แสงแดดรำไรส่องผ่านเข้ามา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง กลิ่นหอมเย็นของกำยานจันทน์หอมกำลังลอยอบอวลชวนให้ผ่อนคลาย
อลิษาค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า หรี่ตาสู้กับแสงเพื่อที่จะมองว่าภาพเบื้องหน้าของเธอนั้นคือสถานที่ใดกันแน่ นี่คือห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล...หรือว่าเธอได้เสียชีวิตและล่องลอยขึ้นไปยังสรวง์เรียบร้อยแล้ว?
แต่เธอก็ต้องใเป็อย่างมาก เพราะบรรยากาศมันดูวินเทจแปลกตาอย่างน่าประหลาด ราวกับว่ากำลังหลุดเข้าไปมินิซีรี่ย์จีนโบราณที่เคยดูอยู่ตามแอพโทรศัพท์มือถืออย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นภาพๆ หนึ่งก็ไหลเข้ามาในสมองของอลิษา คล้ายกับว่าเป็กระแสความทรงจำของใครสักคน
ภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นเป็เงาของหญิงสาวไม่ผิดแน่...
ดรุณีน้อยรูปงามนางหนึ่ง กำลังย่างเท้าออกมานอกจวนในยามวิกาล พร้อมกับควันจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกับลมหายใจ
นางมองไปยังสระน้ำเบื้องหน้า แววตาสีออกเทาคู่งามแลดูมีความเหนื่อยล้าอยู่ในนั้น
“ข้าจะทำอย่างไรดี ท่านโหวกำลังจะกลับมาแล้ว...”
แม้จะบอกว่าให้ตัดใจจากบุรุษผู้นั้น แต่แววตาของนางช่างตรงข้ามกับสิ่งที่คิดเสียเหลือเกิน นางไม่อาจปล่อยวาง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คงไม่อนุญาตให้นางกลับไปอยู่เคียงข้างเขาในฐานะภรรยาอีกแล้ว
“ตู้ม!”
ดรุณีน้อยนางนั้นหายวับไปท่ามกลางความมืดที่หนาวเย็น เหลือไว้แค่เพียงผิวน้ำที่แตกกระจายใต้เงาจันทร์ที่เลือนลาง
อย่าบอกนะว่าสาวน้อยแสนสวยคนนี้กำลังจะฆ่าตัวตาย!
“ฮูหยิน ท่านฟื้นแล้ว!” เสียงที่ดังกังวานของใครคนหนึ่งเข้ามายังโสตประสาทของหญิงสาว ทำให้อลิษาหลุดออกมาจากกระแสความทรงจำของดรุณีน้อยที่มีนามว่า “ไป๋ลู่” ทันที
เมื่ออลิษาปรายตามองไปยังทิศทางของเสียง สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งปรี่เข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบ
“เ้า ผิงผิง?”
ในความทรงจำที่แวบเข้ามา ทำให้อลิษาได้รู้ว่าเด็กสาวตรงหน้ามีชื่อว่าผิงผิง ซึ่งเป็สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ติดตามร่างเดิมมาจากเมืองหลวง
ด้านหลังของผิงผิงนั้น ยังมีอีกชายสูงวัยคนหนึ่ง ดูจากท่าทางและย่ามใบใหญ่ที่สะพายแล้วน่าจะเป็หมอ ทั้งสองคนนั้นสวมชุดประหลาดอย่างกับในซีรี่ย์จีนที่เคยดู อย่างกับทะลุมิติมาอย่างไรอย่างนั้น...
เดี๋ยวนะ ฉันทะลุมิติมาอย่างนั้นหรือ!!
“ผิงผิง เ้าช่วยบอกข้าฟังอีกทีสิ ว่าที่นี่คือที่ไหน?”
ก่อนที่สมองจะทันคิด อลิษาต้องชะงักไปทันที…หัลงจากที่เสียงของหญิงสาวถูกเปล่งออกมา
เดี๋ยวสิ เสียงนั้นมัน…จีน? เธอพูดภาษาจีนได้ั้แ่เมื่อไหร่!
“ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือเ้าคะ?”
“ข้า... เอ่อ... ข้า...”
เสียงของอลิษาสั่นเล็กน้อย ขณะที่พยายามรวบรวมสติ แต่คำพูดของบ่าวสาวที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้เธอยิ่งประหลาดใจ
“ท่านหมอบอกว่าอาการป่วยของท่านกำเริบเพราะจมน้ำเ้าค่ะ ตัวท่านนั้นสลบไปร่วมเจ็ดวันแล้ว”
“จมน้ำ? สลบไปเจ็ดวัน?” อลิษาทวนคำ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หญิงสาวอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความใ สมองเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่แล่นวูบวาบเข้ามา แต่เหมือนคำพูดเ่าั้ถูกพันธนาการไว้ในลำคอ
นี่มันเื่จริง... หรือว่าเรากำลังฝันไป?
เธอได้แต่คิดในใจ เพราะความจริงตรงหน้านั้นดูเลือนรางและยากจะยอมรับ
แม้จะอยากโวยวายกรีดร้องเหมือนในละครมากเพียงใด แต่อลิษาก็เลือกที่จะไม่ทำ เพราะแต่เดิมเวลาที่เธอต้องเผชิญปัญหา ไม่ว่าจะหนักเบาเพียงใด ก็ไม่มีใครสักคนที่คอยรับฟัง นานวันเข้าเธอจึงกลายเป็คนนิ่งเงียบไปในที่สุด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอได้แต่เก็บปัญหาที่แก้ไม่ตกไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวเหมือนกับทุกครั้ง
“ฮูหยินเ้าคะ ได้เวลาไปชำระกายแล้วเ้าค่ะ หากปล่อยให้ท่านโหวรอนานเกินไป เกรงว่าเขาอาจจะพาลโกรธเอาได้”
“ท่านโหว?” อลิษาในร่างของไป๋ลู่ทวนคำด้วยความงุนงง ดวงตาสีเทาคู่งามนั้นกำลังฉายแววประหลาดใจ
“เ้าค่ะ ท่านโหว...สามีของท่านกลับมาแล้ว” ผิงผิง บ่าวผู้ซื่อสัตย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาเจื่อน ใบหน้าพยายามฝืนยิ้มอย่างระมัดระวัง
เดิมเ้าของร่างนี้มีนามว่าไป๋ลู่ เป็บุตรสาวสุดที่รักของเสนาบดีกรมคลังไป๋เซียง และยังมีศักดิ์เป็ถึงหลานสาวของไทเฮา นางถูกมอบสมรสพระราชทานมาให้กับท่านโหวแห่งดินแดนเหนือ นามว่า “หวังจิ่นหรง”
เนื่องจากเขาได้สร้างคุณงามความดี ปกป้องหัวเมืองเหนือได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาจึงต้องจำใจรับนางมายังดินแดนเหนือเพื่อมาเป็ฮูหยินแห่งจวนโหวนี้
ในความทรงจำของร่างนี้ เหมือนว่าไป๋ลู่นั้นจะทั้งเคารพรักและกลัวท่านโหวคนนี้ เพราะเขาเป็คนที่มีชื่อเสียงเื่ความเผด็จการและโหดร้ายเป็อย่างมาก
ั้แ่แต่งงานกันมาสามปี หวังจิ่นหรงไม่เคยพำนักอยู่ในจวนแห่งนี้แม้แต่คืนเดียว เพราะเขามีเหตุด่วน...ทำให้ต้องไปออกรบอย่างเร่งด่วนั้แ่คืนแรกที่เข้าหอ จึงทิ้งฮูหยินน้อยเช่นนางให้อยู่โดดเดี่ยวลำพังภายในจวนกว้างใหญ่แห่งนี้
เห็นว่าในวันมงคลสมรสนั้น กลับมีชนเผ่าที่ชื่อว่า “เซวียนหยา” ซึ่งเป็ชนเผ่าที่ขึ้นชื่อว่าป่าเถื่อนบุกมาประชิดเมือง เพราะพวกเขาต้องทนกับสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปีและความแห้งแล้ง ทำให้พวกชนเผ่าเซวียนหยานั้นมุ่งมั่นที่จะยึดครองเมือง “หลิงเสวี่ย” ดินแดนสำคัญทางตอนเหนือ ซึ่งเป็ที่พำนักของท่านโหวและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง
หลังจากที่นั่งและนอนทำใจอยู่หลายชั่วนาที อลิษาจึงตัดสินใจที่จะสวมรอยเป็ไป๋ลู่และใช้ชีวิตที่นี่ไปก่อน หากในวันหน้าสามารถหาหนทางไปได้ ค่อยว่ากันอีกที
สักวันเธออาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมที่จากมาก็เป็ได้...
อีกฟากฝั่งหนึ่งของจวน ในศาลาเล็กริมสวนใหญ่ที่มีดอกเหมยแดงบานสะพรั่งท้าลมหนาว เอกบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคอยฮูหยินของเขาอยู่บนโต๊ะหินทรงกลมที่มีอาหารวางอยู่เรียงราย
ดวงตาเฉี่ยวคมสีทองอร่าม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดอย่างเป็ระเบียบในชุดสีแดง ซึ่งเป็สีประจำตัวของโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง”คือแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ได้รับบรรดาศักดิ์โหวสืบต่อจากบิดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน
“ท่านโหวขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะก้าวเข้ามายังศาลาเล็ก เพื่อนำข่าวมาแจ้งแก่ผู้เป็นายของเขา
“ว่าอย่างไร หานชิง” หวังจิ่นหรงปรายตามองไปยังคนสนิทของเขา โดยที่สายตานั้นยังคงมองตรงไปยังทางด้านหน้า ราวกับกำลังจดจ่อรอคอยการมาถึงของใครบางคน
“ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กองทัพ มีพลทหารคนหนึ่งทำผิดพลาดขอรับ เขาดื่มสุราจนเมาและเผลอแพร่งพรายแผนการของพวกเราออกไป”
“ข้าเกลียดคำว่าผิดพลาดยิ่งนัก!” เสียงทุ้มต่ำดูนุ่มลึก แต่ทว่ามันกลับเจือไปด้วยความเดือดดาลอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ท่านโหวจะให้ข้าทำอย่างไรกับพลหารผู้นี้ดีขอรับ?”
“ในสนามรบ ความผิดพลาดหมายถึงชีวิตของทั้งกองทัพ" หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มือของเขานั้นกำแน่นด้วยความเดือดดาล ในชีวิตอันสมบูรณ์และดีงามของเขา คำว่าผิดพลาดไม่เคยปรากฏแก่เขามาก่อน
"ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีสิทธิ์อยู่ในกองทัพของข้า! โบยและจับมันโยนออกนอกกองทัพเสีย!"
“หานชิงน้อมรับคำสั่งจากท่านโหว" กล่าวจบ ชายหนุ่มจึงก้าวออกจากศาลา มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารของกองทัพทันที
หวังจิ่นหรงกำลังนั่งชงชาเพื่อฆ่าเวลา เนื่องจากวันนี้เขาไม่มีความจำเป็ต้องไปยังกองทัพแต่อย่างใด จึงอยากมาพบหน้าภรรยาแต่งของเขา เพื่อทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน
เนื่องจากหลังพิธีคำนับฟ้าดิน เขาก็เหตุให้ต้องไปจากจวน กว่าจะกลับมาอีกที เวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามปีแล้ว
ฝ่ามือด้านล่างใกล้ฐานนิ้วที่กำลังยกป้านน้ำชาอยู่นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของาแเนื่องจากการจับดาบแน่นเป็เวลานาน และเต็มไปด้วยรอยแผลเป็เล็กๆ นับไม่ถ้วน
“เหตุใดถึงมาช้า สตรีเมืองหลวงไม่ได้รับการอบรมเื่ความตรงต่อเวลามาหรืออย่างไร” พูดจบก็ถอนหายใจ เขาไม่ใช่บุรุษที่จะมาอดทนนั่งรอคอยสตรีในห้องหอเสียหน่อย
“ฮัดชิ่ว!” ดรุณีน้อยกำลังจามในขณะที่ผิงผิงกำลังบรรจงแต่งตัวให้ ผิงผิงนั้นเป็บ่าวเพียงคนเดียวที่ติดตามร่างเดิมจากจวนเสนาบดีไป๋เซียงมาที่แดนเหนือแห่งนี้
“คุณหนู.. ไม่สิ ฮูหยินเ้าคะ ท่านไม่สบายหรืออย่างไร?” สายตาและท่าทางลนลานของผิงผิงนั้นช่างน่ารักเสียจริง ไป๋ลู่คนใหม่หรืออลิษานั้นอมยิ้มให้กับการกระทำนั้นอย่างอดมิได้
ความเป็ห่วงจนเกิดอาการวิตกจริต สำหรับใครหลายๆ คนนั้นอาจจะมองว่าน่ารำคาญและอึดอัด แต่หญิงสาวกลับรู้สึกดีใจและตื้นตันใจเป็อย่างมากที่มีคนวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตน เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครเคยนึกห่วงใยตนมาก่อน
“ข้า...มิเป็อะไรหรอก คงจะมีใครสักคนกำลังนินทาข้าลับหลังอยู่กระมัง”
“นินทา? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาการจามหรือเ้าคะ”
“ก็โบราณเขาบอกกันว่า เวลามีใครนินทาเราๆ ก็มักจะจามออกมา”
“บ่าวไม่เคยได้ยินนะเ้าคะ ฮูหยิน” ผิงผิงเอียงศีรษะเล็กน้อย สีหน้าฉงนเหมือนพยายามทำความเข้าใจคำพูดแปลกๆ ของนาง
“เ้าเรียกอย่างอื่น ที่ไม่ใช่คำว่าฮูหยินได้ไหม ข้าฟังแล้วขนลุกชอบกล”
ก็แน่สิ ั้แ่เด็กจนโต จนกระทั่งตายแล้วมาโผล่ในโลกนี้ หญิงสาวยังไม่เคยมีคนรักหรือแฟนเลยสักคน จู่ๆ จะให้มาเป็ภรรยาของใครสักคน มันก็รูสึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ไป๋ลู่คนใหม่ได้หันไปมองตัวเองในกระจกกลมสีทองอร่ามบานใหญ่ ความงดงามของร่างเดิมนั้นงดงามมากจนถึงกับต้องอุทานออกมา
“สวยมาก!” หากบอกว่าดรุณีน้อยผู้นี้เป็โฉมสะคราญอันดับของเมือง นางคงจะเชื่ออย่างหมดหัวใจ เรือนผมสีดำเหมือนกับปีกของอีกา ดวงตำสีเทาอ่อนราวกับเงาแสงจางของทะเลสาบในฤดูหนาวชวนให้หลงใหล ไหนจะผิวกายที่ขาวราวกับหยกเนื้อดี
เสียอย่างเดียวคือไป๋ลู่นั้นยังดูเป็เด็กมากเกินไป มองผ่านๆ เหมือนกับเด็กวัยรุ่นอายุไม่เกินสิบแปดปี หากแม่ทัพผู้องอาจอย่างท่านโหวจะไม่นิยมชมชอบ นางก็ไม่แปลกใจ
ถ้าประมวลจากความทรงจำเดิม ตอนที่ไป๋ลู่คนนี้ออกเรือนมาคงจะมีอายุประมาณสิบห้าปี ซึ่งน่าจะเด็กเกินไปสำหรับการมีครอบครัว ดูท่าหลังจากพ้นวัยปักปิ่นนางก็ได้รับสมรสพระราชทานทันที
ชีวิตของดรุณีน้อยนั้นถูกกำหนดไว้ั้แ่ยังไม่ทันเติบโต ความฝันและความรักคงกลายเป็สิ่งต้องห้ามสำหรับสตรีที่ถูกส่งตัวมาแต่งงานต่างเมืองเช่นนาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้