บนยอดเขาคุนหลุนที่หน้าผาที่สูงที่สุด ต้นไม้สูงสามฟุตหนึ่งต้นเติบโตโดดเดี่ยว
มันใช้สำริดเป็ดิน ดูดซับสารอาหารผ่านรากอันแข็งแกร่ง หล่อเลี้ยงทั้งต้นเขียวชอุ่มจนเรืองรอง
ลำต้นมีความหนาประมาณข้อมือถึงแม้ไม่สูงนัก ทว่าเปลือกลำต้นกลับเหมือนเปลือกไม้แก่ที่ปริแตก เรียงซ้อนเป็ชั้นๆ เหมือนเกล็ดปลา ให้ความรู้สึกแข็งแรงอย่างน่าประหลาดใจ
ใบของมันเหมือนกับว่าแกะสลักมาจากชิ้นหยกสีเขียว ในความล้ำค่าของมันแทรกไว้ด้วยจิติญญา ลักษณะของใบเหมือนกับมือของเด็กทารกที่ประคองน้ำค้างระยิบระยับ พอสายลมพัดมาบางเบา ก็เสมือนไข่มุกขาวสะอาดกลอกกลิ้งอยู่บนจานหยก
ตรงส่วนยอดของต้นไม้เล็กๆ มีดอกตูมขนาดเท่ากำมืออยู่ดอกหนึ่ง ทั่วทั้งดอกสีเงินยวง แต่มีแต้มสีทองอยู่ประปราย แม้รอคอยที่จะผลิบานอยู่ยอดผา หากก็ส่งกลิ่นหอมไปตามลมแล้ว งดงามยิ่งนัก
ต้นไม้ต้นเล็กงดงามยั่วยวน ยืนอวดโฉมอยู่อย่างสงบเงียบ
ฉู่เฟิงพยายามอยู่หลายครั้งหลายครา หากก็หาทางปีนูเาสำริดนี้ไม่ได้ เขาตัดสินใจเสี่ยงปีนขึ้นจากด้านที่เต็มไปด้วยก้อนหินง่อนแง่นด้านนั้น หากต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นก็อาจเอาชีวิตไปโยนทิ้งได้
เขาไต่ลงจากผาสำริดด้านนี้ลงสู่พื้นราบ เดินอ้อมูเาพลางแหงนหน้าสำรวจไปด้วย
“มันงอกอยู่บนสำริดได้ยังไงกัน?” ฉู่เฟิงขบไม่แตก
เขาได้แต่ถอยกลับมา โลกใบนี้เกิดเหตุผันแปรมากมายนับวันก็ยิ่งยากจะเข้าใจได้
ตอนนี้อารมณ์ของฉู่เฟิงสงบลงแล้ว เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงเื่ทั้งหมดนี้อย่างละเอียด ต้นไม้พิสดาร ูเาสำริดแปลกประหลาด ทั้งหมดนี้ไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง
เงาของใครคนหนึ่งผุดขึ้นในความคิด เพราะคนคนนั้นเคยพูดอะไรบางอย่างที่ตอนนั้นเขาไม่เคยใส่ใจ ทว่าตอนนี้กลับสะกิดใจเขาอย่างแรง
“สักวันหนึ่ง บางทีต้นหญ้าข้างทางสักต้นอาจออกผลสีแดงก่ำขนาดเท่ากำปั้น สิ่งธรรมดาที่พวกเราเห็นกันทุกเมื่อเชื่อวันอาจจะหายไป”
นี่เป็คำพูดของหลินนั่วอี เรียบง่ายเหมือนแค่พูดออกมางั้นๆ
ก็เหมือนกับตอนที่เธอบอกเลิกเขานั่นแหละ ไม่แยแส น้ำเสียงมีแววห่างเหิน เหมือนกับว่าเธอยืนกล่าวคำพูดนี้อยู่บนที่ที่สูงอย่างยิ่ง
ฉู่เฟิงนึกว่าเธอกำลังพูดถึงเื่ระหว่างพวกเขาสองคน ที่ไม่ว่าจะเป็การใช้ชีวิตหรือความรู้สึก ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
“คำพูดของเธอมีความหมาย?”
ในยุคหลังความรุ่งเรืองนี้ โลกเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ถึงแม้ผู้คนส่วนมากจะไม่รู้ความนัยอะไร หากยังมีคนส่วนน้อยที่ล่วงรู้ความจริง
หลินนั่วอีรู้อะไรกันแน่?
ภาพของเธอที่ผุดขึ้นในใจ ทำให้ฉู่เฟิงถอนใจออกมา แม้จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ
เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองไปทางยอดเขาสำริดที่มีสีประหลาด
คำพูดของเธอมีความหมายอะไรจริงหรือ เมื่อลองไล่ตามความคิดของเธอ สิ่งธรรมดาหลายอย่างอาจจะเปลี่ยนไป ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ไม่ธรรมดาั้แ่แรกอย่างต้นไม้ประหลาดนั่นล่ะ?
ต้นไม้ต้นเล็กนี่ก่อนหน้าที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง มันต้องผิดธรรมดาแน่นอน!
กรวดหินใต้ฝ่าเท้าลื่นอย่างยิ่ง ฉู่เฟิงเดินไปจนถึงขอบเขาสำริด จากตรงนี้หนทางยากลำบากเกินไป
ทันใดก็มีสายลมดุดันหอบหนึ่ง หนังตาของฉู่เฟิงกระตุกทันที เขาเห็นเงาดำปรากฏขึ้นมาจากพื้นดินตรงเข้าขัดขวางเขา
มีบางอย่างพุ่งเข้ามา!
ปฏิกิริยาของเขาว่องไว ร่างกายแข็งแรงพลิกหลบออกข้างทางโดยเร็ว เขากลิ้งตัวไปกับพื้น่หนึ่ง ระหว่างนี้ก็ดึงหน้าไม้ป้องกันตัวแบบพับเก็บได้ออกมา ประกอบเข้าอย่างรวดเร็วพร้อมใช้งาน
โลกภายนอก โดยเฉพาะเมื่อเดินทางโดยลำพัง จะขาดอาวุธป้องกันตัวได้อย่างไร ฉู่เฟิงแค่เพียงหมุนตัวก็ปล่อยลูกศรเหล็กออกไปพร้อมกับเสียง ‘ผึง’
พร้อมกันนั้น เขาก็เห็นว่ามันคืออะไร!
นกพันธุ์ล่าสัตว์สีทองตัวหนึ่ง ปีกที่สยายเต็มที่มีความกว้างห้าถึงหกเมตรส่องประกายสว่างไสว มันพุ่งลงมาจากฟากฟ้า เกือบจะขยุ้มตัวเขา
เสียงแต๊งจากลูกศรเหล็กที่ปล่อยออกไปเฉียดผ่านเ้าสัตว์ปีกที่หลบพ้น ปะทะเข้ากับหินสำริดเกิดประกายไฟกระจัดกระจาย
ขณะเดียวกัน กรงเล็บั์นั่นก็ขูดเข้ากับหินบนพื้น ส่งเสียงแสบแก้วหูชวนให้ขนลุกขนพอง มันทะยานขึ้นฟ้าเสียงลมพัดกระพือไปทั่ว
ฉู่เฟิงเสียวสันหลังวาบ เมื่อครู่หากไม่เพราะเขาตอบสนองฉับไว ก็คงถูกกรงเล็บนั่นขยุ้มเข้าเสียแล้ว ผลที่เกิดขึ้นนั้นสุดจะคาดเดา
พวกนกล่าสัตว์เหล่านี้สามารถขยุ้มกะโหลกของเหยื่อ อย่างกระต่ายป่าได้อย่างง่ายดาย ยิ่งนกสีทองขนาดั์อย่างนี้ ย่อมจินตนาการถึงพละกำลังของมันได้ เมื่อครู่หากว่าช้าไปเพียงก้าวเดียว เหตุการณ์คงเลวร้ายอย่างแน่นอน
ฉู่เฟิงถอยออกมาก่อน เลือกหาจุดที่ได้เปรียบ หลังแนบกับหินก้อนใหญ่จากนั้นมือถือหน้าไม้แบบพับได้ เล็งไปยังท้องฟ้าอย่างระมัดระวัง
ในอากาศ เ้านกสีทองวกกลับมา บินเฉียดูเาอย่างดุร้าย กระแสลมโหมแรง!
แต่ไรมา ไม่เคยเห็นนกขนาดใหญ่อย่างนี้มาก่อนเลย
ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็อินทรีสีทอง ไม่มีขนอุยทั่วตัวเปล่งแสงเรืองรอง ขนาดใหญ่จนน่าใ ทรงพลัง ลูกั์ตาสีทองสุกปลั่งดุร้ายอย่างที่สุด ในตัวของมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายโหดร้าย
แต่ทำไมอินทรีสีทองจึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่เทียบกับพวกมันกันเอง ยังนับได้ว่าผิดปรกติเกินไปแล้ว!
หากว่าเป็ในยุคโบราณละก็ บางเผ่าอาจยกย่องเ้าอินทรีสีทองนี่เป็ถึงพญาครุฑเลยก็เป็ได้
เพราะว่าในยุคที่คนโบราณเริ่มจดบันทึกก็มีการเกินเลยกันอยู่บ้าง นกพันธุ์ล่าสัตว์สีทองขนาดเมื่อกางปีกกว้างห้าหกเมตรนับได้ว่าเป็สิ่งพิสดาร หากเป็ในยุคนี้ล่ะก็จะต้องตกอยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะในเขตแดนเทือกเขาคุนหลุนนี่ ยิ่งต้องมีการตีไข่ใส่สีความลี้ลับเข้าไปอีก
นกั์สีทองดุร้ายอย่างมาก แต่มันไม่ได้พุ่งลงมาในทันทีทว่ากำลังบินวน มันมีสัญชาตญาณที่คมกริบ รับรู้ได้ถึงอานุภาพของหน้าไม้ที่อยู่ในมือของฉู่เฟิง
ทันใดนั้น ฉู่เฟิงก็ได้กลิ่นคาวอย่างหนึ่ง
เสือดาวหิมะสามตัวค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจากูเาด้านล่างอย่างไร้ซุ่มเสียง ดวงตาดำสนิทเป็ประกาย คราบเืยังคงอยู่ที่ปาก เขี้ยวคมขาวราวกับหิมะ เห็นได้ชัดว่าได้ล่าสังหารสัตว์บางอย่างมาก่อนหน้านี้
พวกมันมองฉู่เฟิงนิ่ง โก่งลำตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็มองไปทางนกสีทองที่อยู่บนท้องฟ้า แล้วส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมาอย่างน่ากลัว
เสือดาวหิมะทั้งสามตัวทรงพลังกว่าเสือดาวหิมะทั่วไปอย่างมาก กงเล็บที่แหลมคมส่งประกายเย็นเยียบ ร่างกายที่เต็มไปด้วยกำลังมหาศาลอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อมที่จะฆ่าเหยื่อได้ทุกเมื่อ
ฉู่เฟิงขมวดคิ้ว ไม่เคยนึกฝันว่าจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างนี้ บนท้องฟ้ามีอินทรีสีทอง บนพื้นดินมีเสือดาวจ้าวลมกรด สถานะของเขาน่ากังวลเป็อย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เสือดาวหิมะทั้งสามตัวพลันตัวสั่นเทา ขนคอตั้งชัน พวกมันกระโจนหนีไปหลบอยู่ในกองหินอย่างไร้ซุ่มเสียงใดๆ ก็ปรากฏจามรีตัวหนึ่งขึ้น สีดำปลอดทั่วทั้งตัว ขนสีดำดุจดั่งแพรเลื่อมพรายรายระยับ เขาคู่ใหญ่โตของมันชูขึ้นสูงสู่ฟ้า
นี่เรียกได้ว่าเป็าาแห่งจามรีสูงสามเมตรกว่า ขาทั้งสี่ล่ำสันแข็งแรง ร่างกายใหญ่โต ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างกับเป็ูเาสีดำขนาดย่อม
นี่ถึงกับทำให้ฉู่เฟิงแตกตื่น จามรีสีดำตัวมหึมาอย่างนี้ แต่ยามเดินกลับไร้ซึ่งซุ่มเสียงไม่ต่างกับเสือดาวหิมะ จู่ๆ ก็โผล่มาโดยไม่อาจล่วงรู้ได้ก่อนเลย
นอกจากนี้ เสือดาวหิมะสามตัวนั่นหวาดกลัวจามรีสีดำขลับตัวนี้อย่างมาก ถึงกับหลบซ่อนอยู่ในกองหิน ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง!
จามรีั์สีดำเงยหน้ามองดูนกสีทองบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง จากนั้นกลับยืนนิ่งมองไปทางยอดเขาสำริดไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
สัตว์ทั้งสามชนิดนี้ทำไมถึงมาที่นี่?
ฉู่เฟิงรู้ว่าตัวเองตกอยู่ท่ามกลางอันตราย ไม่คิดหุนหันพลันแล่น เขารอคอยจังหวะที่จะหนีไปจากที่นี่
ห่างออกไป มีเงาของสัตว์หกเจ็ดตัวกำลังตะบึงขึ้นมาบนูเาอย่างรวดเร็ว พวกมันเผยเขี้ยวขาวคมปลาบ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ถึงความดุร้าย
นั่นคือหมาป่าหกตัว สูงใหญ่กำยำกว่าหมาป่าทั่วไป ‘หัวหน้าหมาป่า’ ตัวขาวปลอดราวกับหิมะ มีแต่เพียงดวงตาเท่านั้นที่ส่องประกายเขียวแวววับ เห็นได้ชัดว่าดุร้ายอย่างยิ่ง
หลังจากพวกมันใกล้เข้ามา ก็ชะงักอยู่ชั่วครู่ พอเห็นจามรีั์สีดำก็ออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ยิ่งพอเห็นนกสีทองก็งุ่นง่านอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น ความเงียบก็ถูกทำลาย หมาป่าทั้งหกรวมกันพุ่งไปยังยอดเขาตามแนวเขตหินที่ไหลลื่น
พร้อมกันนั้น เสือดาวหิมะสามตัวก็เริ่มเคลื่อนไหว ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าทะยานไปยังูเาสำริด
ฉู่เฟิงกลับถอยหลัง เขาชิงจังหวะนี้หนีจากที่นี่
ปัง!
เสียงดังสะท้านะเื ส่วนหน้าของเสือดาวหิมะตัวหนึ่งบิดเบี้ยว เปรอะเปื้อนด้วยเื ถูกเหวี่ยงลงมาจากบนเขาด้วยฝีมือของเงาสีเหลืองเงาหนึ่ง
รวดเร็วดุจสายฟ้า ร่างที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน พุ่งเข้าไปในท่ามกลางฝูงสัตว์ร้าย
นั่นคือมาสทิฟฟ์ตัวหนึ่ง ขนคอทั้งหนาแน่นและยาว ดั่งแผงคอของสิงโตตัวผู้ก็ไม่ปาน มาสทิฟฟ์ตัวนั้นขนาดใหญ่ประมาณทิเบตัน มาสทิฟฟ์ อุ้งเล็บเต็มไปด้วยเืเสือดาว
ทว่ามันดุร้ายอย่างยิ่ง กระโจนครั้งหนึ่งพุ่งไปไกลหลายเมตร
เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้น โหยหวนอย่างยิ่ง หยาดเืกระจาย หมาป่าหนุ่มหนึ่งตัวถูกขย้ำที่คอจนขาดแล้วถูกเหวี่ยงปลิวไป
หมาป่าอีกตัวถูกมาสทิฟฟ์ชนกระเด็นไปกระแทกผาหิน หมดสภาพทันที
“นี่คือมาสทิฟฟ์ที่แท้จริงที่คนทิเบตพูดถึงสินะ!” ฉู่เฟิงตกตะลึง
ตามที่คนท้องถิ่นกล่าวไว้ มาสทิฟฟ์ที่แท้จริงดำรงชีวิตอยู่ในแดนเถื่อน สามารถต่อกรกับเสือและเสือดาวได้ หากมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ยากยิ่งที่จะมีคนพบเห็น
อีกทั้งมาสทิฟฟ์ตัวนี้ร้ายกาจกว่าคำเล่าลือมากนัก ว่องไวดุจสายฟ้า กระโจนเข้าไปในฝูงสัตว์ร้ายแค่เพียงััเท่านั้น ก็กำจัดเสือดาวไปหนึ่ง หมาป่าไปสอง
นี่คือาามาสทิฟฟ์ ฉู่เฟิงคาดเดา หรือไม่ก็ร้ายกาจยิ่งกว่า
มาสทิฟฟ์ตัวนั้นกระโจนอีกครั้ง ไปไกลถึงเจ็ดแปดเมตร กรงเล็บที่ทิ้งลงไปพละกำลังอาจเทียบเท่าหมีตะปบ เสียงพลั่กที่ดังขึ้นส่งผลให้ตาของหมาป่าตัวหนึ่งถูกตบกลิ้งออกไป
เมื่อร่วงลงสู่พื้น มาสทิฟฟ์ตัวนี้ก็ทะยานเข้าใส่เสือดาวหิมะตัวหนึ่ง เสียงคำรามน่าเกรงขาม พวกมันตะลุมบอนกันอยู่ตรงนั้น เป็การปลดปล่อยความบ้าคลั่งของสัตว์ป่า
เสือดาวหิมะล้มลงกลางกองเื ่ลำคอถูกกัดเหวอะหวะ ดูท่าไม่รอด
แต่มาสทิฟฟ์ตัวนั้นกลับไม่ได้รับาเ็เลย ขนตรงลำคอของมันพองฟูประหนึ่งแผงคอสิงโต ถึงมันจะตัวไม่ใหญ่นัก ทว่าเทียบได้กับซวนหนี1 ที่มีพละกำลังพิเศษ มันกระโจนลงไปในฝูงสัตว์ป่าอีกครั้ง
ฉู่เฟิงแทบจะไม่อยากเชื่อ ว่ามีสุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์ที่ดุร้ายทรงพลังถึงเพียงนี้! เพียงกระโจนขึ้นลงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถกำจัดสัตว์ป่าเ่าั้จนไม่เหลือ
เสือดาวหิมะตัวสุดท้ายก็ตายไปแล้ว เหลือแค่เพียง ”หัวหน้าหมาป่า” ตัวที่เหลือตาข้างเดียวตัวนั้น มันวิ่งไม่คิดชีวิตพุ่งทะยานลงจากเขา เพื่อหนีให้พ้นไปจากที่นี่
แต่ว่าใน่ระยะกระโจนไม่กี่ครั้ง มันก็โดนมาสทิฟฟ์ตัวนั้นตามทัน ปากใหญ่เต็มไปด้วยเือ้ากว้างขย้ำอย่างโหดร้ายเข้าที่คอของมัน จนหัวเกือบจะหลุดออกจากตัว
เช่นนี้ สัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวก็ถูกกำจัดไปภายในระยะเวลาอันสั้น
ฉู่เฟิงกำหน้าไม้แบบพับได้ไว้แน่น รอคอยอย่างจดจ่อ เตรียมพร้อมอยู่ตรงนั้น สถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไปแล้ว!
มาสทิฟฟ์ตัวนั้นสงบลงแล้ว ปากเต็มไปด้วยคราบเื แต่ไม่ใช่เืของมัน มันแน่นิ่งไม่ไหวติง แหงนหน้าขึ้นมองต้นไม้เล็กๆ บนหน้าผาสำริดต้นนั้น
ตัวมันเองไม่ได้ใหญ่โตมากมายแต่เห็นได้ชัดว่าดุร้ายอย่างยิ่ง แผงคอสีเหลืองอมน้ำตาลถูกย้อมจนแดงฉานด้วยเืของสัตว์ร้ายตัวอื่น น่าหวาดผวายิ่งนัก
ตลอดระยะเวลานี้ จามรีสีดำตัวนั้นเพ่งมองอยู่ที่ต้นไม้บนเขาสำริดอยู่ตลอดเวลา จากต้นจนจบไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย นิ่งอย่างถึงที่สุด
ส่วนนกสีทองตัวนั้นบินวนอยู่ในท้องฟ้า ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เฝ้ามอง ณ จุดนั้น
สิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งสามล้วนสงบนิ่ง ประหนึ่งว่ามีจิติญญาแห่งมนุษย์ที่รู้จักอดทนอดกลั้นได้อย่างดีเยี่ยม เป้าหมายก็คือต้นไม้เล็กๆ ต้นนั้น ทว่ากลับไม่ลงมือแต่อย่างใด เหมือนกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
ฉู่เฟิงประหลาดใจอย่างถึงที่สุด สัตว์ทั้งสามชนิดนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
*********************************************************************************
1 ซวนหนี บุตรัตนที่ 8 เป็ัแห่งควันไฟ รูปร่างเป็สิงโต ชอบนั่งนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวดูควันไฟ เปลวไฟ จึงนิยมนำมาประดับที่กระถางธูปหรือกระถางกำยาน