หากตัดผู้ปกครองที่ดีส่วนน้อยออกไป ผู้ปกครองส่วนใหญ่ล้วนแต่มองบุตรของตนเองผ่านฟิลเตอร์[1]
ต่อให้เป็เด็กเลวทราม แต่ในสายตาของผู้เป็บิดามารดา พวกเขาคือเด็กตัวน้อยๆ
เมื่อได้ยินซูอินเอ่ยว่า “การยุยงคือผลของการก่ออาชญากรรม” ผู้ปกครองหลายคนจึงสอบถามถึงสาเหตุกับบุตรเลวทรามของตนเอง
“ใช่ ต้าหู่ของฉันขี้ขลาดมาก ปกติแม้แต่ตั๊กแตนยังไม่กล้าจับ จะต้องมีคน…ยุยงแน่ๆ ถึงเกิดเื่แบบนี้ได้”
ในหัวของซูอินมี “แก๊งัดำ” ที่เจอเมื่อชาติก่อนผุดขึ้นมาทันที มีครั้งหนึ่งมือขวาของแก๊งใกลัวตั๊กแตนจนวิ่งพล่าน หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองเธอก็คงไม่อยากเชื่อว่าอันธพาลที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน จะมากลัวแค่ตั๊กแตนตัวนิดเดียว
แต่ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็เื่จริง
เมื่อผู้ปกครองของต้าหู่เปิดประเด็น ผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็เริ่มแก้ต่างให้บุตรของตนเอง
สิ่งที่พวกเขาเอ่ยออกมาราวกับว่าเป็อันธพาลที่มีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน วันๆ ไม่ทำอะไร ลักขโมย เป็บุตรชายที่เหมือนกับลูกแกะตัวน้อย การกระทำที่เข้าไปขัดขวางการเข้าสอบของคนอื่นก็เป็เพราะมีคนยุยง
ส่วนคนที่ยุยงเป็ใคร ไม่ต้องพูดก็คงเข้าใจดี
เมื่อได้รับความไม่พอใจจากผู้คนมากมาย สีหน้าของตระกูลหลิงก็เปลี่ยนไปเป็ลำบากใจ
หลิงเมิ่งหน้าซีด ก้มหน้าจนแทบชิดลำคอ เมื่อเสียงที่อีกฝ่ายกล่าวหาเธอดังขึ้น ก็ยกมืออุดหูและเริ่มตัวสั่น
อู๋อู๋มองบุตรสาวด้วยความสงสาร เธอมองซูอินที่เป็ผู้จุดประเด็นก่อนจะทุบโต๊ะอย่างแรง
“จะรีดไถเงินงั้นหรือ ว่ามาสิ้าเท่าไร”
ในห้องไกล่เกลี่ยเงียบขนาดได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก
ซูอินอดหัวเราะไม่ได้
อู๋อู๋ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น เอ่ยออกมาอย่างเหลืออด “เอาละ เลิกเสแสร้งได้แล้ว บอกตัวเลขมา”
ใต้โต๊ะกลมหลิงจื้อเฉิงเตะเท้าของภรรยา เขาเผชิญหน้ากับซูอินด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“อินอิน แม่ของลูก…”
ซูอินพูดขัดขึ้นมาทันที “เธอไม่ใช่แม่ของฉัน ฉันไม่มีแม่ที่สูงส่งอย่างคุณหมออู๋หรอกค่ะ ในส่วนนี้พวกคุณน่าจะรู้ดีที่สุด!”
รอยยิ้มบนหน้าของหลิงจื้อเฉิงชะงักจนเกือบเห็นไม่ชัด จากนั้นเขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ลูกก็รู้ไม่ใช่หรือว่าแม่เป็คนอารมณ์ยังไง นิสัยตรงไปตรงมา อันที่จริงก็ไม่ใช่คนใจร้าย แต่ว่าอินอิน ลูกก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ของตระกูลซูไม่ใช่หรือ พวกเราเลี้ยงดูลูกมาตั้งสิบหกปี แม้ว่าจะจับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันก็เถอะ แต่ความรู้สึกตลอดสิบหกปีมานี้ไม่ใช่เื่หลอกลวง ลูกเลือกที่จะกลับไปอยู่กับบ้านที่แท้จริงของตนเอง นั่นเป็เื่ที่พอจะเข้าใจได้ แต่พวกเราทนเห็นลูกใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไม่ได้ ยินดีช่วยเหลือด้านการเงินภายในขอบเขตความสามารถของเรา ลูกคิดว่าตัวเลขเท่านี้พอไหม…”
หลิงจื้อเฉิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะบอกตัวเลขออกไป
จำนวนเงินนั้นมากพอที่จะพิสูจน์ความจริงใจของเขา
อันที่จริงจากการกระทำผิดของหลิงเมิ่ง ไม่จำเป็ต้องจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนี้ แต่หลิงจื้อเฉิง้าเชื่อมสัมพันธ์กับซูอิน การให้เงินมากสักหน่อยถือเป็การแสดงมิตรไมตรีที่ดี
เมื่อเขาเอ่ยจำนวนเงินก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องไกล่เกลี่ย แม้กระทั่งหลิวเหม่ยก็อดไม่ได้ที่จะออกความเห็นเกลี้ยกล่อมให้ซูอินยอมรับข้อเสนอ
แต่คนที่ยังคงมีท่าทีเช่นเดิมไม่เปลี่ยนคือหลินเฉวียนกับซูอิน
หลินเฉวียนรู้อยู่แล้วว่าซูอินไม่ได้ขัดสนเื่เงิน
ส่วนซูอินรู้ว่าตนเองไม่ได้ขัดสนเื่เงิน แม้ว่าตอนนี้มันอาจไม่ได้มากนัก แต่หลังจากนี้ค่อยๆ เก็บต่อไปก็ได้
แต่เื่ดีหลายๆ เื่ เมื่อพลาดแล้วก็จะพลาดตลอดไป
คนทะเยอทะยาน รักศักดิ์ศรี เื่ในวันนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของเธอ รวมไปถึงลมหายใจในก้นบึ้งหัวใจทั้งสองชาติ
ซูอินยิ้มกว้างกว่าเดิม “เงินมากมายขนาดนั้น ประทับใจจริงๆ”
เมื่อกวาดสายตามองสองแม่ลูกตระกูลหลิง เธอเห็นความเ็ปบนหน้าและท่าทีดูถูกจากพวกเขา
ซูอินทิ่มแทงพวกเขาโดยไม่ไว้หน้า “พวกคุณทำท่าแบบนั้นหมายความว่ายังไง คิดว่าฉันจะยอมรับจริงๆ หรือ จะบอกความจริงให้ ต่อให้พวกคุณให้ฉันอีกสิบเท่า ฉันก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจ”
ซูอินยืนขึ้นก่อนจะกางมือลงบนโต๊ะ “เงินถือเป็สิ่งที่ดี แต่มันซื้อเวลากลับมาไม่ได้ และไม่สามารถเปลี่ยนความเที่ยงธรรม ฉันไม่อยากได้เงิน ฉันแค่้าให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามสมควร!”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้ เธอจ้องหลิงเมิ่งเขม็ง
เห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เธอรู้สึกแค่ว่าส่วนลึกของจิติญญาช่างโล่งใจ
เมื่อเื่ราวมาถึงขั้นนี้ การไกล่เกลี่ยถือว่าล้มเหลว
เพราะคดีนี้เบื้องบนสั่งการด้วยตนเอง สถานีตำรวจก็ค่อนข้างให้ความสำคัญ ่เวลาไกล่เกลี่ยเหล่าอันธพาลที่ถูกคุมขังถูกสอบปากคำหลายครั้ง ซึ่งทุกอย่างชัดเจนมาก
ในเมื่อการไกล่เกลี่ยล้มเหลว จากนี้ก็ต้องเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
เื่นี้หากจะพูดให้ดูเป็เื่เล็กก็คงเป็การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน แต่หากจะพูดให้ดูใหญ่ขึ้น กลับมีจุดประสงค์เพื่อชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย
แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้พยายาม
หลิงจื้อเฉิงแสดงออกค่อนข้างชัดเจน
เป็เื่จริงที่บอกว่าหลิงจื้อเฉิงมีเส้นสาย แต่มันยังไม่แข็งแกร่งพอ เขากับอู๋อู๋จึงทำได้เพียงมองหลิงเมิ่งถูกใส่กุญแจมือ
ข่าวดีข้อเดียวสำหรับพวกเขาคือ ซูอินไม่ถูกทำร้ายจนาเ็ จึงถูกคุมขังแค่หนึ่งสัปดาห์
ซูอินค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์
อันที่จริงหากในตอนนั้นเธอได้รับาเ็ โทษของหลิงเมิ่งต้องหนักกว่านี้แน่ ซึ่งอาจกลายเป็คดีอาชญากรรม แต่เธอก็ไม่รู้สึกเสียใจ เธอไม่ได้รับาเ็ และยังได้เข้าสอบอย่างปกติสุขดี
หากเทียบกับการต่อสู้กับศัตรูที่สูญเสียหนึ่งพัน และตนเองสูญเสียถึงแปดร้อย จะอย่างไรเธอก็พอใจกับผลลัพธ์
ตอนที่นั่งรถของเ้าหน้าที่ตำรวจมา หลิงเมิ่งกลัวว่าจะติดคุก แต่อู๋อู๋ได้ปลอบให้รู้สึกดีขึ้น เธอจึงเกิดความกล้าขึ้นอีกครั้ง เมื่อผลลัพธ์ออกมา เธอต้องถูกจับ “เข้าคุก” จริงๆ ใน่เวลาสั้นๆ ของเช้าตรู่ ในใจเธอกลับขึ้นๆ ลงๆ ราวกับรถไฟเหาะ ในเวลานี้ไม่สามารถโต้ตอบได้ชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อถูกใส่กุญแจมือ เธอมองซูอินด้วยแววตาโกรธแค้น
ท่าทีของซูอินที่ไร้ซึ่งความรู้สึกกดดัน โล่งใจ หว่างคิ้วแสดงท่าทีที่ผ่อนคลาย
“ขอบคุณพวกคุณมากนะคะ”
ซูอินขอบคุณเ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีด้วยความจริงใจ ก่อนที่เธอจะหันไปมองหลินเฉวียน “คุณอาหลิน พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
หลินเฉวียนพยักหน้า หลังจากร่ำลาเ้าหน้าที่ตำรวจหลิวเหม่ย ทั้งคู่ก็ออกไปจากที่นั่น
เพิ่งก้าวออกมาถึงหน้าประตูสถานีตำรวจ พวกเขาก็ไล่ตามมา
“ซูอิน!”
อู๋อู๋คว้าข้อมือของเธอไว้แน่นจากด้านหลัง มองซูอินด้วยแววตาโกรธเคืองอย่างไม่ปิดบัง
“อย่าคิดนะว่าหลังจากที่เธอทำร้ายเมิ่งเมิ่งแล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็สุข”
“ฉันทำร้ายเธอเหรอคะ”
ซูอินดึงมือออก ก่อนจะมองข้อมือที่เป็รอยแดง น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจ “ไม่ใช่ว่าเธอทำตัวเองหรือคะ”
“มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่หาเื่ใส่ตัวก็ไม่ต้องเจอเื่ลำบาก ฉันขอบอกคุณไว้หน่อย แทนที่จะเอาเวลามาโกรธฉันอย่างไร้สมอง เอาเวลาไปสั่งสอนลูกสาวตัวเองไม่ดีกว่าหรือ เพราะอันที่จริงฉันไม่ใช่แม่ของหลิงเมิ่ง ไม่ได้ติดหนี้เธอ ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องยอมเธอ!”
เมื่อเอ่ยจบหลิงจื้อเฉิงก็ตามมา เขาขมวดคิ้ว ส่งสายตาให้อู๋อู๋ จากนั้นหันมามองแววตาของซูอิน ราวกับผู้ปกครองที่ใจกว้างมองบุตรสาวที่ไม่รู้ความ
“อินอิน เฮ้อ…เื่นี้ความจริงเมิ่งเมิ่งทำผิดก่อน หากลูกจะโกรธก็เป็เื่ธรรมดา แต่ว่าตอนนี้เมิ่งเมิ่งได้รับโทษ ลูกก็ควรหายโกรธได้แล้ว”
ซูอินพยักหน้าโดยไม่ปริปากพูดสักคำ
หลิงจื้อเฉิงถอนหายใจยาว “ดีแล้ว เมื่อครู่สิ่งที่ฉันพูดยังคงนำไปพิจารณาได้นะ พวกเราอยากเห็นลูกมีชีวิตที่ดี หลังจากนี้หากมีเื่ลำบากใจก็มาหาพวกเราได้เสมอ”
ไม่แปลกใจที่เป็นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ เขาพูดเก่งจริงๆ
ซูอินนับถือเขาจริงๆ หากไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์ละเลยความใส่ใจของอีกฝ่ายในชาติก่อน เธอคงรู้สึกประทับใจ
“ั้แ่เล็กจนโตฉันไม่เคยได้ใช้ชีวิตหรูหรา ออกจากตระกูลหลิงก็ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นชิน เอาละค่ะ พวกคุณก็มีเื่ยุ่ง ฉันไม่รบกวนเวลาของพวกคุณ”
เมื่อเอ่ยประโยคนั้นทิ้งไว้ ซูอินก็ไม่พูดอะไรให้ยืดยาว หมุนตัวเดินจากไป
--------------------------------------------------------------
[1] มองผ่านฟิลเตอร์ หมายถึง มองอะไรก็ดีไปเสียหมด เป็การมองผ่านฟิลเตอร์ที่ปกปิดความจริง เหมือนเวลาถ่ายรูปที่มักจะใช้ฟิลเตอร์เสริมให้ดูดีดูสวย แต่ความจริงไม่ได้เป็เช่นนั้น
