เพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวกระบวนท่าที่หนึ่ง ‘นางแอ่นกลับรัง’
กระบวนท่านี้สำคัญคือความเบาและพลิกแพลง ก็เหมือนกับนกนางแอ่นตัวหนึ่ง บินซ้ายเอียงขวา กลับเข้ารังอย่างนุ่มนวล อ๋าวหรานยกกระบี่ เปลี่ยนรูปแบบการก้าวครู่เดียวก็มาถึงด้านข้างของจิ่งฝาน พอหมุนตัวอีกครั้งก็ไปอยู่ที่ด้านหลังเขา ปลายกระบี่พุ่งไปที่บริเวณเอวด้านหลังของจิ่งฝาน จิ่งฝานหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันกระบี่ในมือก็พุ่งตรงไปที่ข้อมือของอ๋าวหราน ทำให้เขาโดนบังคับให้ต้องถอยไป หากเอาตามกระบวนท่าเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวอย่างเดิม ข้อมือของอ๋าวหรานต้องเป็เหมือนนกนางแอ่นที่หลบไปด้านข้าง เอียงซ้ายเอียงขวาแล้ว
แต่อ๋าวหรานเตรียมบุกกลับไปตรงๆ ข้อมือสั่นน้อยๆ ตัวกระบี่ก็พุ่งออกจากมือตรงไปข้างหน้า จากนั้นพลิกข้อมืออีกครั้งแล้วพุ่งไปจับแขนของจิ่งฝานไว้ และรีบรับกระบี่ที่กำลังร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ตอนที่จิ่งฝานเตรียมจะยกกระบี่ขึ้นหลบนั้น กระบี่ก็พาดอยู่บนคอเขาเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดอ๋าวหรานก็สามารถเอาชนะได้สักกระบวนท่าแล้วจึงอดยักคิ้วไม่ได้ ถึงแม้จะเป็เพียงกระบวนท่าง่ายๆ ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคาดไม่ถึง แต่ก็ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง เขาหาวิธีก้าวข้ามขีดจำกัดได้แล้ว จะยึดติดกับกระบวนท่าเดิมๆ คงไม่ได้
จิ่งฝานยิ้มเรียบๆ “ถือว่าใช้ได้ แต่ยิ่งเป็ของง่ายๆ เช่นนี้ก็ยิ่งต้องอาศัยสมองเ้าคิดหาวิธีรับมือใหม่ๆ ออกมา ซึ่งพร์นั้นสำคัญมาก”
อ๋าวหรานถึงกับลู่ไหล่ ของเฉกเช่นพร์นี้ เขาคงกำหนดเองไม่ได้ คงทำได้เพียงตั้งใจทำให้ดีที่สุด
“เอาอีกหรือไม่?”
อ๋าวหรานพยักหน้า ยังเช้าอยู่ คงยากที่จะหาคนช่วยฝึกให้ได้ ได้มาแล้วอย่างไรก็ต้องใช้ให้คุ้ม
คนทั้งสองเ้ารุกข้ารับ รื่นเริงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อ๋าวหรานแพ้มากชนะน้อย แต่ก็ก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้เยอะแล้ว
“คุณชายทั้งสองอยู่ที่นี่เองหรือ ตระกูลจิ่งของพวกท่านใหญ่โตเกินไปจริงๆ ข้าตามหาเสียตั้งนาน”
และแล้วกระบี่ที่เพิ่งยกขึ้นของทั้งสองก็มีอันต้องร่วงลงทันที หลางฉายืนอยู่ด้านล่างเวที สวมชุดกระโปรงยาวสีแดง สีสันสดใส เมื่อมาคู่กับตาดอกท้อที่ชี้ขึ้นกับรอยยิ้มที่ทำให้คนหลงใหล ทำให้รู้สึกว่านางเป็คนที่เกิดมาเพื่อยั่วยวนคนอย่างแท้จริง ดีที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งตัวจากครั้งก่อนที่เจอกันแล้ว ไม่ได้เปิดเผยจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะไปยั่วยวนเด็กตระกูลจิ่งอีกกี่คน
หลางฉาอยู่ใกล้กับเวทีมาก คนทั้งสองที่กำลังดำดิ่งอยู่กับการประมือไม่รู้สึกถึงนางเลยแม้แต่นิดเดียว
จิ่งฝานแววตาขรึมลง “มีธุระอะไร?”
หลางฉาแย้มยิ้มจนเห็นฟันเล็กน้อย พูดเสียงหวานปานน้ำผึ้งราวกับจะยั่วยวนิญญาผู้คนว่า “ไม่มีธุระอะไร ก็แค่อยากมาเจอคุณชายจิ่งเร็วๆ อีกทั้ง…”
คำว่า “อีกทั้ง” สะท้อนไปมา แฝงไว้ด้วยความน้อยใจเล็กๆ ทำให้คนฟังรู้สึกคันหัวใจขึ้นมายิบๆ “แม่นางจิ่งเซียงมีอคติต่อข้า เอาแต่พูดอยู่กับแม่นางที่เหมือนกับดอกบัวคนนั้น ไม่สนใจข้าแม้แต่น้อย ข้ารู้สึกเหงาจริงๆ”
แม่นางที่เหมือนกับดอกบัว...
อิ่นซีเิหรือ?
ทั้งที่เป็ดอกไม้สูงค่ามาจากโคลนตมแต่ไร้มลทินใดๆ เหตุใดพอหลางฉาพูดออกมาถึงให้ความรู้สึกพื้นๆ ธรรมดาสามัญ
อ๋าวหรานมองดูปีศาจสาวตัวน้อยที่แสนจะเย้ายวนผู้นี้ ดวงตานั้นราวกับจะติดอยู่บนตัวของจิ่งฝานอยู่แล้ว อดรู้สึกอยากตีหัวไม่ได้ จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองจะต้องเรียนวิชาแพทย์ คัมภีร์สมุนไพรหนาหนักนั่นยังจำไม่ได้อีกเกินครึ่ง ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำผิดมหันต์ จึงหันไปยิ้มสว่างสดใสให้จิ่งฝาน
“ข้ากำหนดจำนวนสมุนไพรที่ต้องจำในแต่ละวันไว้แล้ว เกือบลืมไปเลย วันนี้ขอบใจเ้ามาก ครั้งหน้ามีโอกาสไว้มาประมือกันอีก ข้าขอตัวก่อน”
จิ่งฝานถูกข้ออ้างอย่างสมเหตุสมผลที่จู่ๆ ก็พ่นออกมาของอ๋าวหรานทำให้งงไปพักหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาก็รีบตีหน้าขรึม ตวาดเสียงต่ำว่า “หยุดนะ กลับมานี่!”
อ๋าวหรานได้ยินเสียงก็หยุดชะงัก แต่ก็ยังหันกลับไปกำหมัดคารวะให้จิ่งฝาน จากนั้นก็รีบหลบไปอย่างรวดเร็ว จิ่งฝานดึงสติกลับมาไม่ได้อยู่เป็นาน ปากอ้าตาค้าง สีหน้าดำคล้ำ ในดวงตามีหมอกสีดำทะมึนปกคลุม
“คนเลว ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน!1”
แล้วพูดแต่ละคำออกมาอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หลางฉาเห็นอ๋าวหรานรีบหลบไปอย่างเร็วก็แสร้งทำเป็ตัดใจไม่ลง พูดว่า “เฮ้อ คุณชายอ๋าวไปเสียแล้ว ยังไม่ได้พูดคุยกับเขาเลย”
จิ่งฝานหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมาทีหนึ่ง “ตามไปตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
รอยยิ้มของหลางฉาสดใสขึ้นมาทันใด นางะโขึ้นไปบนเวที แล้วยื่นมือไปคิดจะเกาะแขนจิ่งฝาน “คุณชายจิ่งริษยาหรือ?”
หลังจากที่มือขาวๆ ราวกับหยกนั่นถูกจิ่งฝานหลบได้แล้ว หลางฉาก็ไม่ถือโทษโกรธ “คุณชายจิ่งอย่าได้ริษยาไปเลย คุณชายอ๋าวสำหรับข้าก็เป็เหมือนเด็กน้อย เขาน่ารักอยู่หลายส่วนก็จริง สตรีแทบทุกคนจะถูกท่าทางที่ไม่ระมัดระวังของเขาดึงดูดเข้า ทำให้รู้สึกอยากโอ๋เขา อยากกอดเขา แต่ก็เห็นเขาเป็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น”
“แต่ว่า...” สีหน้าของจิ่งฝานเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลางฉาเดินเข้ามาแนบชิดเขาอีกก้าวหนึ่ง “คุณชายอ๋าวไม่เหมือนคุณชายจิ่งที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ เมื่อเข้าใกล้ท่านก็จะถูกท่านดึงดูด อยากได้รับการปกป้องจากท่าน ต่อให้จะถูกลากลงนรกขุมไหนก็ไม่กลัว”
จิ่งฝานได้ยินเช่นนั้น ในสายตาก็ปรากฏแววชั่วร้าย เหยียดยิ้มขึ้นคล้ายจริงและไม่จริง “อยากได้รับการปกป้องหรือ?”
วันนี้หลางฉาราวกับติดอยู่ในบ่วงรัก ท่าทางเหมือนหลงใหลจิ่งฝานจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่สมองกลับแจ่มชัดเป็อย่างยิ่ง “ท่าทางคุณชายจิ่งเหมือนจะไม่อยากปกป้องข้า เพราะเหตุใดกันเล่า? รังเกียจว่าข้าไม่งดงามหรือ? แต่ข้าคิดว่าตัวข้าก็งดงามไม่แพ้ผู้ใด”
ไม่รอจิ่งฝานพูด หลางฉาก็เข้าใจในทันใด “หรือว่า...คุณชายจิ่งชอบแม่นางดอกบัวคนนั้น?”
สำหรับคำพูดคิดเองเออเองของนางนั้น แค่จิ่งฝานยิ้มอย่างเย็นเยียบ กำลังภายในก็ราวกับจะแผ่ออกมาในทันใด โดยพุ่งไปทางหลางฉา กำลังภายในนั้นราวกับมีมือขนาดั์รัดนางเอาไว้อย่างแ่า หลางฉารู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกรัดเอาไว้ใต้ผ้าห่มหนาหนักที่หดตัวอยู่ตลอดเวลา อากาศรอบๆ ก็ราวกับจะถูกดูดออกไป หายใจไม่ออก ทรมานเป็อย่างยิ่ง
จิ่งฝานค่อยๆ เดินช้าๆ ทีละก้าวจนกระทั่งไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง โน้มตัวเข้าไปใกล้หูนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำชั่วร้ายว่า “อย่ามารนหาที่ตายกับข้าอีกเลย อันตัวข้านี้ราวกับนรกก็ไม่ปาน”
หลางฉาตาเบิกกว้างทั้งสองข้าง ตาขาวมากกว่าตาดำ นางรู้สึกเหมือนจะหมดสติ แต่ก็ยังััถึงลมหายใจของจิ่งฝานที่ข้างหูได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ควรจะเป็ความอบอุ่นวาบหวาม แต่ตอนนี้ราวกับลมหนาวที่พัดมาจากนรกโลกันตร์ก็ไม่ปาน เย็นะเืถึงขนาดสามารถทำให้คนกระดูกชาได้
ทันใดนั้นหลางฉาก็นึกถึงครั้งแรกที่ได้เห็นแววตาของคนคนนี้ ดวงตาที่ทำให้ผู้คนอยากถลำลึกลงไป ตอนที่มองคนก็ราวกับกำลังมองคนที่ตายแล้วอยู่จริงๆ ไหนยังจะกำลังภายในอันกล้าแข็งที่นางไม่อาจโต้กลับได้นี้อีก จนทำให้ผู้คนต่างอยากจะมุดหนีไปยังที่ที่ปลอดภัยให้รู้แล้วรู้รอด
เขาทำได้อย่างไร แม้แต่นางที่เรียนวรยุทธ์สุดวิเศษมาแล้วก็ยังเทียบไม่ติดแม้แต่นิดเดียว
จิ่งฝานอันตรายเกินไป
ตระกูลจิ่งเองก็แอบซ่อนความลับอะไรเอาไว้เหมือนกันหรือ?
จิ่งฝานเห็นท่าทางเหมือนคนใกล้ตายของหลางฉาก็ค่อยๆ ลดบรรยากาศอันน่ากลัวรอบตัวลง จากนั้นเหยียดริมฝีปากยิ้มราวกับดอกไม้ทั้งโลกนี้กำลังเบ่งบาน งดงามเสียจนสามารถยั่วยวนผู้คนได้ยิ่งกว่าหลางฉา
คนตระกูลจิ่งด้านล่างเวทีเริ่มซุบซิบกัน ราวกับน้ำมันกระเด็นจากกระทะก็ไม่ปาน พวกเขามองไม่เห็นกำลังภายในที่อยู่โดยรอบที่จ้องจะเอาชีวิตคนอยู่ทุกนาทีของจิ่งฝาน แต่เห็นเพียงนายน้อยของพวกเขาที่ปกติจะอ่อนโยนราวกับหยก มีมารยาท รักษาระยะห่างจากผู้หญิงมาตลอด กลับเดินเข้าหาหญิงแปลกหน้าที่งดงามเหลือเชื่อคนนั้นก่อน
เข้าใกล้ก็ส่วนเข้าใกล้ แต่ยังเข้าไปพูดอะไรที่ดูน่าสนุกข้างหูแม่นางคนนั้นอีก ถึงได้ยิ้มราวกับดอกไม้บานเช่นนี้
ทุกคนกำลังคาดเดากันว่าแม่นางผู้นี้มีฐานะอะไร จะเป็ฮูหยินของนายน้อยในอนาคตของพวกเขาหรือไม่?
จิ่งฝานหาได้สนใจการคาดเดากันไปต่างๆ นานาของทุกคนไม่ เขาค่อยๆ เก็บกำลังภายในรอบกายลง
หลางฉาที่รอดพ้นจากความทรมานก็ราวกับปลาได้น้ำ หายใจเฮือกใหญ่เข้าไปทีหนึ่ง ซวนเซยืนไม่มั่นคง แต่ว่าต่อให้ในใจจะเกรงกลัวแค่ไหน แต่ใบหน้าของหลางฉาก็ยังคงสงบนิ่ง แล้วจึงนำมือไปวางบนไหล่ของจิ่งฝาน รีบจัดการกับความทรมานจากกำลังภายในเมื่อครู่
จิ่งฝานเองก็ไม่ได้หลบ
ในใจของหลางฉาอดเยาะเย้ยตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยก็นับว่าได้แต๊ะอั๋งเขาบ้างถึงแม้ว่าราคาที่ต้องจ่ายจะแพงมากก็ตาม
...
“สตรีผู้นั้นวางมือลงบนไหล่ของนายน้อยแล้ว หนำซ้ำนายน้อยยังไม่ถอยหลังอีกด้วย”
“หรือนายน้อยนับว่าตกลงปลงใจได้แล้ว?”
“เป็ไปไม่ได้ ออกนอกหน้าขนาดนี้ต้องเป็ผู้นำตระกูลเลือกให้แน่”
“แต่สตรีผู้นี้ก็งดงามเกินไปแล้ว ข้ายังไม่เคยเจอสตรีที่น่าสนใจเท่านี้มาก่อน”
ได้ยินเสียงลุ่มหลงของคนผู้นี้ สตรีผู้หนึ่งก็พูดด้วยความโกรธว่า “แล้วสตรีตระกูลจิ่งของเราไม่งามหรือ? นับว่าแย่กว่านางตรงไหน?”
คนผู้นี้รู้แล้วว่าทำให้สตรีในตระกูลไม่พอใจจึงรีบประจบว่า “สตรีตระกูลจิ่งของเราก็งดงามมาก ไม่แย่ไปกว่าผู้ใด แต่ว่าแม่นางผู้นี้...จะว่าอย่างไรดี เย้ายวนมากราวกับจะดึงดูดิญญาผู้คน แค่ประมาทเพียงนิดเเดียวก็อาจจะถูกนางทำให้ลุ่มหลงเอาได้”
พูดถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงก็เลื่อนลอย ท่าทางราวกับขาดความระมัดระวังน้ำลายแทบจะไหลออกมาแล้ว เหล่าสตรีอดกลอกตาไม่ได้ ก่นด่าขึ้นไปบนเวทีว่า “นางปีศาจ”
“ข้าไม่เชื่อว่านายน้อยที่มีจิตใจบริสุทธิ์ดั่งหยกของเราจะสู่ขอนางปีศาจเช่นนางมาเป็ภรรยา”
บุรุษบางคนโต้ตอบขึ้นทันใด “จะเป็ไปได้อย่างไร หากเป็ข้า ข้าต้องไปสู่ขอนางแน่”
สตรีโกรธ “ตื้นเขิน!”
ยังมีคนรับอีกว่า “ตื้นเขินตรงไหนกัน ไม่อาจปฏิเสธความดีภายในของนางเพียงเพราะความงามภายนอกของนางได้หรอก พวกเ้าต่างหากที่ตื้นเขิน”
“เ้า!”
ด้านล่างถกเถียงกันใหญ่ จิ่งฝานทำราวกับไม่ได้ยิน แค่รอจนหลางฉายืนได้มั่นคงแล้วก็รีบหมุนตัวจากไป
“นี่ เหตุใดทั้งสองไม่เดินไปด้วยกัน”
เหล่าสตรีรีบพูดอย่างดีใจ “นายน้อยต้องไม่ชอบนางแน่”
ส่วนเหล่าบุรุษก็เถียงว่า “นายน้อยคงเขินอายกระมัง”
หลางฉาหันศีรษะไปมองผู้คน อดทนกับสภาพร่างกายที่ทำท่าจะล้มแล้วกดกำลังภายในที่กำลังสับสนลง จากนั้นยกริมฝีปากขึ้นช้าๆ ส่งยิ้มน้อยๆ ไปทางผู้คนด้านล่างเวที งดงามเย้ายวนยิ่ง ไม่เพียงทำให้เหล่าบุรุษด้านล่างเวทีตาถลน แม้แต่เหล่าสตรีเองก็ยังตะลึงไปตามกัน
เชิงอรรถ
ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน1 หมายถึง เมื่อบรรลุเป้าหมายก็ละทิ้งผู้ช่วยเหลือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้