ตอนเด็กเขามักจะคิดอยู่เสมอว่าตราบใดที่แม่ยังอยู่ เขาเองก็ยังมีที่พึ่งพิง ทว่าถึงอย่างไร่เวลาที่ยากลำบากที่สุดนั้นก็ล้วนข้ามผ่านมาได้ทั้งหมดแล้ว แต่ในตอนนี้สถานการณ์กลับตรงกันข้าม กลายเป็แม่ต้องมาพึ่งพาเขา แต่พูดให้ถูกก็คือ พึ่งพาซึ่งกันและกัน หากฝ่ายไหนขาดใครคนใดคนหนึ่งไปต่างก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตให้ดีต่อไปได้เลย
อดทนต่อความโดดเดี่ยวคำนี้มันช่างพูดง่าย แต่จะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวต่อไปอย่างไรนั้นมันไม่ใช่เื่ง่ายเลยจริงๆ
โชคดีที่เขายังมีชวีเสี่ยวปอ
แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซี่ยเจิงกลับถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง อารมณ์ที่ไม่ค่อยคงที่ของแม่ บวกกับท่าทีที่ไม่ดีเท่าไหร่นักของตัวเองเมื่อครู่นี้ ทำให้เซี่ยเจิงกลัวว่าอีกเดี๋ยวถ้าเขาออกไปแล้วจะเกิดเื่อะไรขึ้น และกำลังคิดจะบอกชวีเสี่ยวปอว่าแผนการของวันนี้เกรงว่าจะต้องยกเลิกไปก่อน
“ลูกโทรหาใครน่ะ? ” แม่ของเซี่ยเจิงเห็นเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จึงถามออกไป
“มีเื่นิดหน่อยครับ” เซี่ยเจิงตอบออกมาเสียงอู้อี้ ขณะนั้นก็ปัดมือถือไปด้วย
“จะออกไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ? ” แม่ของเซี่ยเจิงเอ่ยขึ้นต่อ “กับชวีเสี่ยวปอใช่ไหมล่ะ? ”
“......” เซี่ยเจิงแสดงสีหน้ากับแม่ของเขาว่า “มันอธิบายยาก” พลางเอ่ยขึ้นว่า “แอบฟังผมคุยโทรศัพท์เหรอ” อีกทั้งยังรู้สึกโชคดีขึ้นมาในใจที่ตอนโทรศัพท์เขาไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป
“แค่บังเอิญเอง” ในที่สุดแม่ของเขาก็ยิ้มขึ้นมาแล้ว “เดาได้เลยว่าเป็เสี่ยวปอ ลูกจะโทรหาเขาทำไม? เขาชวนลูกไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ? รีบไปเถอะ อย่าให้เขาต้องคอยเลย”
“ไม่ไปแล้วครับ” เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเจิงไม่อยากพูดออกมาตรงๆ “มีเื่นิดหน่อย”
“มีเื่อะไร? กลัวว่าแม่จะเป็อะไรเหรอ? ” คิดไม่ถึงว่าแม่จะเอ่ยความจริงออกมาโต่งๆ อย่างไม่ใส่ใจอะไรเลยเช่นนี้ เธอเท้าเอวพลางแสดงพลังออกมาเล็กน้อย : “แม่ไม่เป็ไร! อีกเดี๋ยวจะไปหาป้าหลี่ด้วย ลูกไปเถอะ ไปเที่ยวกับเสี่ยวปอ ลูกอยู่กับเขาจะได้มีความสุขขึ้นหน่อย”
“ฮะ? ” เซี่ยเจิงผงะไป “อะไรนะครับ? ” คงน่าจะเป็เพราะการใช้คำของแม่ดูเรียบง่ายตรงไปไปตรงมาเกินไปหน่อย แต่เมื่อสมองของเขาทำการกลั่นกรองและตั้งใจดึงเอาคำว่า “คบกับเขา” นี้ออกมา เซี่ยเจิงก็เกรงมือจิกเท้าขึ้นมาอย่างกระวนกระวายใจทันที หลังจากผ่านไปหลายวินาทีถึงจะรู้สึกตัวว่า ที่แม่พูดมันไม่ได้มีความหมายเหมือนอย่างที่เขาคิด
“ไม่ใช่หรือไง? ” แม่หัวเราะ “แม่เห็นลูกกับเสี่ยวปอคุยกันถูกคอมาก แล้วลูกเองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่ด้วย”
“พูดเหมือนกับว่าผมรักสันโดษเลยนะครับ” เซี่ยเจิงเม้มนปาก
“ประเด็นสำคัญคือเสี่ยวปอ เด็กคนนี้เป็เด็กดีมาก ทั้งใจดีทั้งรู้เื่รู้ราว” แม่ของเซี่ยเจิงเอ่ยชมชวีเสี่ยวปอขึ้นมายกใหญ่ “มองบแวบแรกก็รู้เลยว่าเป็ลูกหลานของครอบครัวที่มีตังค์ แต่กลับไม่ถือตัวเลยสักนิด ทั้งยังไม่มีนิสัยเสียๆ เลยด้วย”
เซี่ยเจิงแอบจำพูดเหล่านี้ไปอย่างเงียบๆ เตรียมที่จะเอาไปบอกชวีเสี่ยวปอตอนเจอหน้ากัน ดูสักหน่อยว่าคำพูดเหล่านี้มันตรงกับเขาตรงไหนกันแน่ แต่แน่นอนว่า เซี่ยเจิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดวิจารณ์ขึ้นมาในใจอยู่ตลอด :
ที่จริงนิสัยก็เสียอยู่นะ นึกจะโมโหก็โมโห แม่ไม่เห็นเขาที่เป็แบบนั้นสักหน่อย
แต่ท่าทีของแม่ที่มีต่อชวีเสี่ยวปอเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่แม่ของเขารู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอดีไปหมดซะทุกอย่าง ในอนาคตจะทำให้รับมือมือได้ยาก
ถ้าเกิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนถูกเปิดเผยขึ้นมาในวันหนึ่ง คำเหล่านี้จะยังสามารถพูดออกมาจากปากแม่ของเขา และยังจะใช้คำเหล่านี้กับชวีเสี่ยวปออีกครั้งได้อยู่หรือเปล่า?
ความจริงแล้วต่อให้โจวเจ๋อหยวนไม่พูดขึ้นมาในวันนั้น เซี่ยเจิงเองก็เคยครุ่นคิดถึงปัญหานี้เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ในขณะนั้นเขาคิดว่ามันยังอีกยาวไกล เอาแน่เอานอนไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีทางแก้ไขได้เลย... แต่ในตอนนี้ แม่ดูออกแล้วว่า เขาจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้อยู่กับชวีเสี่ยวปอคนเดียวเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือ :
ลูกสองคนสนิทกันมาก แม่รู้
ถึงขนาดที่เซี่ยเจิงรู้สึกกังวลขึ้นมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและชวีเสี่ยวปอ แม่จะดูออกได้ในสักวันหรือเปล่า
ช่างเถอะ อย่าไปกลัดกลุ้มกับเื่ที่ยังไม่เกิดขึ้นเลย
เซี่ยเจิงพาแม่ไปส่งที่บ้านป้าหลี่ จากนั้นจึงเรียกรถตรงไปยังร้านหม้อไฟที่นัดกันเอาไว้
………………………….
ถึงแม้ว่าจะเลย่เวลาทานอาหารมาแล้ว แต่เนื่องจากเป็วันหยุดสุดสัปดาห์ ลูกค้าในร้านหม้อไฟจึงไม่ได้ดูน้อยลงไปเลย ในตอนที่เซี่ยเจิงเดินเข้ามาก็เห็นว่าในร้านยังมีโต๊ะว่างอยู่อีกประมาณห้าหกโต๊ะ ส่วนชวีเสี่ยวปอก็นั่งอยู่ตรงโต๊ะที่อยู่มุมขวาของร้าน พร้อมทั้งกำลังมองมายังประตู หลังจากเห็นเซี่ยเจิงเดินเข้ามา จึงรีบลุกขึ้นโบกมือให้เขาทันที
“รอนานไหม? ” เซี่ยเจิงถาม
ทันทีที่เขานั่งลง ชวีเสี่ยวปอก็ดันเมนูอาหารไปอีกฝั่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีอาหารวางเรียงรางอยู่บนโต๊ะจำนวนไม่น้อยแล้ว แต่ชวีเสี่ยวปอก็ยังพูดขึ้นว่า : “ฉันเพิ่งจะนั่งได้แค่ห้านาทีเอง นี่ นายสั่งอย่างอื่นเพิ่มได้เลยนะ”
“ฉันแค่มากินเป็เพื่อนนายน่ะ” เซี่ยเจิงส่ายหน้าไปมา แล้วจึงถอดเสื้อคลุมออกมาวางไว้บนเก้าอี้ว่างที่อยู่ด้านข้าง “ฉันกินมาจากบ้านแล้ว ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับเอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิของเตาไฟฟ้าให้สูงขึ้นอีกหน่อย หม้อที่เมื่อครู่มีเพียงแค่ไอร้อนลอยขึ้นมาเล็กน้อยไม่นานก็เดือดปุดๆ ขึ้นมาแล้ว รสเผ็ดร้อนโชยเข้ามาในจมูก จนทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกอุ่นตามขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ในขณะที่ทานทั้งสองคนก็พลางพูดคุยกันไปด้วย แต่เซี่ยเจิงกลับไม่ค่อยจะขยับตะเกียบทานสักเท่าไหร่ ส่วนชวีเสี่ยวปอนั้นหิวมาก ในตอนที่พูดคุยจึงแทบจะใช้เวลาในการทานอาหารไปพลางพูดไปด้วย ซึ่งมันก็ส่งผลให้เขาสำลักและไอออกมาอย่างหนัก
“ให้...ตายเถอะ แค่กๆ แค่กๆ แค่กๆ ” ชวีเสี่ยวปอรีบดึงกระดาษทิชชูออกมาปิดปากเอาไว้ พลางเอนตัวลงมาซบเซี่ยเจิง ทั้งยังไอจนสั่นไปทั้งตัว เซี่ยเจิงที่เห็นเช่นนั้นจึงเทน้ำเปล่าเตรียมเอาไว้ให้เขา ชวีเสี่ยวปอไอออกมาอย่างทรมาน ในตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาก็ไหลอาบไปทั่วทั้งใบหน้า
เซี่ยเจิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามือของตัวเองที่กำลังถือแก้วน้ำอยู่สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ระลอกคลื่นภายในหัวใจของเขาก็เหมือนกับน้ำในแก้วที่สั่นไหวขึ้นมาเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าในใจของเขากำลังเจอกับความวุ่นวายใจเช่นไรอยู่
มืออีกข้างหนึ่งของเซี่ยเจิงที่อยู่ใต้โต๊ะกำลังบีบต้นขาอย่างอดกลั้น เก็บจินตนาการที่ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องของตัวเองลงไป
แต่จะพูดยังไงดีล่ะ
ท่าทางเช่นนี้ของชวีเสี่ยวปอดูเหมือนเป็สุนัขตัวใหญ่ที่พอถูกรังแกก็รู้เพียงแค่ต้องกระดิกหางเข้าไปออดอ้อนเ้านาย
เอ่อ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าคนที่ถูกยกมาเปรียบเปรยนี้รู้เข้าเขาจะคิดอย่างไร
“เผ็ดมาก” ชวีเสี่ยวปอกระแอมไอ พร้อมทั้งยกมือขึ้นมาขยี้ตาเล็กน้อย “กินหม้อไฟถึงกับต้องร้องไห้เลย! ให้ตายเถอะ ถ้าซือจวิ้นรู้เื่นี้เข้า ต้องหัวเราะเยาะฉันข้ามปีเลยแน่ๆ ”
“นอกจากฉันก็ไม่มีใครรู้หรอก อะนี่” เซี่ยเจิงยื่นน้ำส่งให้เขา พลางกำชับไปว่า : “ค่อยๆ ดื่มนะ”
ชวีเสี่ยวปอรับแก้วมา ค่อยๆ จิบอย่างระวัง จากนั้นจึงยื่นขาไปสะกิดเซี่ยเจิงที่ใต้โต๊ะ : “จริงสิ จะดูหนังด้วยไม่ใช่เหรอ? แล้วซื้อตั๋วยังอะ? ”
“ซื้อแล้ว” เซี่ยเจิงพูดขึ้น “ก็นึกไม่ถึงว่านายจะเสร็จไวขนาดนี้ เลยซื้อรอบตอนค่ำเอาไว้”
“กี่โมงเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอถาม
“สองทุ่มกว่านิดๆ ” เซี่ยเจิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันจองตั๋วดูสักหน่อย แล้วจึงบอกเวลาที่ตรงเปะออกไป “สองทุ่มสิบนาที”
“อ๋า นี่ยังเช้าอยู่เลย” ชวีเสี่ยวปอเอนตัวพิงไปด้านหลัง “ถ้างั้นกินเสร็จพวกเราไปไหนต่อดี? ชั้นห้ามีโซนเล่นเกมอยู่ ไปไหม? ”
“หรือว่า ไปเดินห้างกันไหม” เซี่ยเจิงเสนอขึ้นมา “เสื้อไหมพรมตัวนั้นแม่ฉันใส่มาหลายปีแล้ว เลยอยากจะซื้อตัวใหม่ให้แม่สักตัว”
“ได้สิ” ชวีเสี่ยวปอรีบยืดหลังนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที แล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้างั้นเดี๋ยวฉันรีบกิน”
“ไม่รีบ” เซี่ยเจิงหัวเราะ พลางคีบผ้าขี้ริ้วชิ้นหนึ่งจุมลงไปในหม้อน้ำซุป จากนั้นก็คีบใส่ชามให้ชวีเสี่ยวปอ “เรายังมีเวลาอยู่”
หากนับดูแล้วชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่ได้เดินห้างนานแล้วเหมือนกัน ครั้งล่าสุดเหมือนว่าจะถูกเวินลี่ลากมาให้ช่วยถือของ โดยปกติแล้วหากเขาจะซื้อของก็มักจะดูเอาไว้ก่อน พอไปถึงซื้อเสร็จก็กลับเลย น้อยครั้งมากที่จะมาเดินเอื่อยเฉื่อยในห้างสรรพสินค้าเช่นนี้
แต่ทว่าวันนี้กลับต่างออกไป
เพราะคนที่อยู่ข้างๆ เขาคือคุณแฟน