ท่านย่าหลี่ได้ยินแล้วผิดหวังเล็กน้อย หลานชายไปเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวง สองเดือนแรกไม่มีแม้แต่ข่าวคราว ยังดีที่ทุกเดือนนายอำเภอจะส่งคนมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง นางจึงได้รู้ว่าเป็หลานชายที่ได้กำชับเอาไว้ก่อนจากไป เมื่อคิดถึงหลานชายที่นางฝากความหวังเอาไว้ ท่านย่าหลี่จึงสลดหดหู่ไปครู่หนึ่ง
แต่เมื่อคิดถึงว่าในเรือนยังมีเงินอีกแปดสิบตำลึง นางได้แต่กัดฟัน นี่เป็เงินที่ใช้หลานชายแลกมา
“หลานชายของข้าส่งพวกเ้ามาเช่นนั้นหรือ” ท่านย่าหลี่รู้ว่าเสี่ยวโหวเหฺยคือหลานชายของนาง นายอำเภอเคยบอกไว้ว่าหลานชายของนางไปเป็โหวเหฺยในเมืองหลวง “หลานชายของข้าสบายดีหรือไม่? คนในเมืองหลวงรังแกเขาหรือไม่?” ดวงตาของท่านย่าหลี่แดงก่ำ
“เสี่ยวโหวเหฺยสบายดีขอรับ เป็ใหญ่ที่สุดในจวนโหว ไม่มีผู้ใดรังแกเขา” องครักษ์ตอบ “เสี่ยวโหวเหฺยให้ข้าน้อยนำสิ่งของมาส่งให้กับเหล่าไท่ไท่ ท่านดูสิขอรับ” องครักษ์ชี้รถม้าที่อยู่ด้านหลัง
ได้ยินว่ามีสิ่งของ ท่านย่าหลี่ดีใจขึ้นมา “สิ่งของอันใด? รีบนำลงมาเร็วเข้า” พลางวิ่งเข้าไปเรียกในเรือน “ซื่อเหนียง หลานชายส่งสิ่งของมาให้”
หลี่ซื่อเหนียงกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง นางสุขภาพไม่ดี ตั้งครรภ์แล้วต้องดูแลตัวเองอย่างดี ได้ยินท่านย่าหลี่เรียกในใจนางนั้นยินดี หลี่ซื่อหลางตายไปแล้ว นางเลี้ยงดูหลี่ลั่วสี่ปีราวกับเป็บุตรชายของตน เมื่อหลี่ลั่วจากไปนั้นนางยังไม่รู้ว่าชีวิตของนางยังจะทำอันใดได้อีก
ในยามนั้นเมื่อท่านย่าหลี่้าให้นางอยู่กับหลี่อู่หลางนางไม่ยินยอม แต่หญิงม่ายที่ไม่มีบุตรเช่นนางครึ่งชีวิตที่เหลือจะทำเช่นใดเล่า? แม้หลี่อู่หลางจะสติไม่ดี แต่คนสติไม่ดีไม่รังแกคนนี่นา ดังนั้นนางจึงยอมตกลง ท่านย่าหลี่นั้นแม้จะมีนิสัยหลายอย่างที่ไม่ดี แต่เมื่อนางและหลี่อู่หลางจะอยู่ด้วยกันนั้น ท่านย่าหลี่ยังได้จัดงานเลี้ยงให้ ฉะนั้นนางกับหลี่อู่หลางถือว่าอยู่ด้วยกันอย่างชอบธรรมแล้ว
เวลานี้นางตั้งครรภ์ หลี่อู่หลางปฏิบัติต่อนางเหมือนของล้ำค่าก็ไม่ปาน สตรีนั้นหากได้รับความดูแลเอาใจใส่จากชายหนุ่ม ย่อมเปลี่ยนไปเป็คนละคน
อายุครรภ์ของหลี่ซื่อเหนียงเพิ่งจะหนึ่งเดือน ยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
สกุลหลี่มีเพียงท่านย่าหลี่และหลี่ซื่อเหนียง ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงของเดือนเก้ากำลังเก็บเกี่ยว คนทั้งบ้านต่างไปช่วยกัน รวมไปถึงหลานสาวทั้งสองคนด้วย
องครักษ์เปิดรถม้า นำผ้าแพรชั้นดีหลายพับลงมาก่อน “เหล่าไท่ไท่ โหวเหฺยกำชับว่าผ้าเหล่านี้ท่านอย่าได้ตัดใจไม่ได้ที่จะนำมาใช้ คนในบ้านทุกคนต้องตัดเสื้อผ้าใหม่หลายชุด ไม่ว่าแก่หรือเด็กล้วนต้องตัดเสื้อผ้าขอรับ”
ท่านย่าหลี่พยักหน้าและยิ้มแย้มแจ่มใส “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว หลานชายของข้ากังวลเกินไป”
องครักษ์หยิบรังนกและโสมออกมา “ของเหล่านี้เป็ของบำรุงร่างกาย รังนก โสม ทุกๆ อย่างล้วนต้องใช้เงินหลายสิบตำลึง โหวเหฺยกำชับว่าให้ท่านและฮูหยินที่กำลังตั้งครรภ์บำรุงร่างกายด้วยกัน แต่สิ่งเหล่านี้กินมากเกินไปไม่ได้ วันหนึ่งให้กินเพียงเล็กน้อย ล้วนแต่แบ่งเป็ห่อเล็กเรียบร้อยแล้ว เพียงพอให้พวกท่านกินหนึ่งเดือน โหวเหฺยบอกว่า ต้องกินด้วยกันทั้งสองคน หากกินคนเดียวจะมากเกินไป หากบำรุงมากเกินไปจะเืไหล ไม่ดีต่อสุขภาพ”
“เฮ้อ ช่าง...ช่างแพงนัก” ท่านย่าหลี่กอดเอาไว้ ตัดใจกินไม่ลง
ข้าราชการเห็นแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “โหวเหฺยมีใจกตัญญู แพงไม่แพงอันใดกันเล่า ท่านดูแลสุขภาพให้ดี โหวเหฺยจึงจะยินดี”
รอยยิ้มของท่านย่าหลี่สว่างไสวยิ่ง
ต่อมาเป็เครื่องประดับหนึ่งกล่อง องครักษ์กล่าวอีกว่า “กำไลข้อมือหยกนี้ โหวเหฺยมอบให้เหล่าไท่ไท่ โหวเหฺยบอกว่าเหล่าไท่ไท่ในเมืองต่างก็มี ท่านต้องใส่กำไลข้อมือหยกนี้เสวยสุข อย่าได้นำสิ่งของเหล่านี้ออกไปทำงานเล่า ยังมีกำไลข้อมือหยกชิ้นนี้มอบให้ฮูหยินที่กำลังตั้งครรภ์...ต่างหูเงินเหล่านี้มอบให้กับญาติผู้หญิงในเรือนขอรับ”
“นี่...นี่...” ท่านย่าหลี่เริ่มร่ำไห้น้ำตาไหลพราก “หลานชายของข้า คิดถึง...ข้าคิดถึงเขาจะตายอยู่แล้ว”
หลี่ซื่อเหนียงเองดวงตาพลันแดงก่ำเช่นกัน เลี้ยงดูบุตรชายมาสี่ปีเขาย่อมจำตนได้
ต่อมาองครักษ์หยิบถุงเงินออกมาจากอกของเขา เงินย่อยเหล่านี้หลี่ลั่วให้คนไปแลกไว้เสร็จสรรพ ล้วนเป็เงินสิบตำลึงต่อหนึ่งถุงเงิน รวมทั้งหมดสิบถุงเงิน เช่นนี้แล้วทำให้ท่านย่าหลี่สะดวกในการหยิบใช้
“ยังมีเงินอีกหรือ” ท่านย่าหลี่ถือไว้ในอ้อมกอด แทบไม่ยอมปล่อยมือ
องครักษ์เห็นท่าทางยินดีของคนชรา ตนเองจึงพลอยยินดีไปด้วยเช่นกัน พวกเขาต่างมาจากครอบครัวธรรมดาสามัญและมีวรยุทธ์เล็กน้อย ถูกเรียกไปเป็องครักษ์ โหวเหฺยยังได้ให้รองแม่ทัพหลี่สอนยุทธ์และฝึกฝนพวกเขาเป็การเฉพาะ เงินเดือนและสวัสดิการที่ให้พวกเขานั้นดีอย่างยิ่ง ทุกเดือนมีวันหยุดสองวันเพื่อให้พวกเขามีเวลากลับไปอยู่กับครอบครัว หากมีเ้านายเช่นนี้ถือว่าเป็วาสนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้ พวกเขาออกมายังให้ค่าเหนื่อยพวกเขาคนละสิบตำลึง ไฉนจึงเลือกพวกเขาสองคน ด้วยเหตุที่ครอบครัวของพวกเขาทั้งสองคนมีฐานะย่ำแย่ที่สุดในบรรดาองครักษ์ทั้งยี่สิบคน
ซ้ำยังมาเห็นโหวเหฺยจัดการเื่ราวๆ ต่างเกี่ยวกับมารดาเลี้ยงและครอบครัวอย่างละเอียดรอบคอบ องครักษ์ทั้งสองนั้นเห็นด้วยตาตนเอง และยินดีในใจเช่นกัน
ต่อมาองครักษ์กล่าวอีกว่า “เหล่าไท่ไท่ รบกวนท่านนำน้ำชามาให้พวกเราดื่มได้หรือไม่ขอรับ?”
“โอย ดูความจำของข้าสิ เชิญพวกท่านทั้งสองด้านใน” ท่านย่าหลี่รีบเอ่ย
“ไม่ต้องขอรับ พวกเราดื่มน้ำชาแล้วต้องกลับไปทันที โหวเหฺยยังรอให้พวกเรากลับไปรายงานอยู่ขอรับ” องครักษ์ตอบ
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปรินน้ำชา”
หลังจากท่านย่าหลี่เดินเข้าไปแล้ว องครักษ์หยิบจดหมายออกมาหนึ่งฉบับ “นี่เป็ของที่โหวเหฺยกำชับว่าต้องให้ท่าน นี่คือเงินห้าสิบตำลึง ให้ท่านเก็บเอาไว้ใช้ขอรับ”
“นี่มัน...” หลี่ซื่อเหนียงรับไป ที่แท้องครักษ์เจตนาที่จะแยกท่านย่าหลี่ออกไป หลี่ซื่อเหนียงนำเงินและจดหมายซ่อนไว้อย่างดี “ลั่วเอ๋อร์...โหวเหฺยอยู่ในเมืองหลวง สบายดีจริงๆ ใช่หรือไม่?” นางหวาดกลัวจริงๆ
องครักษ์หัวเราะ “ท่านโปรดวางใจ โหวเหฺยเป็เ้านายของจวนโหว ทั้งยังเฉลียวฉลาด ฝ่าาทรงโปรดปราน มีรองแม่ทัพหลี่และพวกเราซึ่งเป็องครักษ์อีกยี่สิบนายคอยคุ้มกัน ปลอดภัยอย่างยิ่งขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี...เช่นนั้นก็ดี...ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใด ดูข้าพูดสิ เขาเป็ถึงโหวเหฺยแล้ว ไฉนเลยจะมีเวลากลับมาเล่า?” หลี่ซื่อเหนียงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
“โหวเหฺยเคยพูดไว้ขอรับ ว่าจะเชิญพวกท่านไปฉลองปีใหม่ในเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือท่าน เมื่อถึงเดือนสิบสอง ครรภ์ก็มั่นคงแล้ว” องครักษ์กล่าวเสริม
“ไม่ๆๆ พวกเรา...พวกเราไปเมืองหลวง เื่...เื่...เื่กฎเกณฑ์ล้วนไม่รู้อันใดทั้งสิ้น” หลี่ซื่อเหนียงใจนสะดุ้งโหยง
“ท่านโปรดวางใจ กฎเกณฑ์ในจวนโหวนั้นโหวเหฺยว่าอย่างไรก็ตามอย่างนั้นขอรับ” องครักษ์กล่าวปลอบใจ
ผ่านไปสักครู่ ท่านย่าหลี่ยกน้ำชาออกมา หลังจากองครักษ์ดื่มน้ำชาเสร็จจึงจากไป
ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงนั้นสกุลหลี่ปลูกไม่มาก แค่เพียงพอให้คนในเรือนกินเท่านั้น อีกทั้งยังเป็แรงงานสตรีล้วน จึงปลูกมากเกินไปไม่ไหว หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินก็เป็เวลาประมาณยามโหย่ว[1]แล้ว พวกเขาพากันกลับมาที่บ้าน
สะใภ้ใหญ่หลี่ สะใภ้รองหลี่ คู่สามีภรรยาป้าใหญ่หลี่ อาหญิงเล็กหลี่ รวมไปถึงต้าเจี่ยเอ๋อร์ในวัยแปดขวบ เอ้อร์เจี่ยเอ๋อร์ในวัยเจ็ดขวบ และยังมีหลี่เอ้อร์หลางที่ขาพิการอีกหนึ่งคน หลี่เอ้อร์หลางต้องใช้ไม้เท้า เขาไปส่งน้ำให้พวกเขา
เมื่อกลับมาถึงเรือนทุกคนต่างล้างหน้าแล้วเดินเข้ามาในห้องกินข้าว พอเห็นกับข้าวบนโต๊ะก็ถึงกับใ “ท่านแม่ นี่...กับข้าววันนี้ไฉนจึงดีเช่นนี้เล่า?” สะใภ้ใหญ่หลี่ถามอย่างประหลาดใจ
“ท่านแม่ บ้านเรารวยแล้วใช่หรือไม่?” สะใภ้รองหลี่ซึ่งมีนิสัยปากจัด อารมณ์ร้าย พูดจาว่องไวเอ่ยขึ้นมา
“หอมเหลือเกิน ข้าจะกินเนื้อ” หลี่เอ้อร์เจี่ยเอ๋อร์ใช้มือหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน ท่าทางราวกับไม่ได้กินเนื้อมาหลายปี ในความเป็จริงแล้วพวกเขามีเนื้อกินเดือนละครั้ง
เงินที่สกุลหลี่หาได้นั้นแค่พอค่ากินอยู่เท่านั้น ทั้งครอบครัวมีแต่ผู้หญิง เงินที่หามาได้นั้นมาจากการทำนา แต่ในยุคนี้ชาวบ้านที่ยากจนที่สุดก็คือชาวนา ดังนั้นพวกเขาไฉนเลยจะหาเงินได้? ระยะนี้ที่เดือนหนึ่งกินเนื้อได้ครั้งหนึ่งนั้นยังเป็เพราะหลี่จงิที่ได้ให้เงินไว้หนึ่งร้อยตำลึง แต่ท่านย่าหลี่นั้นหัวหมอยิ่งนัก เนื้อที่กินเดือนละครั้งล้วนตระหนี่อย่างยิ่ง
ยามนี้หลี่ซื่อเหนียงตั้งครรภ์ ยังมีเนื้อให้กินมากมื้อขึ้นมาบ้าง ทุกคนเห็นแล้วก็น้ำลายไหล แต่กระทั่งท่านย่าหลี่ยังไม่กินเนื้อ แล้วจะมาถึงพวกเขาได้อย่างไร
กับข้าววันนี้ดีมากจริงๆ มีเนื้อเค็ม ปลา ไข่ไก่ และยังมีผักที่พบได้บ่อยๆ
“ท่านแม่ เนื้อเหล่านี้ให้ภรรยาของข้ากินนะ” หลี่อู่หลางมองแล้วก็น้ำลายไหล แต่เขายังคิดถึงภรรยาของตน จากสะใภ้สี่เปลี่ยนมาเป็ภรรยา เขาเรียกได้อย่างคล่องปากนัก
ป้าใหญ่หลี่สองสามีภรรยามาช่วยเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูใบไม้ร่วง ในใจคิดว่าหรือว่าเป็เพราะพวกเขา ดังนั้นท่านแม่จึงเพิ่มกับข้าวให้?
“ท่านแม่ วันนี้เป็วันอะไรหรือเ้าคะ?” อาหญิงเล็กหลี่ถือเป็คนที่ปกติที่สุดคนหนึ่ง
หลี่ซื่อเหนียงยกน้ำแกงออกมา ยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “วันนี้ลั่วเอ๋อร์ส่งคนนำสิ่งของมาให้ ท่านแม่จึงดีใจ” เมื่อก่อนนางเป็คนเงียบขรึม หญิงม่ายที่สามีตายจากไป ไหนเลยจะดีใจขึ้นมาได้ ยามนี้บุตรบุญธรรมดียิ่งนัก ในท้องยังมีอีกคนหนึ่ง แม้สามีจะเขลา แต่รู้จักรักและทะนุถนอมนาง อยู่ในครอบครัวนางก็มีที่ยืนแล้ว
“ภรรยา ข้ายกเอง” หลี่อู่หลางรีบเดินเข้าไป
หลี่ซื่อเหนียงยกน้ำแกงให้เขาถือ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เขา
สะใภ้รองหลี่ทำปากเบะ นางนั้นดูถูกหลี่ซื่อเหนียงนัก หญิงม่ายแต่งงานใหม่ก็ช่างเถิด แต่นี่กลับแต่งให้กับน้องชายของสามีตนเอง หน้าไม่อายนัก สะใภ้ใหญ่หลี่นั้นแม้จะเป็คนซื่อสัตย์คนหนึ่ง ทว่าในใจนางนั้นกระจ่างแจ้งนัก หากนางสามารถแต่งให้น้องชายสามีได้ นางก็ยินดี อย่างไรย่อมดีกว่าเป็หญิงม่าย
น้องสะใภ้รองนั้นริษยา เป็คนเขลายังให้ความสุขเล็กน้อยแก่สตรีได้ ส่วนอารองของนางนั้นขาพิการ ย่อมสู้คนเขลาไม่ได้ อีกทั้งยังเป็คนเขลาที่มีร่างกายกำยำล่ำสันอีก หากมีอะไรกันขึ้นมา...ไอโยว อย่ารุนแรงเกินไปนัก
ท่านย่าหลี่ในยามปกตินั้นมีสีหน้าเข้มงวดอยู่ตลอดเวลา ดวงตาเฉียบแหลมของนางมีความเข้มงวดอยู่หลายส่วน แน่นอนว่าหากบ้านหลังนี้ไม่มีนางที่มีนิสัยแข็งกร้าวเช่นนี้ ย่อมต้องแตกสลายไปนานแล้ว แต่วันนี้กลับปรากฏรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าและในแววตาของนาง เมื่อเดินมานั่งลงที่โต๊ะอาหารเสร็จก็ใช้มือดึงจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย ทำให้กำไลข้อมือหยกปรากฏแก่สายตาของทุกคน
กำไลข้อมือที่หลี่ลั่วนำมาให้นั้นดูแล้วมีราคายิ่งนัก ความจริงแล้วกำไลข้อมือหยกชิ้นนี้ไม่ได้มีราคาแพงมากนัก มีราคาราวๆ หนึ่งร้อยตำลึง เมื่อเทียบกับครอบครัวเล็กๆ แล้วสวมใส่แพงกว่าสิบกว่าตำลึง ไม่ใช่ว่าหลี่ลั่วตัดใจซื้อให้ท่านย่าหลี่ดีกว่านี้ไม่ได้ แต่เป็เพราะเหล่าไท่ไท่ในครอบครัวชาวนานั้นไม่เข้าใจสิ่งของเหล่านี้ หนึ่งร้อยตำลึงนั้นจึงเหมาะสมกับฐานะของนางแล้ว
“ไอโยว ท่านแม่ กำไลหยกของท่านงดงามยิ่ง ซื้อมาจากที่ใดกัน?” สายตาของสะใภ้รองหลี่แหลมคมราวกับปลายเข็ม
ท่านย่าหลี่ได้ฟังคำพูดนี้ ในใจนั้นมีความสุขยิ่งนัก “วันนี้หลานชายของข้าส่งคนนำสิ่งของมาให้ บ่าวรับใช้ที่มาส่งบอกว่า กำไลหยกนี้เขาไปเลือกให้ข้าโดยเฉพาะ”
สะใภ้รองหลี่ฟังแล้วในใจไม่ยินดี ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้น้อยลง “ลั่วเอ๋อร์ของพวกเราช่างกตัญญูจริงๆ ไม่เพียงแต่ส่งของกินมาให้ ยังมอบกำไลข้อมือให้ท่านแม่อีก ไอโยว ท่านแม่ช่างมีวาสนายิ่งนัก” พูดแล้ว นางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านแม่ ในเมื่อลั่วเอ๋อร์กตัญญูเช่นนี้ ไฉนจึงไม่เชิญท่านไปที่เมืองหลวงเล่า? หรือว่าเขาดูถูกพวกเรากันแน่?”
[1] ยามโหย่ว (酉初) คือการนับ่เวลาในสมัยจีนโบราณ เป็่เวลาั้แ่ 17.00 - 18.59 น.