ท่ามกลางสายตาของทุกคน ทหารทั้งสองลงจากหลังม้าอย่างพร้อมเพรียงกันต่างคนต่างรีบก้าวมายืนต่อหน้าจ้าวอี้และจ้าวเยี่ยนตามลำดับเร่งรีบมากเสียจนมิทันคำนับ ทั้งยังรีบรายงานทั้งสองอย่างรีบร้อนว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมมีเื่จะทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวอี้ขมวดคิ้วมุ่น ครั้นเห็นจ้าวเยี่ยนลงจากม้าจึงถือโอกาสะโลงจากม้าและเดินนำนายทหารคนนั้นออกมาคุยด้านข้าง “เื่อะไรรีบกล่าวออกมา”
จ้าวอี้ไร้ซึ่งความอดทน ในใจคิดถึงแต่เพียงเหนียนยวี่ยามนี้เขาคิดแค่้าตามหาเหนียนยวี่ให้เจอเร็วๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเหนียนยวี่ไม่ตกอยู่ในอันตราย
“ท่านอ๋อง ฮองเฮาทรงมีรับสั่งว่า้าให้ท่านกลับวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”ทหารองครักษ์กล่าว
"กลับวัง?" จ้าวอี้ขมวดคิ้ว เขาจะกลับไปที่วังหลวงได้อย่างไร?
"เ้ากลับไปทูลรายงานเสด็จแม่ของข้าเสียว่า ครั้นข้าพบยวี่เอ๋อร์เมื่อใดจะกลับวังหลวงทันที"
“แต่...” ทหารองครักษ์คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องมู่จะขัดคำสั่งองค์ฮองเฮา เขาตกตะลึงยืนนิ่งงันไปครู่หนึ่งครั้นเห็นมู่อ๋องกลับไปขึ้นนั่งบนหลังม้า ไม่นานหลังจากนั้นเสียงร้องอ้อนวอนของมู่อ๋องดังขึ้นมาทันใดว่า “ท่านแม่ทัพ ไปเถิดออกจากเมืองไปด้วยกัน ไปยังค่ายเสินเช่อ!”
“ค่ายเสินเช่อหรือ ไม่...ท่านอ๋องมู่...”ครั้นทหารองครักษ์ได้ยินคำว่าค่ายเสินเช่อ พลันตื่นตระหนกในทันใดเห็นท่านอ๋องมู่ขี่ม้า มีทีท่าประหนึ่งกำลังจะออกไปในหัวพลันนึกถึงคำสั่งของฮองเฮา จึงเอ่ยออกไปอย่างเร่งรีบทันทีว่า"ฝ่าาทรงมีรับสั่งให้เผาค่ายเสินเช่อ ท่านอ๋อง ท่านไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!"
“เผาค่ายเสินเช่อ?” สีหน้าของจ้าวอี้พลันแข็งค้าง เขาหันไปมองแม่ทัพฉู่เพ่ยด้านข้าง เขารู้ว่าเสด็จพ่อของเขาจะจัดการกับค่ายเสินเช่อแน่นอนทว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จพ่อจะสั่ง...ให้เผาทิ้งค่ายเสินเช่อ เหนียนยวี่และจื๋อหร่าน...
“ด้วยเหตุใด? นั่นคือค่ายเสินเช่อ จื๋อหร่านเองก็ยังอยู่ในค่าย ท่านแม่ทัพถึงขั้นสามารถพาคนไปเผาบุตรชายตนเองได้จริงๆ หรือ?”จ้าวอี้ะโออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองอย่างอดมิได้ เส้นเืปูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแลดูน่าหวาดกลัว
“ท่านอ๋องมู่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าาเองทรงลำบากใจมิต่างกันพ่ะย่ะค่ะการที่พระองค์รับสั่งให้เผาค่ายเสินเช่อนั้นก็เพื่อป้องกันการลุกลามของโรคระบาดจึงรับสั่งออกมาให้กระหม่อมนำคนไป นี่นับว่าเป็พระเมตตาของฝ่าาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เพ่ยเข้าใจความหมายของฮ่องเต้หยวนเต๋อฉู่ชิงอยู่ข้างในค่าย เขาที่เป็บิดา ท้ายที่สุดแล้วถึงอย่างไรเขาก็จะสั่งให้จุดไฟเผาอย่างประมาทเลินเล่อได้หรือหากเื่ราวเปลี่ยนแปลงไป เขาไม่มีทางลังเลที่จะช่วยเหลือฉู่ชิงและทิ้งค่ายเสินเช่ออย่างแน่นอน
ฉู่เพ่ยมองออกไปนอกเมือง ใบหน้าเคร่งขรึม ในหัวใจของเขายังคงมีความหวัง
"เมตตาหรือ? เหอะ!" จ้าวอี้พ่นลมออกมาอย่างเ็าสำหรับความเมตตาเช่นนี้ ไม่มีค่าพอให้เขาชายตามองเลยสักนิด ฮ่องเต้ต้องคานอำนาจแม้เื่ราวจำต้องเป็เช่นนั้นแล้วอย่างไร?
เขาเป็คนรักอิสระ ไม่ชอบการผูกมัดเช่นนี้มากที่สุดเขาจับสายบังเหียนแน่น ยามจ้าวอี้หันมองฉู่เพ่ยอีกครั้งความเกรี้ยวโกรธในดวงตาพลันสงบนิ่งลง ถูกแทนที่ด้วยความสงบและความแน่วแน่ “ท่านแม่ทัพไม่ต้องให้สิ่งใดกับจื๋อหร่านข้าเองก็ไม่ต่างกัน คิดเสียว่าเปิ่นหวางและจื๋อหร่านเคยคบกันเฉกเช่นพี่น้องเปิ่นหวางขอร้องท่านให้พาเปิ่นหวางออกจากเมืองด้วย ว่าอย่างไร?”
เนื่องจากประตูเมืองถูกปิดไปเมื่อวานทั้งยังไม่มีแผ่นป้ายอาญาของฝ่าา เขาจึงมิสามารถออกไปได้ ทว่ายามนี้เขา้าออกไปและความหวังเดียวที่มีในเวลานี้มีเพียงฉู่เพ่ยเท่านั้น
ทั้งสองมองหน้ากัน เพียงครู่เดียวราวกับเข้าถึงอะไรบางอย่างได้โดยไร้ซึ่งสุ้มเสียง
“ท่านอ๋องมู่พ่ะย่ะค่ะ อีกประเดี๋ยวจำต้องออกจากเมืองแล้ว กระหม่อมเองก็ไร้หนทางที่จะดูแล” ฉู่เพ่ยกล่าวความหมายชัดเจนอย่างมาก ท่านอ๋องมู่้าถือโอกาสนี้ออกจากเมืองเขาจะยอมหลับตาข้างหนึ่งทำเป็ไม่รู้เื่นี้ให้แล้วกัน
จ้าวอี้เข้าใจแจ่มแจ้ง จากนั้นถอนสายตากลับไป ประจวบเหมาะที่เห็นจ้าวเยี่ยนขึ้นม้าพอดี"เสด็จพี่...”
จ้าวอี้กำลังจะเอ่ยกล่าวให้จ้าวเยี่ยนมาด้วยกันทว่าจ้าวเยี่ยนกลับเอ่ยขัดจังหวะเขาขึ้นมาก่อน
"อี้เอ๋อร์ เสด็จแม่ตรัสสั่งให้ข้ากลับวังดูเหมือนว่าอาการาเ็ของเสด็จแม่ข้าจะรุนแรงขึ้น" จ้าวเยี่ยนขมวดคิ้วใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความกังวล
ความหมายของคำพูดนี้คือ เขาจะไม่ติดตามไปนอกเมืองด้วยอย่างนั้นหรือ?
"สุขภาพของเสด็จป้าสำคัญมาก เสด็จพี่หลีอ๋องรีบเข้าวังไปหาเสด็จป้าเถิด" ใบหน้าจ้าวอี้ยกยิ้ม คนฉลาดเฉลียวเช่นเขาไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมายที่แอบแฝงอยู่ในเื่นี้ได้
ไม่เพียงแต่เข้าใจ เขายังรู้ว่าเื่ที่กล่าวว่าาเ็สาหัสนั้นเป็เพียงแค่ข้ออ้าง
ข้ออ้างแล้วอย่างไร?
เสด็จพี่หลีอ๋อง เขาเป็บุรุษผู้ไร้แก่นสาร ไม่้าอำนาจและผลประโยชน์ ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการรักษาชีวิตให้รอดพ้นปลอดภัยมิใช่เช่นนั้นหรอกหรือ
ครั้นเอ่ยจบ จ้าวอี้หันไปหาฉู่เพ่ยอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพเชิญออกเดินทางกันเลย!"
ครั้นคำกล่าวนั้นหลุดออกไป ฉู่เพ่ยจึงยื่นมือออกไปลูบท้องม้าฉับพลันม้าที่ควบอยู่มุ่งทะยานไปข้างหน้าทันที ทหารหลายพันนายที่อยู่ด้านหลังต่างทยอยมุ่งหน้าตามกันไป ทั้งมิรู้ว่าจ้าวอี้เข้ามาปะปนอยู่ในกองทัพทหารรักษาพระองค์ั้แ่เมื่อใด
หลังจากการเจรจาผ่านพ้นไป บรรดาทหารกองทัพราชองครักษ์เดินทางมุ่งหน้าออกจากเมืองครั้นประตูเมืองถูกปิดลงอีกครา ภายในเมืองจ้าวเยี่ยนบนหลังม้า แต่งกายด้วยชุดสีขาวเขายังคงแลดูงดงามบริสุทธิ์ ไม่มีทีท่าหยิ่งยโส เพียงทอดมองประตูเมืองราวกับมีบางอย่างก่อตัวอยู่ในนั้น
“ท่านอ๋อง โปรดกลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ผ่านไปครู่หนึ่ง ทหารองครักษ์ออกคำสั่งเร่งเร้า
ดวงตาของจ้าวเยี่ยนแลดูอึดอัดเล็กน้อย ครั้นนึกบางสิ่งได้ดวงตาคู่งามพลันฉายอารมณ์สงบนิ่งขึ้นมาทันใด
จิตใจของเขากำลังนึกคิดแต่เื่ความปลอดภัยของเหนียนยวี่ทว่าเขาลืมคิดถึงสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในเื่นี้
เมื่อครู่ ยามที่ได้ยินคำสั่งจากเสด็จแม่ที่ฝากบอกมาทางองครักษ์เขาเพิ่งจะมีท่าทีตอบรับต่อเื่นี้ หากฉู่ชิงไม่ได้ออกจากค่ายเสินเช่อ สถานการณ์ทุกหย่อมหญ้าในเป่ยฉี ทั้งหมดสับเปลี่ยนแปรผันอย่างมหาศาลและเื่ที่เขาควรคิดตอนนี้มิควรเป็เื่ของเหนียนยวี่มิควรนำเื่นี้มาเป็เื่สำคัญและเป็สถานการณ์ทั้งหมดของเขา!
ภาพเหนียนยวี่ผุดขึ้นในหัว มือของจ้าวเยี่ยนจับบังเหียนแน่นขึ้นทันใดชั่วครู่ต่อมา เขาขี่ม้ามุ่งหน้ากลับไปยังทิศทางของวังหลวง
ในค่ายเสินเช่อ ความหวาดกลัวของทุกคนยังคงอยู่ ทว่าสถานการณ์มิได้รุนแรงเช่นเมื่อวานอีกต่อไป
เหนียนยวี่มิได้กลับมาในค่ายเลยหนึ่งคืน นอกกระโจมของเขตกักกันบุรุษชุดดำสวมหน้ากากสีเงินวาวยืนย่ำอยู่ที่นั่น ทอดสายตามองเส้นทางตรงตีนเขามิรู้ว่าเป็ชั่วยามใดมาเป็เวลาเนิ่นนาน ไม่ถอนสายตาเลยสักครา
หน้ากากสีเงินบดบังสีหน้าและแววตาของเขาทั้งหมดทว่ามือที่กำแน่นใต้ชายเสื้อ เผยให้เห็นอารมณ์ของเขา
หลังผ่านค่ำคืนหนึ่งในสวนร้อยสัตว์มาด้วยกันทำให้ฉู่ชิงรู้ถึงความสามารถของเหนียนยวี่แม้ว่าจะมีเสือดุร้ายหรือมือสังหารชั้นยอดหลายสิบคน ทั้งหมดล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของนางการย่ำเท้าเข้าไปในเนินเขาลูกนี้เฉกเช่นเมื่อค่ำคืนก่อน ไม่ลำบากกับนางซึ่งภายนอกดูเหมือนหญิงสาวแบบบางเลยทว่าในใจของฉู่ชิงกลับตึงเครียดมาตลอดหลังจากที่มิเห็นเหนียนยวี่กลับมาระยะหนึ่งแล้วความเป็ห่วงที่เติบโตขึ้นในใจเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองยังอธิบายออกมาได้ไม่ชัดเท่าใดนัก
ในที่สุด ร่างหนึ่งโผล่พ้นออกมาตรงตีนเขา รอยยิ้มพลันผุดออกมา พาดผ่านใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากชายหนุ่มยกฝีเท้า ใช้วิชาตัวเบาก้าวพุ่งไปยังหญิงสาวทันที
เพียงชั่วพริบตา ฉู่ชิงเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเหนียนยวี่ครั้นเขาเห็นใบไม้บนเส้นผม กอปรกับใบหน้านางที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบดินคราบฝุ่นฉู่ชิงจึงยื่นออกมาปัดใบไม้บนเส้นผมและเช็ดคราบบนใบหน้างามอย่างมิอาจห้ามความรู้สึกได้
เพียงปลายนิ้วััแก้มของเหนียนยวี่ อุณหภูมิร้อนๆ หนาวๆแผ่ขจรขจายส่งต่อกันและกัน ในใจของคนทั้งสองพลันสั่นไหว
เหนียนยวี่เงยหน้ามอง ดวงตาของทั้งสองสบประสานราวกับมีพลังงานบางอย่างแล่นเข้ามา เพียงสบตาชั่ววินาที เหนียนยวี่พลันหลับตาลงทว่าดวงตาของฉู่ชิงกลับยังคงฉายค้างอยู่ในหัวนาง แววตาของเขา...ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่นราวกับกำลังจ้องมองคนที่ห่วงใยที่สุดในหัวใจ ประกอบกับอากัปกิริยาที่เขากำลังลูบแก้มของนางแล้วยิ่งดูจะเป็สถานการณ์ที่คลุมเครือเหลือเกิน...