กวางเฉินมองไปทางประตูที่มีผู้ชายคนนั้นยืนยิ้มเจื่อนอยู่อย่างไม่พอใจ
ผู้ชายคนนั้นมีผมสีดำสะอาดตาแซมด้วยสีกาแฟจางๆเป็เงาวาวเล็กน้อยรับกันกับใบหน้าที่สะอาดสะอ้านดูอ่อนโยนละมุน ดวงตากลมโต ตาสองชั้นขนตางอนยาวที่อยู่บนเปลือกตาสองชั้นคู่นั้นยิ่งทำให้ดวงตาคู่นั้นของเขาดูอ่อนโยนและดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
จมูกเขาไม่ได้โด่งเป็สันเหมือนกับกวางเฉินเขาดูเป็ผู้ชายหล่อเหลาในแบบของผู้ชายจีนสมัยก่อนจมูกของเขาดูออกไปทางชายหนุ่มรูปงามในแถบเมืองเจียงหนานทางภาคตะวันออกริมฝีปากแดงที่เผยให้เห็นรอยยิ้มนั้นทำให้เขาดูร่าเริงสดใสอย่างเห็นได้ชัด
ร่างนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่สบายเข้ากันกับเนคไทสีดำและการผูกเนคไทแบบหลวมๆไม่เรียบร้อยนั้นกลับยิ่งทำให้เขาดูหล่อมากขึ้นไปอีกเข้มขัดสีขาวเข้ากันกับกางเกงขายาวสีเทาเข้มให้ความรู้สึกเหมือนพวกวัยรุ่นเนตไอดอลเลย
“เหอะ เฟิงหลิงซ่านนายแน่ใจนะว่านายมาผิดห้อง” กวางเฉินปล่อยมือจากฉันแต่มืออีกข้างยังคงวางไว้ที่ข้างลำตัวของฉัน ทำราวกับว่าฉันคือเหยื่อของเขาอย่าได้คิดออกห่างจากเขาเด็ดขาด
ผู้ชายที่ชื่อเฟิงหลิงซ่านคนนั้นยิ้ม “กวางเฉิน หงรื่อกำลังตามหานายอยู่นายทำแบบนี้ ไม่ดีมั้ง” เขาเดินเข้ามาและเอื้อมมือมาจับมือของฉันและในตอนที่กำลังจะดึงมือฉันเข้าไปหาตัวนั้น "ปึก!" เสียงหนึ่งดังขึ้นทันใดนั้นแขนอีกข้างของฉันก็โดนกวางเฉินดึงไว้เขาก้มลงมากระซิบข้างหูฉันอย่างรวดเร็ว “บอกเบอร์โทรเธอมาแล้วฉันจะปล่อยเธอไป”
ฉันหันกลับไปมองเขาด้วยความแปลกใจ “นี่นายประสาทไปแล้วรึไงแต่งตัวเป็แวมไพร์จนเป็บ้าไปแล้วเหรอ นี่นายชักจะอินมากไปจนเกินเยียวยาแล้วนะ” นี่ฉันไม่ได้เพอร์เฟ็กต์เหมือนนางเอกในนิยายของ “แมรี่ซู” จนถึงขั้นจะมีผู้ชายสองคนมาแย่งฉันในห้องน้ำตอนกลางวันแสกๆแบบนี้นะ เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ชายที่ชื่อกวางเฉินนั่นเป็บ้าส่วนนายเฟิงหลิงซ่านคนนี้ก็น่าจะเป็คู่หูของเขา
“อุ๊บ ฮ่าฮ่าฮ่า” เฟิงหลิงซ่านหัวเราะขึ้นมา
วินาทีนั้นสายตาของกวางเฉินฉายแววของความอาฆาตออกมาจ้องมองหน้าฉันอย่างดุร้าย
“ต้องให้ฉันเรียกหงรื่อมาไหม” เฟิงหลิงซ่านพูดขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้านกวางเฉินกระตุกมุมปากยกยิ้มอย่างเ็าพร้อมกับสะบัดมือที่จับฉันออกใน่ที่เดินผ่านฉันไปก็คล้ายกับมีลมเย็นๆ พัดผ่านตัวฉันเขาเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของเฟิงหลิงซ่าน
“จำไว้นะนายมันก็เป็แค่พวกชั้นต่ำ อย่ามายุ่งเื่ของฉันให้มันมากนัก” เขาพูดจบก็ผลักเฟิงหลิงซ่านออกก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไปโดยไม่หันกลับมามอง
เฟิงหลิงซ่านปล่อยมือฉันและมองมาที่ฉันอย่างอบอุ่น “เธอเป็เด็กใหม่สินะ ระวังตัวหน่อย”
ฉันมองเขาอย่างแปลกใจ “นายไม่ใช่คนแรกที่บอกให้ฉันระวังตัว ที่นี่มันคือมหาลัยอะไรกันแน่ทำไมทุกคนถึงเอาแต่บอกให้ฉันระวังตัว”
หลังจากที่ฉันถามเขาแต่เขากลับมีสีหน้าที่ใมากกว่าฉัน “เธอไม่รู้เหรอว่ามหาลัยที่ตัวเองเข้ามาเรียนมันคือมหาลัยอะไร”
ฉันส่ายหัวเขามองฉันด้วยความประหลาดใจ “ฉันเพิ่งเห็นคนแบบเธอเป็ครั้งแรก” เขามองออกไปข้างนอก “งั้นเอาอย่างนี้ เธอตามฉันมา ไม่ต้องพูดกับคนอื่น”
“ได้ ได้ ได้” ฉันพยักหน้ารัวๆ คิดไปคิดมาฉันก็เลยหยิบกล่องเครื่องประดับที่พ่อให้ฉันไว้ออกมาและในขณะที่เปิดมันออกจี้คริสตัลที่อยู่ข้างในกล่องก็เปล่งแสงเป็ประกายสีสันสดใสภายใต้แสงไฟ ดึงดูดสายตาของเฟิงหลิงซ่านที่กำลังจ้องมองอยู่
ฉันหยิบสร้อยออกมาและตัดสินใจสวมมันไว้เหตุผลก็เพราะว่าหนึ่งฉันเป็คนขี้หลงขี้ลืม ทำของหายง่ายสองคือโลกข้างนอกนั้นมันดูน่ากลัวมากเกินไปถ้าใส่เครื่องรางป้องกันตัวของแม่ไว้ก็ยังพอทำให้จิตใจฉันสงบลงได้บ้าง
หลังจากที่ใส่สร้อยทันใดนั้นจี้คริสตัลก็เปล่งแสงออกมาเหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่กำลังไหลผ่านฉันยืนตะลึงฉันเห็นสายตาของเฟิงหลิงซ่านที่จ้องมองที่จี้อย่างพินิจพิจารณาฉันจึงรีบเอาสร้อยเก็บเข้าข้างในคอเสื้อ
“มันคืออะไรเหรอ” เขาถามฉันด้วยรอยยิ้มอีกครั้งพร้อมมองฉันอย่างอบอุ่น
ฉันเกิดความระแวงขึ้นมาทันทีที่เขาเอ่ยปากถามทุกคนที่นี่พากันทำตัวแปลกๆ กันหมด คนที่ช่วยฉันไว้ก็อาจจะไม่ใช่คนดีเสมอไป
“เครื่องรางป้องกันตัวน่ะ” ฉันตอบพร้อมกับปิดกล่องเครื่องประดับตราสัญลักษณ์ยันต์แปดทิศที่อยู่บนกล่องสะท้อนแสงสีเงินออกมาท่ามกลางแสงไฟ
เขายกยิ้มขึ้นมาและหมุนตัวเดินออกไป
ฉันเก็บกล่องเครื่องประดับพร้อมกับรีบเดินตามหลังเขาออกไปฉันเดินออกจากประตูพร้อมกับหันหลังไปมองเพื่อความแน่ใจอีกครั้งมันก็ห้องน้ำหญิงนี่นาแล้วทำไมผู้ชายพวกนี้ถึงได้เข้ามาในห้องน้ำหญิงได้อย่างไม่รู้สึกอะไรแบบนี้ล่ะ
นายเฟิงหลิงซ่านคนนี้ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
พอออกมาจากห้องน้ำฉันก็เห็นหญิงสาวที่ได้เตือนฉันก่อนหน้านี้เธอคนนี้ก็ยังคงดูเป็สาวในชุดนักกีฬาที่ไม่ค่อยชอบพูด
หลังจากที่เธอเห็นพวกเราออกมาก็รีบเดินเข้ามาหาทันทีเธอมองหน้าเฟิงหลิงซ่าน
“ไม่เป็ไรแล้วใช่ไหม” แววตาของเธอที่มองเฟิงหลิงซ่านดูไว้ใจเขามาก
เฟิงหลิงซ่านยิ้มขำพร้อมมองหน้าเธอ “ไป๋อิ่ง ถ้าครั้งหน้าอยากจะช่วยเหลือใครรบกวนเธอช่วยมีความกล้าหน่อยได้หรือเปล่า นั่นมันห้องน้ำหญิงนะ” เฟิงหลิงซ่านกอดอกพลางชำเลืองตามองไปทางห้องน้ำหญิง
ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ชื่อไป๋อิ่งนี่เองเธออยากช่วยฉัน
ไป๋อิ่งก้มหน้าลงเงียบๆ “นายก็รู้นี่ว่าเื่ของกวางเฉินใช่ว่าจะเข้าไปขวางเขาได้ง่ายๆ อาเฟิงถือซะว่าครั้งนี้ฉันติดหนี้น้ำใจนายก็แล้วกันนะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองเฟิงหลิงซ่านอย่างจริงจัง
เฟิงหลิงซ่านยิ้ม พยักหน้านิ่งๆ
ไป๋อิ่งหันกลับมามองฉันอีกครั้ง “เธอเป็ทายาทของตระกูลไหน”
“ตระกูลอะไร”
เธอดูอึ้งไป “ตระกูลหยางหวง ตระกูลฮวาเซี่ย หรือตระกูลอู่หาง”
ฉันก็มองเธออย่างอึ้งๆ “ฉัน...เป็คนจีนน่าจะเป็...เผ่าหยางหวงละมั้ง”
“ฮ่า ฮ่าฮ่า” เฟิงหลิงซ่านหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง มือก็กุมท้องตัวเองไปด้วย
ไป๋อิ่งหน้านิ่งขึ้นมาทันที “เฟิงหลิงซ่าน จริงจังหน่อย” จากนั้นก็หันกลับมามองฉันอีกครั้ง “เธอต้องระวังกวางเฉินไว้ให้ดีโดยเฉพาะเธอที่เป็มนุษย์ เขาเป็ทายาทของตระกูลแดรกคิวล่าและตระกูลปีศาจ”
“หยุดพูดเถอะ” เฟิงหลิงซ่านพูดแทรกขึ้นมา “เธอยังไม่รู้อะไรเลยแม้แต่เข้ามาเรียนที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย”
“ว่าไงนะ” ไป๋อิ่งใยิ่งกว่าเดิมนิ่งอึ้งอยู่นานเหมือนกับทั้งหมดนี้เป็เื่คาดไม่ถึงมันก็คงฟังดูไร้สาระเหมือนกับที่มีคนบอกฉันว่ามีแวมไพร์มาเรียนกับพวกเรานั่นแหละ
ฉันมองเธอที่ยืนอึ้งอยู่ แดรกคิวล่าอะไรปีศาจอะไร แล้วทายาทนั่นมันคืออะไร
หลังจากที่ฉันได้คุยกับสองคนนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเื่พวกนี้มันลึกลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก
ไป๋อิ่งเป็ผู้หญิงที่เงียบมาก ดูๆ ไปก็เหมือนกับพวกคุณหนูไฮโซแต่กลับไม่ค่อยพูดจากับใครเอาแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือในมือตัวเอง แต่กลับมีคนรายล้อมเธออยู่เต็มไปหมดแปลกมาก เหมือนกับพวกเขากำลังประจบคุณหนูลูกสาวของผู้ดีมีเงินยังไงยังงั้นเลย
ฉันนั่งลงข้างเฟิงหลิงซ่านมองดูผู้คนที่อยู่รอบๆ สไตล์แต่ละคนไม่ได้ดูเข้ากันเลย
ฉันนั่งอยู่ข้างเฟิงหลิงซ่านและั้แ่ที่เขาพาฉันออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ไม่สนใจฉันอีกเลย เอาแต่เล่นโทรศัพท์แต่ตอนนี้มีคนมากมายกำลังมองมาที่ฉัน
“ดูเหมือนว่านั่นจะเป็เด็กใหม่นะ” ผู้หญิงพวกนั้นเริ่มพากันกระซิบกระซาบและมองมาที่ฉัน
“แต่ดูเหมือนจะอายุเยอะเกินไปหน่อยที่จะเป็เด็กใหม่นะ”
“คิกคิกเธอจะไม่ให้คนอื่นแก่ขึ้นเลยเหรอ”
นี่นี่นี่ ขอร้องละพวกเธอช่วยคุยกันให้มันเบาๆหน่อยได้ไหม ไม่งั้นก็ไปคุยกันในกลุ่มแชทเลยไป
“ดูจากท่าทางแล้วน่าจะมาเข้าร่วมสอบเข้ามหาลัยเหมือนกับพวกเรานั่นแหละไม่รู้ว่าเธอสอบได้คะแนนเท่าไร”
วุ่นวายชะมัดเลยคะแนนสอบเข้ามหาลัยมันสำคัญขนาดนั้นเลยรึไง
“จะถามเื่คะแนนทำไมการสอบเข้ามหาลัยสำหรับพวกเรามันสำคัญรึไง”
“นั่นมันคำพูดของคนที่สอบได้แย่อย่างพวกเธอนี่นาแต่ฉันสอบติดมหาลัยปักกิ่งเชียวนะ”
“สอบติดมหาลัยปักกิ่งแล้วทำไมไม่ไปเรียนที่มหาลัยปักกิ่งล่ะ” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเยาะเย้ย “สำหรับที่นี่แล้วต่อให้เธอสอบเข้ามหาลัยฮาร์วาร์ดได้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกเพราะที่มหาลัยนี้ สาขาวิชาที่คนธรรมดาเรียน เราไม่นับว่ามันสำคัญหรอก”
สาขาวิชา ของคนธรรมดางั้นเหรอ
นี่คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็เทพจริงๆสินะ
“นักศึกษาทุกคนกรุณาเตรียมตัวเช็กอิน” ในที่สุดก็มีเสียงประกาศให้พวกเราเตรียมตัวเช็กอินขึ้นเครื่อง
ฮู่ ในที่สุดก็ได้เช็กอินสักทีหูฉันจะได้อยู่เงียบๆ บ้าง คนพวกนี้มองฉันเป็เด็กใหม่ซะที่ไหน ถ้าให้พูดตรงๆแล้วเหมือนพวกเขาพากันมามุงดูมนุษย์ต่างดาวมากกว่า
“เธอมีกระเป๋าเดินทางแค่นี้เหรอ” เฟิงหลิงซ่านมองกระเป๋าเป้ของฉันอย่างแปลกใจ
ฉันสะพายกระเป๋าขึ้นหลัง “อื้ม ฉันคิดว่าที่นี่มันแปลกๆฉันน่าจะอยู่ไม่นาน”
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ” เฟิงหลิงซ่านมองหน้าฉันด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยแปลกๆ จู่ๆฉันก็รู้สึกว่าดวงตาที่สดใสคู่นั้นมันดูนิ่งขรึมไป
ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเขาฉันยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ปกติทันใดนั้นฉันก็นึกถึงตอนที่พ่อบอกลาฉัน หรือว่า ครั้งนี้ ฉันจะอยู่ได้นานจริงๆ
เครื่องบินค่อยๆ ยกตัวขึ้นเหนือพื้นดินบนเครื่องบินลำนี้ยังมีไวไฟให้เล่นอีก เป็โทรศัพท์ที่ล้ำสมัยมากนักศึกษาพวกนี้ดูแปลกๆ กันอีกแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังเล่นโทรศัพท์มือถือเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปเห็นแบบนี้ค่อยทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็เื่ปกติขึ้นมาหน่อย แต่ว่า ทำไมพวกเขาถึงเล่นโทรศัพท์ได้แต่โทรศัพท์ฉันกลับเชื่อมต่อสัญญาณไม่ได้เลยไหนบอกว่ามีไวไฟไง ทำไมฉันค้นหาสัญญาณไม่เจอ หรือโทรศัพท์ฉันมันห่วยเกินไป
เล่นอินเทอร์เนตไม่ได้นี่มันเื่ใหญ่มากเลยนะ
แล้วอีกอย่างคนที่นั่งข้างหน้าฉันนี่ช่วยดูแลงูตัวใหญ่ั์สีขาวนี่ให้ดีๆ หน่อยได้ไหม
งูสีขาวใหญ่ั์ตัวนั้นโผล่หัวขึ้นมาจากเก้าอี้พร้อมกับจ้องมองเนื้อตากแห้งในมือฉัน
“ซี่ ซี่” มันกะพริบตาจ้องมอง ลำตัวสีขาวหิมะนั้นไม่ได้ทำให้มันดูน่ากลัวเลยแต่กลับดูน่ารักด้วยซ้ำไป ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่รู้ว่าสมองของฉันขาดสิ่งที่เรียกว่าความกลัวหรือใจกล้าเกินไปก็ไม่รู้แต่ว่าั้แ่เด็กจนโตฉันไม่เคยกลัวอะไรเลย
ฉันจ้องมองมันมันก็กำลังมองเนื้อตากแห้งในมือฉัน เอาเถอะ ฉันค่อยๆ เอาเนื้อตากแห้งยื่นไปตรงหน้ามันมันมองดูจากนั้นจึงงับเอาเนื้อตากแห้งเข้าไปในปาก แล้วเลื้อยหายไปหลังเก้าอี้
นี่มันมหาลัยอะไรเนี่ย
สถาบันการแสดงละครสัตว์งั้นเหรอ
“อ่อ ไม่ต้องกลัวหรอกสัตว์ที่นี่ไม่ทำร้ายคน เธอแค่คอยระวังคนก็พอแล้ว” เฟิงหลิงซ่านพูดกำชับยิ้มๆจากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปทางไป๋อิ่ง
ฉันกะพริบตาปริบๆ คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาเลยอะไรคือการบอกว่าสัตว์ไม่น่ากลัว แต่ให้ระวังคน
จากนั้นฉันก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องฉันอยู่ ฉันหันกลับไปมองช้าๆ และก็ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉันพอดีผีกองกอยตัวนั้น!
เขามองมาทางฉันและอ้าปาก “อ้า...” ฟันดำทั้งปากเลย
“อึก อึก” ฉันกลืนน้ำลายลงคอ หันกลับมามองออกไปนอกหน้าต่าง สูดลมหายใจเข้าลึกๆคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อย่างน้อยแสดงละครสัตว์ก็ยังดีกว่าต้องไปขับรถขุดดินละนะเหอะเหอะ
ทันใดนั้น ก็มีเงาสีแดงเงาหนึ่งบินผ่านปีกเครื่องบินไป
นั่นมันคืออะไร
นกเหรอ แต่ดูเหมือนมันจะใหญ่กว่านกนะ
ฉันลุกเกาะขอบหน้าต่างทันทีและในตอนนั้นนั่นเองที่ฉันเห็นว่าใต้ปีกเครื่องบินมีผู้ชายคนหนึ่ง ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา
นี่มัน อะไรกันเนี่ย
มีคนอยู่ด้านนอกเครื่องบิน
บ้า ไป แล้ว
“ซวยแล้ว ซวยแล้ว ซวยแล้ว” ฉันใจนผุดลุกขึ้นมา ทุกคนมองมาที่ฉันเป็ตาเดียวเฟิงหลิงซ่านกับไป๋อิ่งก็เช่นกัน เฟิงหลิงซ่านขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อฉันเผลอโพล่งคำหยาบออกมา
ฉันชี้ออกไปด้านนอกหน้าต่าง “ทุกคนเห็นไหม มี มี มีผู้ชายบินอยู่”
ทุกคนที่นั่งอยู่บนเครื่องต่างนิ่งเงียบแต่ละคนมองมาที่ฉันเหมือนไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรจากนั้นก็เหลือบตามองฉันที่ฉันดูใจนเวอร์เกินไปหลังจากนั้นทุกคนก็หันกลับไปเล่นโทรศัพท์ต่อ