ชาวบ้านทั้งหมดถูกขับไล่ออกไป รอบด้านซึ่งเคยมีโรงเตี๊ยม ร้านอาหาร แผงค้าขายยามนี้กลายเป็เศษซากปรักหักพัง เขตค้าขายกลายเป็โล่งว่าง
ปักษาเพลิงอวี้เทียนเฉินกล่าวต่อว่า
“ข้ารู้ว่าพวกเ้าสงสัยสิ่งใด เื่นี้เป็เื่เมื่อไม่กี่วันก่อน กลุ่มอำนาจนี้ไม่เคยปรากฏตัวออกมา จนกระทั่งเมื่อวันสองวันก่อน พอปรากฏตัวก็สามารถดึงคนไม่น้อยเข้ามาเป็พวก หากไม่ใช่หน่วยวานรมีจารชนแฝงอยู่ทุกแห่งหน ยังไม่สามารถรับรู้ถึงเื่นี้ได้”
จิ่งโม่พลันถามเสียงแข็งคล้ายไม่พอใจว่า
“เหตุใดมือปราบแขนเสื้อแดงจึงไม่รายงานเื่นี้ให้หน่วยอื่นทราบ กลับเก็บเงียบเอาไว้”
ยามปกติหากมีเื่ใหญ่เช่นนี้ ทุกหน่วยที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงต้องแบ่งปันข้อมูลความลับซึ่งกันและกัน อีกทั้งข่าวนี้ยังเป็เื่ใหญ่เหล่ามือปราบแขนเสื้อแดงพวกนี้กลับไม่บอกสิ่งใดแก่หน่วยอื่น หรือว่าคิดจะฮุบเก็บเื่แล้วสร้างความดีความชอบเพียงฝ่ายเดียว
ปักษาเพลิงอวี้เทียนเฉินแค่นเสียงเ็ากล่าวว่า
“ข่าวสารข้อมูลยังไม่ชัดเจน บอกไปหากเข้าใจผิด ไยไม่ใช่เป็ปัญหาของมือปราบแขนเสื้อแดงของข้า นี่ไม่อาจโทษผู้อื่นถ่ายเดียว พวกเ้าเองก็อยู่เมืองหลวง ไฉนไม่วางรากฐานสายลับไว้บ้าง กลับคิดจะพึ่งแต่ผู้อื่นเช่นนี้ ช่างน่าสมเพชนัก”
จิ่งโม่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใบหน้าดำคล้ำลงเล็กน้อย สองตาสาดประกายดุร้ายออกมา จิ่งโม่เืร้อน ส่วนอวี้เทียนเฉินเ็าชอบจิกกัด สองคนนี้โชคดีที่ไม่ได้อยู่หน่วยงานเดียวกัน มิเช่นนั้นคงทะเลาะกันทุกครั้งที่มีโอกาส
ก่อนที่สถานการณ์ย่ำแย่กู้หวายจึงแทรกหน้าเข้ามา แบ่งแยกความสนใจของสองคนนี้ออกไป ไม่ให้พวกเขาทะเลาะกัน กู้หวายกล่าวว่า
“ใช่แล้ว เมื่อครู่ใช่ฝีมือเทพปรากฏหรือไม่”
การแทรกหน้าเข้ามาของกู้หวายย่อมได้ผล ทั้งหมดพลันหันมามองไท้หยู ในใจทุกคนพลันคิดขึ้นมาได้ว่า ใช่แล้วเมื่อครู่พลังปราณแกร่งกล้าสายนั้น แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขาอีก ทั้งต้องให้ขันทีผมขาวผู้นั้นลงมือ คาดว่าคงเป็ยอดฝีมือระดับเทพปรากฏ ไม่เช่นนั้นขันทีผมขาวคงไม่จำเป็ต้องออกโรงเอง
หลิงเย่กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า
“ในเมืองหลวงมีเทพปรากฏอยู่ไม่กี่คน ทว่ายอดฝีมือเมื่อครู่ไม่ได้มีแนวทางและกลิ่นอายของเหล่าเทพปรากฏในเมืองหลวงแม้แต่คนเดียว เทพปรากฏผู้นี้อยู่ในกลุ่มอำนาจที่พยายามก่อร่างสร้างฐานในเมืองหลวงที่ว่างั้นรึ”
แค่คิดก็รู้สึกสยองแล้ว ระดับเทพปรากฏทรงพลังแข็งแกร่งเพียงใดเป็ที่รับรู้ของทุกคน แต่ละหน่วยงานที่ระดับสูงสุดล้วนเป็จิตไร้ขอบ มีเพียงแม่ทัพใหญ่และระดับสูงสุดของมือปราบแขนเสื้อแดงเท่านั้นที่เป็ระดับนี้
ทว่ากลุ่มอำนาจใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งนี้กลับมีระดับนี้อยู่ด้วย ดูท่าคงไม่ใช่เื่ธรรมดา
อวี้เทียนเฉินผงกศีรษะกล่าวว่า
“ใช่แล้ว อาจเป็คนนอก ทว่าระยะนี้คนนอกที่เป็ระดับเทพปรากฏไม่มีเดินทางเข้าเมืองหลวงมานานแล้ว”
สำหรับระดับเทพปรากฏนั้น หากเป็ยอดฝีมือจากนอกเมืองหลวง เข้าสู่เมืองหลวงจะถูกจับตามอง เพราะบุคคลระดับนี้หากก่อเหตุสามารถทำให้เมืองหลวงพังพินาศได้
ทุกคนตกสู่ภวังค์ครุ่นคิด ไท้หยูเองก็ครุ่นคิด ฟังจากสิ่งที่พวกเขากล่าวออกมาคล้ายว่าคนที่ลงมือนี้ไม่ใช่ยอดฝีมือระดับเทพปรากฏของเมืองหลวง สำหรับระดับเทพปรากฏนั้น มีน้อยจนสามารถงอนิ้วนับได้ ส่วนระดับเซียนนิรันดร์นั้นทั่วทั้งเจ็ดดินแดนมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ไม่ใช่ระดับที่สามารถไปถึงได้ง่ายนัก
ไท้หยูพลันกล่าวว่า
“อาจเป็ใครสักคนที่เพิ่งบรรลุระดับเทพปรากฏ หรือว่าเป็ยอดฝีมือที่เร้นตัว”
คำพูดของไท้หยูทำให้พวกเขาตื่นจากภวังค์ความคิด นี้มิใช่ข้อสันนิษฐานของเขาทว่าเป็ของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ตาเฒ่าผู้นี้บอกกับเขาว่าพลังของคนถือไม้เท้าเมื่อครู่ แปลกประหลาดไม่มั่นคง หากไม่ใช่ตัวตนที่แตกต่างออกไป คงเป็ระดับเทพปรากฏที่เพิ่งบรรลุได้ไม่นาน ยังไม่ชำนาญใช้พลังเทพ หาไม่ทันทีที่ปรากฏไท้หยูคงตายไปแล้ว
เขาไม่เคยประมือกับระดับเทพปรากฏมาก่อน ดังนั้นระหว่างรายละเอียดความแตกต่างของพลังเขาไม่สามารถรับรู้ได้ เพียงรับรู้ว่าตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้เท่านั้น
ไท้หยูกลับถามว่าตัวตนที่แตกต่างนั้นคืออะไร ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งบอกว่า ลมปราณของเขาอ่อนจางเหมือนผู้ที่ไม่สมบูรณ์ ทว่าไม่สมบูรณ์ในด้านใดนั้นไม่ทราบได้
ท่านไม่ทราบเช่นนั้นข้าจะรู้หรือ
จิ่งโม่สีหน้าบึ้งตึงอารมณ์ฉุนเฉียวยังไม่คาย พอได้ยินพลันแค่นเสียงกล่าวอย่างเ็าว่า
“คิดว่าระดับเทพปรากฏหากบรรลุระดับในเมืองหลวง เหล่ายอดฝีมือระดับสูงจะไม่สามารถรับรู้ได้หรือ”
ระดับเทพปรากฏจะบรรลุได้ต้องมีการสะสมพลังมหาศาล ยามเมื่อบรรลุระดับจะะเิพลังทั้งหมดที่สะสมเอาไว้ออกมา จากนั้นค่อยรั้งดึงกลับมาสู่ในกาย เมื่อครั้งที่บรรลุระดับเทพปรากฏแล้ว จะเกิดรูปร่างหรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินั้นขึ้นอยู่กับผู้ฝึกตนและสายที่ฝึก ขึ้นกับแนวทางมรรคาที่เลือกเดิน
กลับเป็ไท้หยูที่มองจิ่งโม่ผู้นี้ด้วยความฉงน เ้าไฉนมาลงอารมณ์กับข้าไปได้ ข้ามิใช่ผู้ที่แขวะเ้าเสียหน่อย ช่างคล้ายกับลูกคุณหนูในบ้านผู้สูงศักดิ์ ต่อยตีสู้ผู้อื่นไม่ได้กลับพาลใส่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง
จะว่าไปแล้วเ้าพวกนี้กรูกันเข้ามาเพื่อสนทนาพาทีกันเช่นนี้หรือ มิใช่ว่ายามนี้ต้องจัดการเื่ราวที่เกิดขึ้น สั่งคนสืบคดีตามหาผู้ร้าย เยียวยาผู้เสียหายที่บ้านเรือนพังพินาศและชาวบ้านที่ได้รับาเ็หรือ หรือว่าพวกเ้าลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์หน้าที่ของพวกเ้าคืออะไร
“หากจะหารือคราวหลังนัดแนะสถานที่กันดีหรือไม่ พวกเ้าดูไม่ออกหรือ ข้าและองครักษ์ของข้ารับาเ็ไม่น้อย” เมื่อรู้ว่าเ้าพวกนี้ล้วนเป็พวกสมองทึบก็คร้านจะใส่ใจสนทนาด้วยอีกต่อไป เขา้าฉีกตัวออกไป เว้นระยะเวลา่หนึ่งให้เหล่าระดับหนึ่งพวกนี้ออกไปตกปลาล่าเหยื่อ จากนั้นค่อยหวนกลับมาขอแบ่งปันปลากินด้วยเล็กน้อย โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยยังสามารถได้ปลากินเปล่าทั้งไม่ต้องเสี่ยงจะถูกจระเข้ริมบึงกัดเข้าให้
ทว่าทั้งสี่คนกลับเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า
“ยังไปไม่ได้!”
ไท้หยูชักเท้ากลับมองคนทั้งสี่ด้วยความสงสัย พวกเ้าอาศัยสิ่งใดมารั้งข้าไว้
“เหตุใดไปไม่ได้”
กู้หวายผู้ดูอ่อนโยนราวกับปู่ที่รักหลานยิ้มแย้มกล่าวเรียบเฉยว่า
“ท่านประมุขอาจอยู่ในสำนักนานเกินไปจึงไม่รู้เื่ ทว่าเมืองหลวงนี้มีธรรมเนียมปฏิบัติของเมืองหลวง”
ไท้หยูขมวดคิ้ว ธรรมเนียมปฏิบัติอันใดเ่าั้เกี่ยวข้องใดกับข้า จะอย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนของเมืองหลวงอยู่แล้วเพียงแค่มีอาณาเขตติดกันเท่านั้น ข้ายังต้องสนใจพวกเ้าหรือ
โบ๋เวินขยับใบหน้าที่ดำเมี่ยมเข้าใกล้กระซิบข้างหูไท้หยูสองสามคำ
ไท้หยูถึงกับสีหน้าบึ้งตึงสบถคำหยาบ มารดามันเถอะอยู่หลายครั้งในใจ ธรรมเนียมปฏิบัติอันใดก็แค่้าขูดรีดเงินจากผู้อื่นเท่านั้น คิดหรือว่าข้าเป็แพะอ้วนพีให้พวกเ้าขูดรีด
“ต้องขออภัยที่เสียมารยาทแล้ว ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เป็ที่รู้จักกันถ้วนหน้าหรือ ข้ากลับไม่เคยได้ยิน เช่นนี้ก็แล้วกัน หลังจากนี้ข้าคงปรากฏตัวที่เมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง คงต้องเข้าวังหลวงสอบถามหลินกงกง ขอให้เขาชี้แนะสักหลายคำ”
คำว่าหลินกงกงพอหลุดจากปาก ใบหน้ายิ้มแย้มพลันหุบลงเปลี่ยนเป็บึ้งตึง กลับเหลือไท้หยูเพียงผู้เดียวที่ยิ้มแย้มราวเด็กสัตย์ซื่อ ทว่าในรอยยิ้มสัตย์ซื่อแฝงความท้าทายเอาไว้
ดูว่าผู้ใดขวัญกล้ากว่ากัน พวกเ้ากล้าขูดรีดข้า ข้าประมุขพันปีจะให้ขันทีผมขาวผู้นั้นมาขูดรีดพวกเ้า เฮอะ ดูว่าใครจะถูกขูดจนเหลือแต่กระดูกขาว
โบ๋เวินกระซิบต่อเขาว่า เหล่าข้าราชการพวกนี้เมื่อออกมาทำงานหนึ่งครั้ง ไม่ว่าเป็ผู้เสียหายหรือผู้กระทำจะต้องจ่ายเงินให้สักหลายเหรียญทอง สิ่งนี้เรียกว่ากัน สินน้ำใจ เมื่อไม่ได้เรียกว่าเงินสินบนจึงไม่ผิดกฎ พวกเขาเรียกว่าเป็การให้โดยชอบทำ (บังคับ)
จิ่งโม่แค่นเสียงเ็าสะบัดหน้าจากไปคนแรก จากนั้นหลิงเย่ตามด้วยกู้หวาย ทุกคนต่างครุ่นคิดในใจว่า น่าเสียดายที่ไม่สามารถขูดรีดประมุขสำนักพันปี
อวี้เทียนเฉินยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหน ไท้หยูมองสำรวจเขาจากนั้นพลันถามว่า
“มีเื่ใดหรือ”
คล้ายกับมีเื่ตั้งใจจะกล่าวทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นยังไม่อยากเปิดเผยออกมา ยามนี้เหลือเพียงไท้หยูและเขาสองคนจึงคิดจะแบ่งปันแลกเปลี่ยน
“เื่นี้ต้องคุยเป็การส่วนตัว เช่นนี้เถอะ เ้ากลับไปรักษาตัว เมื่อหายดีแล้วเดินทางไปที่สำนักมือปราบ ข้าจะคอยเ้าอยู่ที่นั่น”
ไท้หยูครุ่นคิดว่า ในหมู่กเฬวรากยังมีผู้ที่ใช้ได้อยู่บ้าง อวี้เทียนเฉินผู้นี้มีคุณสมบัติพอให้คบเป็สหาย จึงผงกศีรษะตอบตกลง เมื่อพูดคุยเสร็จสิ้น เหล่าสามระดับหนึ่ง จิ่งโม่ หลิงเย่ กู้หวายล้วนจากไป เหลือเพียงอวี้เทียนเฉินที่ยังอยู่ คอยชี้นิ้วสั่งลูกน้องช่วยเหลือผู้ได้รับาเ็ จัดการโบกไม้โบกมือใช้พลังขจัดเศษซากที่พังทลายเ่าั้
อวี้เทียนเฉินเป็ผู้ฝึกยันต์คนหนึ่ง
ไท้หยูไม่ได้กลับไปยังสำนักพันปี ทว่าเดินทางไปนอกประตูเมือง เดินทางไปยังยอดเขาที่มีเมฆหนาปกคลุมตลอดทั้งปี ยอดเขาสูงถูกบดบังด้วยเมฆขาว
สำนักเมฆัยามนี้ก็ไม่ต่างจากสำนักพันปีสักเท่าไร เหล่าผู้าุโทั้งหมดล้วนตายหมดเกลี้ยง หนึ่งจากน้ำมือของไท้หยู อีกหนึ่งจากน้ำมือของโบ๋เวิน มีเพียงลูกศิษย์ที่เหลืออยู่น้อยนิดหลักร้อยคนเท่านั้น
“ช่างน่าเ็ปใจยิ่งนัก” ไท้หยูบ่นพึมพำออกมา
“น่าเ็ปจริงๆ” โบ๋เวินส่ายหน้ากล่าวรำพึงรำพัน
น่าเ็ปของทั้งสองไม่ได้เจ็บในเื่เดียวกัน ไท้หยูเ็ปที่คลังสมบัติที่สมควรเป็ของตนเอง นำไปเติมคลังสำนักพันปีถูกขันทีผมขาวน่าชังผู้นั้นกวาดไปจนหมดสิ้น
โบ๋เวินเ็ปที่สำนักอาจารย์ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนเสื่อมทรามเพราะฝีมือของศิษย์พี่ที่ไม่ได้เื่ทว่าไม่รู้จักยอมรับตนเอง กลับนำพาสำนักแทบจะล่มสลายไป หากไม่ใช่ตนเองได้รับอภัยจากขันทีผมขาวเล็กน้อย เกรงว่าสิ่งปลูกสร้างและรากฐานทั้งหมดของสำนักเมฆัคงได้หายไปในอากาศธาตุเหมือนสำนักพิรุณพายุเป็แน่