บ้านนะคะ”
“ได้ พวกเราจะรอนะ รีบไปรีบมา”
“ค่ะ”
เซี่ยโม่ขี่จักรยานออกจากโรงเรียน พอไปถึงจุดปลอดคน เธอจูงจักรยานเข้าไปในโกดังสินค้า
ในโกดังสินค้ายังมีน้ำตาลทรายแดงกับน้ำตาลทรายขาวอีกหลายถุง เธอนำมันใส่ในกระเป๋า ผ้าขนหนูกับสบู่เป็ที่นิยมอย่างมากในยุคนี้ ที่ห่อไม่มีสัญลักษณ์หรือรายละเอียดอะไรระบุเอาไว้ เธอเลยหาถุงมาใส่พวกมัน
ของพวกนี้ขายแลกเงินได้ไม่มาก น่าจะราวสิบถึงยี่สิบหยวนเท่านั้น เธอเลยมองหาของอย่างอื่นเพิ่มเติม
สายตาพลันเลื่อนไปเห็นนาฬิกาข้อมือยี่ห้อหนึ่งจากนครเซี่ยงไฮ้
เซี่ยโม่เคยเห็นนาฬิกาแบบนี้ยี่ห้อนี้ตอนเดินห้างสรรพสินค้าในตัวอำเภอ เธอจำได้ว่าหากจะซื้อนาฬิกา ต้องใช้ทั้งคูปองและเงินอีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้าหยวน
ในโกดังสินค้ายังมีนาฬิกาแบบนี้อีกหลายเรือน ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีวันเดือนปีที่ผลิตระบุเอาไว้ ถ้านำออกไปขาย จะได้เป็เงินสักเท่าไรนะ
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลองนำนาฬิกาออกไปขายสักสิบเรือนดูก่อน หากประเมินคร่าวๆ ตามราคาที่ห้างสรรพสินค้าจำหน่าย นาฬิกาสิบเรือนจะได้เงินหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบหยวน เป็จำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เอาแค่นี้แหละ
เซี่ยโม่หยิบนาฬิกาจากนครเซี่ยงไฮ้จำนวนสิบเรือนใส่ในถุงรวมกับผ้าขนหนูและสบู่
เธอนึกภาพนอกโกดังสินค้า พอเห็นว่าไม่มีใครจึงเอากระเป๋าวางไว้บนรถจักรยาน ถือถุงใส่ผ้าขนหนู สบู่ และนาฬิกา เดินออกมาจากโกดังสินค้า จากนั้นขึ้นคร่อมจักรยานแล้วขี่ไปที่บ้านของพี่โซ่วจื่อกับพี่พั่งจื่อ
สิบกว่านาทีต่อมา เซี่ยโม่เดินเข้าไปในบ้านท่ามกลางการต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้นของเ้าบ้านทั้งสอง
“น้ำตาลถุงละครึ่งกิโล พวกพี่ขายถุงละหนึ่งหยวนก็พอค่ะ ขายแบบไม่ต้องใช้คูปองมันจะขายได้ง่ายกว่า ส่วนผ้าขนหนูกับสบู่ พวกพี่ดูเอาแล้วกันนะคะว่าจะขายเท่าไร” เธอนำน้ำตาลทรายออกมาจากกระเป๋าพลางแจกแจง “ในถุงยังมีนาฬิกาจากเซี่ยงไฮ้อีกสิบเรือน ฉันเห็นที่ห้างฯ ในอำเภอขายเรือนละหนึ่งร้อยยี่สิบห้าหยวน ตอนขายอย่าต่ำกว่าราคานี้ก็พอค่ะ เงินที่ได้จากการขายนาฬิกา ฉันจะแบ่งให้พวกพี่ห้าเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
ทั้งสองคนตาโตอย่างตื่นเต้น ยังไม่ต้องพูดถึงของอย่างอื่น แค่นาฬิกาทั้งสิบเรือนนี้ ต่อให้ขายเรือนละหนึ่งร้อยสามสิบหยวนก็มีคนซื้อ
สมัยนี้เวลาจะซื้อนาฬิกาต้องใช้คูปองด้วย ซึ่งคูปองก็ไม่ได้หากันง่ายๆ
ส่วนแบ่งห้าเปอร์เซ็นต์ สิบเรือนก็เป็เงินประมาณหกถึงเจ็ดสิบกว่าหยวน
อยู่กับน้องสาวมีเงินให้ใช้!
ขนาดลูกพี่ยังไม่ใจกว้างถึงขั้นนี้เลย ให้ส่วนแบ่งแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น โชคดีที่แต่ละเดือนขายของได้จำนวนมาก ชีวิตความเป็อยู่ของพวกเขาจึงนับว่าไม่เลว
“น้องสาวให้เยอะไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ให้เนื้อกวางตุ๋นมา เพราะงั้นเธอไม่ต้องแบ่งให้พวกเราหรอก” น้ำเสียงพั่งจื่อติดจะไม่สบายใจ
เซี่ยโม่เข้าใจทันที เงินที่เธอแบ่งให้คงเป็จำนวนไม่น้อยสำหรับพวกเขา
“พวกพี่ทั้งสอง นี่เป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากฉัน พวกพี่รับเอาไว้เถอะค่ะ พวกพี่อย่าบอกเื่ที่ฉันเอาของมาขายให้พี่ซ่งรู้นะคะ ฉันไม่อยากให้พี่เขาคิดมาก”
ทั้งสองคนพยักหน้าเป็การรับปาก
ปกติเวลาทำงานกับลูกพี่ พวกเขาจะได้ส่วนแบ่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หากให้อีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขารับส่วนแบ่งห้าเปอร์เซ็นต์จากน้องสาว จะต้องโกรธและไม่พอใจมากเป็แน่
ดังนั้นอย่าให้ลูกพี่รู้เลยเป็ดีที่สุด
“น้องสาว วางใจเถอะ พวกเราไม่บอกให้ลูกพี่รู้แน่นอน”
เซี่ยโม่โล่งอก นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งสองคนจะซื้อตัวได้ง่ายดายขนาดนี้ แค่เนื้อกวางตุ๋นก็ซื้อใจพวกเขาได้แล้ว
ตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอคิดจะขอตัวกลับ ทว่าทั้งสองคนกลับรั้งเอาไว้ “น้องสาว นี่ก็เที่ยงแล้ว ถ้าเธอกลับไปตอนนี้พวกเราคงไม่วางใจ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
เธอทำท่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองคนเรียกเธอว่าน้องสาว แม้ภายนอกจะดูเหมือนพวกนักเลง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่คนที่มีนิสัยเลวร้ายอะไร
“ก็ได้ค่ะ งั้นก็รบกวนพวกพี่ทั้งสองคนแล้ว”
ทั้งสองคนยิ้มหน้าบาน ก่อนที่คนหนึ่งจะเอ่ยอาสา “น้องสาว เดี๋ยวฉันจุดไฟให้”
ส่วนอีกคนเอ่ยต่อทันที “น้องสาว เดี๋ยวฉันไปตักน้ำมาให้”
เธอคิดในใจ อะไรจะขยันปานนั้น แค่เธออยู่กินข้าวด้วยต้องกระตือรือร้นถึงขนาดนี้เชียว?
เซี่ยโม่เดินเข้าไปในห้องครัว แม้จะมีวัตถุดิบไม่มากแต่ของพื้นฐานก็ครบครันดี ข้าวสาร เส้นบะหมี่ ข้าวฟ่างล้วนมีหมด
ส่วนผักมีแค่มันฝรั่งกับต้นหอม และไข่ไก่อีกไม่กี่ฟองเท่านั้น
“พวกพี่ทั้งสองอยากกินข้าวหรือบะหมี่คะ” เซี่ยโม่ถามเชิงปรึกษากับเ้าบ้าน
“อะไรก็ได้ น้องสาวทำอะไรพวกเรากินได้หมดแหละ”
ไม่เลือกกินแบบนี้ก็ดี
เซี่ยโม่คิดว่าจะหุงข้าวสวย กินคู่กับไข่คนใส่ต้นหอม ผัดมันฝรั่งซอย และเนื้อกวางตุ๋นอีกหนึ่งอย่าง กับข้าวทั้งหมดรวมเป็สามอย่าง พอให้สามคนรับประทานพอดี
คิดได้ดังนั้นก็เริ่มลงมือ เธอหุงข้าวก่อนเป็อันดับแรก ก่อนจะหยิบมันฝรั่งกับต้นหอมไปล้างแล้วหั่นเตรียม
หลังจากหั่นผักเสร็จ เธอหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มทั้งสองคนอย่างลังเลใจ “พี่สองคนผัดเองดีไหมคะ ฉันกลัวว่าถ้าตัวเองผัด พวกพี่จะไม่ชินกับรสชาติอาหารที่ฉันทำ”
ทั้งสองคนโบกไม้โบกมือเป็พัลวัน “พวกเรากินได้หมด น้องสาวทำเลย ไม่ต้องคิดมาก”
“งั้นก็ได้ค่ะ” เธอพยักหน้ารับรู้