เช้าวันต่อมา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เซี่ยโม่ขี่จักรยานพาเซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยที่สวมเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่เอี่ยม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มกว้างไปยังโรงเรียนประถม
เซี่ยโม่วางแผนเอาไว้ว่าจะไปจัดการเื่เรียนของน้องชายที่โรงเรียนประถมก่อน แล้วถึงค่อยไปทำเื่ย้ายที่โรงเรียนมัธยมของเธอ
ถ้าวันนี้ที่โรงเรียนมัธยมยังไม่มีคนมาทำงานอีกเธอก็ค่อยไปพรุ่งนี้เช้า
ทันทีที่ขี่จักรยานไปถึงหน้าโรงเรียนประถม เธอบังเอิญได้เจอภรรยาของผู้ใหญ่บ้านที่พาบุตรชายมาสมัครเรียนเช่นกัน
เธอรีบลงจากจักรยาน เอ่ยทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็มิตร “คุณอาเหมยฮวา พาสือโถวน้อยมาสมัครเรียนเหรอคะ”
“เซี่ยโม่เองเหรอ เฉินเฟิงเข้าเรียนได้ไหม”
“เมื่อวานหนูมาแล้วรอบหนึ่ง คุณครูที่นี่บอกว่าวันนี้ให้ลองพามาแล้วค่อยว่ากันอีกทีค่ะ”
“ก็จริง เฉินเฟิงอายุยังน้อย ยังไม่ถึงวัยเข้าโรงเรียน แต่หมู่นี้ดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะ ทำให้ดูโตกว่าอายุเล็กน้อย”
“ใช่ค่ะ ความจริงหนูกับคุณยายยังไม่อยากให้เฉินเฟิงเข้าเรียน แต่เ้าตัวอยากไปโรงเรียนมาก หนูก็เลยตามใจแล้วลองพามาดูค่ะ”
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านกับเซี่ยโม่มอบรอยยิ้มให้แก่กัน ส่วนสือโถวตัวน้อยกับเฉินเฟิงก็จูงมือและแย้มยิ้มให้กันอย่างร่าเริง
ปีนี้สือโถวน้อยอายุเจ็ดขวบ อายุมากกว่าเซี่ยเฉินเฟิงสองปี
อาจเป็เพราะฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ตัวสือโถวจึงสูงและดูแข็งแรง ยามจูงมือเซี่ยเฉินเฟิง ทำให้ดูเหมือนพี่ชายจูงมือน้องชายไม่มีผิด
เซี่ยเฉินเฟิงล้วงลูกอมนมจากในกระเป๋ายื่นส่งให้สือโถวน้อย
“พี่สือโถว ผมให้ลูกอมครับ” ก่อนจะออกจากบ้าน พี่สาวเอาลูกอมนมใส่ในกระเป๋าของเขา บอกไว้ว่าถ้าเจอเพื่อนก็แบ่งลูกอมให้เพื่อนด้วยหนึ่งเม็ด
เขารู้จักและค่อนข้างสนิทสนมกับพี่สือโถว ทั้งได้ยินว่าอีกฝ่ายก็จะเข้าเรียนปีนี้ด้วยเช่นกัน เขานึกถึงคำพี่สาวขึ้นมาจึงแบ่งลูกอมนมให้อย่างไม่ลังเล
สือโถวน้อยรับลูกอมไป “รอให้ฉันมีลูกอม ฉันค่อยแบ่งให้นะ”
“ครับ” เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้า
เซี่ยโม่มองเด็กทั้งสองคนที่ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันดีก็ลอบยิ้มในใจ
พอสือโถวน้อยรับลูกอมไปก็ไม่ได้คิดเป็แค่ผู้รับ แต่กลับมีความคิดอยากตอบแทน แม้จะเป็แค่เื่เล็กน้อย แต่ก็ทำให้เห็นถึงนิสัยใจคอของเด็กคนนี้ได้เป็อย่างดี
ทั้งสี่คนเดินไปยังที่สมัครเรียน พอไปถึงเซี่ยโม่ก็ได้เจอกับชายชราผมสีดอกเลาคนเดียวกับเมื่อวาน
เธอจูงมือน้องชายพาเดินเข้าไปหา ก่อนจะส่งยิ้มทักทาย ”คุณครูคะ ฉันพาน้องชายมาแล้วค่ะ คุณครูลองดูนะคะว่าน้องฉันสามารถเข้าโรงเรียนได้ไหม”
ขณะเซี่ยโม่แนะนำน้องชายให้ชายชรารู้จัก เซี่ยเฉินเฟิงพยายามยืดอกให้ตัวดูสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชายชราแย้มยิ้มมองเด็กชายด้วยความเอ็นดู “เราชื่อเซี่ยเฉินเฟิงสินะ ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว”
“คุณครู ปีนี้ผมอายุห้าขวบย่างหกขวบครับ ผมอยากเข้าโรงเรียนจริงๆ ผมสามารถเข้าโรงเรียนได้ไหมครับ” เด็กชายพูดตอบเสียงดังฟังชัด
ชายชรายิ้มพร้อมกับถามต่อ “งั้นฉันขอถามหน่อย ถ้าเธอ้าไปชิ้งฉ่องจะต้องทำยังไง”
เด็กชายจำที่พี่สาวเคยบอกได้ จึงตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด “ก็ต้องไปเข้าห้องน้ำครับ”
“แล้วถ้าเป็ตอนกำลังเรียนอยู่ล่ะ”
เด็กชายหันไปมองพี่สาว ทว่าพี่สาวเอาแต่ทำหน้านิ่ง เฉินเฟิงตัวน้อยทำท่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ก็ต้องขออนุญาตคุณครูก่อน บอกว่าอยากจะไปเข้าห้องน้ำครับ”
“ดีมาก แล้วเราเขียนชื่อตัวเองได้ไหม” ชายชราพยักหน้าแล้วถามต่อ
เด็กชายพูดตอบอย่างภาคภูมิใจ “เขียนได้ครับ แล้วผมก็บวกลบเลขไม่เกินยี่สิบเป็ด้วยครับ”
ชายชราทำหน้าสนอกสนใจ “งั้นฉันขอทดสอบดูหน่อยก็แล้วกัน ฉันมีไข่ไก่สิบสามฟอง ต้มไปหกฟอง ไม่ระวังทำแตกสามฟอง ฉันจะเหลือไข่ไก่กี่ฟอง”
เซี่ยเฉินเฟิงทำหน้าราวกับว่า ทำไมคำถามมันง่ายแบบนี้ “คุณครูครับ คำถามนี้ง่ายเกินไปแล้ว ก็ต้องเหลือสี่ฟองสิครับ”
“ไม่เลว งั้นเขียนชื่อให้ฉันดูหน่อย” ชายชราส่งกระดาษกับปากกาให้
เซี่ยเฉินเฟิงใช้ปากกาเขียนชื่อตัวเองลงบนมุมด้านซ้าย ไม่เสียแรงที่ฝึกเขียนอยู่หลายวัน แม้จะดูออกว่าเป็ตัวหนังสือที่เด็กเขียนแต่ลายเส้นก็ชัดเจน เส้นไหนควรตรงก็ตรง เส้นไหนควรนอนก็นอน
เด็กชายตั้งอกตั้งใจเขียนอย่างหาเจอได้ยากในเด็กวัยเดียวกัน
ใบหน้าเรียบเฉยของชายชราฉายแววพึงพอใจ เขาคลี่ยิ้มพร้อมกับกล่าวชม “ไม่เลว เธอเข้าเรียนได้”
ไม่ไกลจากที่ทุกคนยืน หญิงวัยกลางคนแต่งตัวสกปรกมอมแมม ด้านข้างของเธอคือเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเนื้อตัวมอมแมมไม่ต่างกัน ทั้งคู่ได้ยินที่ชายชราพูดคุยกับสองพี่น้องหมดแล้ว
สองแม่ลูกเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่พอใจ หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามเสียงแหลมอย่างไม่ยอมความ “คุณครู ลูกชายฉันก็อายุห้าขวบเหมือนกัน ทำไมคุณถึงไม่รับลูกชายฉัน”
ชายชราหันไปมองหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายที่เพิ่งเดินเข้ามาก่อนจะตอบ “ลูกของคุณไม่เพียงดูแลตัวเองไม่ได้ ความรู้พื้นฐานอะไรก็ไม่มี ผมย่อมไม่รับอยู่แล้ว”
“ใครบอกว่าลูกชายฉันดูแลตัวเองไม่ได้ ความรงความรู้พื้นฐานอะไร ถ้าลูกฉันรู้เื่หมดทุกอย่างจะต้องส่งมาเรียนทำไม” หญิงวัยกลางคนเถียงกลับข้างๆ คูๆ
“คุณลองดูลูกของคุณสิ แม้แต่หน้าตาเนื้อตัวของตัวเองก็ไม่รู้จักทำความสะอาด เื่นี้คุณก็จะส่งเขามาให้คุณครูในโรงเรียนช่วยดูแลด้วยหรือ” ชายชราตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ทั้งหมดมองไปที่เด็กชาย หน้าตาเนื้อตัวมอมแมมยังพอว่า นี่ที่ตายังเกรอะกรังด้วยขี้ตา อีกทั้งเด็กชายยังกำลังพยายามสูดน้ำมูกที่ไหลออกมากลับเข้าไป เห็นแล้วน่าพะอืดพะอมเหลือเกิน
ทุกคนต่างขมวดคิ้วโดยพร้อมเพรียง
เห็นได้ชัดว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้เจตนาเอาลูกมาทิ้งไว้ที่โรงเรียนให้คุณครูคอยดูแล ไม่ได้คิดพาเข้าเรียนเพราะ้าให้ลูกเล่าเรียนศึกษา
ชายชราชี้ไปที่เซี่ยเฉินเฟิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “ทุกคนดูสิ อายุห้าขวบเหมือนกันแต่เด็กคนนี้แต่งเนื้อแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ทั้งยังมีความรู้พื้นฐาน เด็กที่รู้ความและใครเห็นก็ชื่นชอบแบบนี้ ต่อให้อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ผมก็รับ”
เซี่ยเฉินเฟิงที่ได้รับคำชมยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
เด็กชายมีฟันขาวเรียงเป็ระเบียบ ริมฝีปากปากแดงเรื่อ ใบหน้าเล็กกลมป้อม น่ารักน่าเอ็นดูเป็ที่สุด
พอเด็กทั้งสองมายืนอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ใครเห็นก็ต้องเอ็นดูเซี่ยเฉินเฟิงกันทั้งนั้น
หญิงวัยกลางคนลากลูกชายจากไปด้วยความเสียหน้า ระหว่างทางไม่วายด่าทอลูกชายไม่หยุด
เวลานี้เองสือโถวน้อยที่สมัครเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามาถามด้วยความอยากรู้ “เฉินเฟิง ตกลงนายเข้าโรงเรียนได้ไหม”
เซี่ยเฉินเฟิงยืดอกยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับเอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ผมเข้าโรงเรียนได้แล้ว!”
“งั้นก็ไปสมัครแล้วรับหนังสือ แม่พี่ช่วยพี่ทำเสร็จหมดแล้ว”
เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยิ่งทำให้เซี่ยโม่มั่นใจว่า ชายชราตรงหน้าคือผู้อำนวยการของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้
“เฉินเฟิง เราไม่ต้องใจร้อน เดี๋ยวพี่ไปจัดการให้”
ชายชราเขียนตัวหนังสือหนึ่งตัวบนกระดานก่อนจะยื่นส่งให้เธอ “เอากระดาษแผ่นนี้ไปตรงจุดสมัครเรียนนะ”
“ค่ะ” เซี่ยโม่รับกระดาษมา บนนั้นมีตัวหนังสือหนึ่งตัวซึ่งเขียนอย่างสละสลวยเอาไว้ว่า ผ่าน
เธอเดินไปตรงจุดรับสมัครนักเรียน ยื่นกระดาษที่ชายชราให้มาไปตรงหน้าคุณครูที่ประจำการอยู่ “คุณครูคะ คุณปู่ผมสีดอกเลาตรงนั้นคือใครเหรอคะ”
คุณครูหันไปมองก่อนจะเบิกตาโต “แม้แต่เขาเป็ใครเธอก็ไม่รู้จักเหรอ คนนั้นคือครูใหญ่ของโรงเรียนเรา”
เธอทำหน้าคล้ายเข้าใจเื่ราว จากนั้นขั้นตอนที่เหลือก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น
หลังจัดการเื่สมัครเรียนเสร็จแล้ว เธอพบว่าคุณอาเหมยฮวากับสือโถวน้อยยังคงรอพวกเธออยู่ เซี่ยโม่ถามสือโถวน้อยว่าเรียนอยู่ห้องไหน ปรากฏว่าเรียนอยู่ห้องเดียวกับเซี่ยเฉินเฟิงพอดี
เด็กชายทั้งสองต่างยิ้มร่าอย่างดีอกดีใจ
“คุณอาเหมยฮวาคะ คุณยายหนูทำเสื่อที่ด้านหน้าและด้านหลังของรถจักรยานเอาไว้ให้แล้ว ต่อไปหนูจะเป็คนพาสือโถวกับเฉินเฟิงมาส่งที่โรงเรียนเองค่ะ” เธอเอ่ยกับคุณอาเหมยฮวา
คุณอาเหมยฮวานิ่งไปชั่วครู่ ตอนแรกคิดว่าเซี่ยโม่มีจักรยานย่อมต้องขี่จักรยานพาน้องชายมาส่งโรงเรียน ส่วนบุตรชายของเธอถ้าให้ไปเรียนคนเดียวคงยากจะวางใจ เลยตัดสินใจว่าจะเป็คนไปรับไปส่งบุตรชายเอง
นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีเื่ดีแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ
“แบบนี้เราจะไม่เหนื่อยเกินไปเหรอ” ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถามด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ