“อืม เื่แรก ข้าเห็นว่าในเรือนจำมันมืดและชื้น ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน สภาพแวดล้อมมันเลวร้ายมาก เห็นได้จากม้วนเอกสารเรือนจำก่อนหน้า ข้าพบว่านักโทษส่วนใหญ่ร่างกายอ่อนแอเป็เพราะได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องทำให้ต้องเสียชีวิต ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับเป็ที่คุมขังนักโทษ อีกอย่างชาวบ้านในเมืองแซมบอร์ดก็เป็คนซื่อสัตย์อาจจะก่อเหตุอาชญากรรมเป็บางครั้ง อีกทั้งเหตุอาชญากรรมก็เป็เื่เล็กๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่เป็ข้อพิพากษาระหว่างเพื่อนบ้านก็ไม่สมควรที่จะได้รับการทรมานแบบนี้ ดังนั้นข้าตัดสินใจที่จะสร้างคุกใหม่ที่เรียบง่ายด้านนอกเขาวงกตใต้ดิน นักโทษที่เป็ชาวบ้านธรรมดาก็นำไปคุมขังที่ด้านนอกนั้น โอเลเกร์ เื่นี้เ้าช่วยข้าจัดการให้เร็วที่สุดนะ”
โอเลเกร์ชะงัก
เขาคาดไม่ถึงว่าเื่แรกที่ฝ่าาให้เขาจัดการจะเป็เื่นี้ ถ้าตามเหตุผล เรือนจำแห่งนี้แข็งแกร่งมาก ร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีนักโทษคนไหนหลบหนีไปจากที่นี่ได้ นับว่าเป็เรือนจำที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่...แต่ตอนนี้โอเลเกร์ไหนเลยจะกล้าตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจของาาได้ เขารีบทำตัวเป็ภูติตูดม้าที่ดี แสดงความจงรักภักดีออกมา “ฝ่าาทรงมีพระเมตตายิ่ง ทรงเห็นอกเห็นใจชาวประชา โอเลเกร์เคารพเลื่อมใสยิ่งนัก ฝ่าาโปรดวางใจ ข้าจะใช้เวลาสั้นๆ ในการสร้างเรือนจำหลังใหม่ด้านนอกวงกตใต้ดินนี้อย่างแน่นอนขอรับ”
ซุนเฟยพยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจ ต้องสำทับไปอีกประโยคว่า “อืม งั้นก็ดี แต่เ้าต้องจำไว้นะ อย่าได้ไปรบกวนชาวบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นห้ามบังคับเกณฑ์แรงงานชาวบ้านมาช่วย...เอาแบบนี้ ข้าคิดว่าสถานรักษาพยาบาลทหารในเมืองคงไม่อาจนำมาใช้การได้อีกครั้งแล้ว เ้าก็นำคนที่มีความรอบคอบไปตกแต่งบางส่วนแล้วเปลี่ยนที่นั่นให้กลายเป็เรือนจำก็ได้ กำลังทรัพย์ในท้องพระคลังตอนนี้มีจำกัด แค่ซ่อมแซมบางส่วนก็พอ”
โอเลเกร์รู้ว่านี่เป็โอกาสดีที่จะแสดงความจงรักภักดีจึงรีบพูดออกมาอย่างใจป้ำว่า “ฝ่าาโปรดวางใจ การซ่อมแซมตกแต่งเรือนจำครั้งนี้ ไม่ต้องใช้เงินจากท้องพระคลังก็ได้ขอรับ โอเลเกร์ยินดีที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเองขอรับ”
ซุนเฟยรอประโยคนี้อยู่เลย
เขาตบไหล่โอเลเกร์พร้อมรอยยิ้มแล้วพยักหน้า “อืม เห็นเ้ามีความจงรักภักดีขนาดนี้ ข้ารู้สึกดีใจมาก จำไว้นะ การปกครองประเทศของข้าอเล็กซานเดอร์รางวัลและการลงโทษข้าแบ่งแยกอย่างชัดเจน เ้าสร้างคุณูปการให้แก่เมืองแซมบอร์ด ทำให้ทุกคนในเมืองต่างซาบซึ้งกับความดีของเ้า ข้าอเล็กซานเดอร์จะไม่ให้เ้าต้องลำบากอย่างแน่นอน”
พูดจบ ซุนเฟยก็เดินออกจากเรือนจำไปพร้อมรอยยิ้ม
โอเลเกร์ได้รับประโยคที่ให้กำลังใจแบบนี้ ในใจก็พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
แม้แต่ตอนที่ถูกองค์าาตบไหล่ตัวเองเบาๆ ก็รู้สึกว่ามีพลังงานอบอุ่นพลั่งพรูออกมาทั่วร่าง เขารู้ว่าการซ่อมแซมเรือนจำครั้งนี้เป็โอกาสที่ยอดเยี่ยม เขาตัดสินใจแล้ว แม้ว่าจะต้องล้มละลายก็ต้องซ่อมแซมเรือนจำใหม่ให้ดีที่สุด และเขาเองก็เข้าใจความนัยที่ฝ่าา้าจะสื่อได้อย่างชัดเจน เื่นี้ไม่เพียงทำให้ฝ่าาพอพระทัย แต่ยังทำให้ชาวบ้านทั้งหมดรู้สึกดีด้วยเช่นกัน...คำใบ้นี้ ทำให้ในใจของเขายิ่งมั่นใจมากขึ้น
……
……
เมื่อออกจากเรือนจำที่น่ากลัวได้ ซุนเฟยไม่มีองครักษ์มาอารักขาตน เขาเดินตามเส้นทางลงูเาคนเดียวด้วยท่าทางผ่อนคลาย ชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามยามพระอาทิตย์ตกไปพลางร้องเพลงไปพลาง ขณะที่เดินเข้าไปในเมืองอย่างช้าๆ
เื่ราวที่ได้รับรู้ในวันนี้ไม่ใช่เื่เล็ก การปรับปรุงเรือนจำครั้งนี้ทำให้ได้พบเื่ที่เหนือความคาดหมายอย่างแผนที่ที่ตั้งเทพและปีศาจ ซุนเฟยอารมณ์ดีมาก ทิวทัศน์ที่สวยงามทำให้คนรู้สึกดื่มด่ำ บรรยากาศที่แสนสดชื่น ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอยากแหกปากะโลั่นท้องฟ้า
ภายใต้พระอาทิตย์ตกดิน แสงอาทิตย์ยามตกดินทอแสงสีทองบ่งบอกว่าเวลาอาหารค่ำมาถึงแล้ว ในเมืองแซมบอร์ดเต็มไปด้วยควันจากปล่องไฟ เหล่านกน้อยบินกลับรัง เสียงทุ้มต่ำของเหล่าแมลงดังระงม แม่น้ำและูเาที่สวยราวกับภาพวาด
ซุนเฟยเดินบนถนนเข้าไปในเมืองอย่างช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนจะกลับวังทันที
เขาอยากจะเดินชมชีวิตความเป็อยู่ประจำวันของเหล่าชาวบ้านในเมือง ฉากนี้สำหรับซุนเฟยที่เป็คนต่างโลกแล้ว การทะลุมิติมาที่นี่ เื่เหล่านี้ล้วนเป็สิ่งแปลกใหม่ เหมือนจู่ๆ เขาได้เข้าไปอยู่ในโลกภาพยนตร์แฟนตาซีในโลกเก่า สิ่งก่อสร้างด้วยหินขนาดใหญ่ในเมือง วัฒนธรรมแปลกๆ และรูปปั้นหินที่น่าเกรงขาม ทุกที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิตที่ซุนเฟยไม่เคยััมาก่อน ทำให้ซุนเฟยได้เปิดหูเปิดตา เขารู้สึกมหัศจรรย์ที่ตัวเองค่อยๆ ผสานเข้ากับโลกนี้
ตอนนี้เมืองเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบราวกับเป็แดนสุขาวดี
ตอนนี้ ‘ระดับชื่อเสียง’ ของซุนเฟยไม่เป็สองรองใครในเมืองแซมบอร์ด ไม่มีใครไม่รู้จักเขา ตลอดทางที่เดินบนท้องถนน บางครั้งก็จะมีคนเดินเข้ามาทำความเคารพ โชคดีที่แผ่นดินอาเซรอทมีการแบ่งแยกลำดับชนชั้นอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้เหมือนสมัยโบราณในโลกเก่าที่เมื่อเห็นราชวงศ์ก็ต้องรีบเข้าไปคุกเข่าทำความเคารพ ซึ่งมันก็ลดความยุ่งยากแก่ซุนเฟยได้ไม่น้อยเลย เขายิ้มทักทายตอบกลับไปทุกคนพลางเดินชื่นชมวิวทิวทัศน์ของเมือง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ กลายเป็ส่วนหนึ่งของเมืองเล็กๆ แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว ในใจรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดจนยากที่จะแยกออกจากกันได้ เหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่หลังฝนตกก็เจริญเติบโตขึ้นมา
“เฮ้ ซากิลจอมเ้าเล่ห์ อย่าวิ่งนะ...”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเด็กๆ ดังขึ้นมา มีเด็กน้อยตัวเล็กวิ่งทะเล่อทะล่าออกมาจากข้างในซอยโดยไม่ทันระวังจนชนเข้ากับร่างของซุนเฟย ดวงตากลมโตสีน้ำเงินมองซุนเฟยตาค้าง ด้านหลังของเขามีกลุ่มเด็กๆ วิ่งเข้ามา มีทั้งชายและหญิงซึ่งแต่ละคนก็มอมแมมไปทั่วตัว บนใบหน้าของทุกคนต่างเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นพวกเขาต่างมองมาที่ซุนเฟยพลางหัวเราะชอบใจ
ที่เหนือความคาดหมายคือ ในกลุ่มเด็กน้อยเขาได้เห็นหลุยส์ เด็กสาวผมแดงลูกสาววัยสิบสองปีของเพียร์ซ สาวน้อยน่ารักเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ตอนนี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าขาวนวลก็เต็มไปด้วยคราบสีเทา ดูเป็คนละคนกับเด็กสาวเมื่อสองสามวันก่อนที่อ้อนวอนซุนเฟยให้ช่วยชีวิตบิดาตัวเอง และถ้าซุนเฟยสามารถช่วยชีวิตเพียร์ซได้ก็จะยอมเป็คนรักของเขา ตอนนี้เธอดูร่าเริงสดใสยามที่ได้อยู่กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
“องค์าาอเล็กซานเดอร์...”
ในขณะที่ซุนเฟยพบหลุยส์ หลุยส์เองก็จำซุนเฟยได้เช่นกัน ถือโอกาสมองใบหน้าน่ารักดั่งตุ๊กตาที่กำลังแสดงท่าทางเ้าเล่ห์และกระดากอายที่เห็นไม่ได้ง่ายๆ ทันใดนั้นพวกเด็กๆ ต่างมารอบล้อมซุนเฟยอย่างเจี๊ยวจ๊าว
ไม่ช้า ชาวเมืองแซมบอร์ดก็ได้พบฉากที่ไม่น่าเชื่อแบบนี้
พวกเด็กๆ ซนมากเหมือนได้พบของเล็กชิ้นใหม่ พวกเขาต่างลูบคางเล็กๆ ที่สกปรกของตัวเองอย่างเงียบๆ กะพริบตาปริบๆ นั่งอยู่ริมถนน บางครั้งก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ท่ามกลางพวกเด็กๆ ก็มีร่างขององค์าาอเล็กซานเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขากำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยท่าทางมีชีวิตชีวา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่จริงใจเหมือนพวกนักพเนจรที่กำลังเล่านิทานให้พวกเด็กๆ ฟัง เขาอุ้มเด็กตัวเล็กๆ มอมแมมมาไว้ที่ตักโดยมีเด็กคนอื่นๆ ล้อมรอบกาย
“โอ้พระเ้า ขอบคุณสำหรับความเมตตาของพระองค์ที่ทำให้พวกเรามีาาที่กล้าหาญและสูงส่งเช่นนี้”
ทุกคนที่เห็นฉากนี้ต่างรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเติบโตขึ้นในใจของพวกเขาอย่างช้าๆ เดิมทีมีผู้หญิงบางคนถือไม้กวาดมาตามหาลูกชายตัวเองกลับบ้านไปกินข้าวด้วยท่าทางโมโห แต่เมื่อเห็นลูกชายแสนซนของตัวเองกำลังนั่งอยู่บนตักของาาแล้วกำลังฟังอะไรบางอย่างอยู่ ก็ยืนอย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางดีใจและแปลกใจ
……
ท่ามกลางวงล้อม
“ฮ่าๆๆ ดีๆๆ วันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกัน เื่ราวการผจญภัยของพ่อมดโดราเอมอนและโนบิตะจอมี้เีมีอีกมาก หากพวกเ้าชอบ ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาเล่าให้ฟังต่อ ตอนนี้ใกล้จะมืดแล้ว รีบกลับบ้านไปกินข้าวเถอะ!” ซุนเฟยอุ้มเด็กน้อยมอมแมมที่อยู่บนตักวางกับพื้นแล้วลุกขึ้นยืน เื่ราวในวันนี้จบลงด้วยรอยยิ้ม
“อ่า...ไม่อยากกลับบ้านเลย ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจสักนิด” พวกเด็กๆ ต่างโอดครวญ
พวกเด็กๆ ไม่อยากหยุดแค่นี้ แต่ละคนมองซุนเฟยด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ ดวงตากลมโตเป็ประกายวาววับ นี่ทำให้ซุนเฟยรู้สึกมีความสุขมาก ราวกับได้รับชัยชนะ เขาหัวเราะเสียงดังออกมา “ตอนนี้พวกเ้ายังเด็กนัก รอให้พวกเ้าโตขึ้นอาจกลายเป็นักรบผู้กล้าหาญที่แท้จริงหรือนักเวทผู้สูงส่งก็เป็ได้ เหมือนเื่ราวของพ่อมดโดราเอมอนและคนสนิทจอมี้เีอย่างโนบิตะ...”
“แต่พวกข้าไม่อาจกลายเป็นักรบหรือนักเวทได้...ฝ่าา บิดาของข้าเป็ช่างตีเหล็ก บางทีข้าก็อาจเป็ได้แค่ช่างตีเหล็กคนหนึ่ง” มีเด็กบางคงพูดออกมาด้วยท่าทางซึมเศร้า
“ใช่แล้ว ไม่มีนักเวทคนไหนยินดีรับลูกชาวบ้านอย่างพวกเราไปเป็ลูกศิษย์หรอก พวกเราไม่มีม้วนคัมภีร์คลื่นพลังด้วย...” เด็กน้อยอีกคนก็พูดออกมาด้วยั์ตาเศร้าๆ “ครอบครัวพวกเราจนมาก แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่มเลย พ่อบอกว่ามะรืนนี้จะส่งข้าไปเป็ข้ารับใช้ในคฤหาสน์ของท่านไวเคานต์ลิวอิส”
“เมืองแซมบอร์ดมีเพียงลูกขุนนางและพ้อค้าเท่านั้นถึงจะเชิญอาจารย์มาสอนได้...” สาวน้อยผมแดงหลุยส์กะพริบตากลมโตของเธอแล้วพูดว่า “ถ้ามีใครยอมสอนพวกเราก็คงดี...น่าเสียดายที่พ่อแสนี้เีของข้าก็ไม่มีคลื่นพลังอะไรเลย เฮ้อ!”
พวกเด็กๆ ต่างมีสีหน้าสิ้นหวัง รอยยิ้มบนใบหน้าเล็กๆ มอมแมมค่อยๆ หายไป เหลือเพียงความโศกเศร้าที่ไม่สมควรจะมีอยู่ในวัยนี้ มีเด็กคนไหนบ้างที่ไม่เคยใฝ่ฝันอยากเป็วีรบุรุษ? มีเด็กคนไหนบ้างที่ไม่อยากเป็วีรบุรุษที่ได้รับการชื่นชอบจากทุกคน? น่าเสียดายที่ความเป็จริงมันโหดร้าย ทำให้ความฝันของพวกเด็กๆ ที่ยังไม่ทันจะงอกเงยก็ถูกทำลายไป ด้วยสถานะทางสังคมที่ต่ำต้อยและแรงกดดันในการดำรงชีวิต ทำให้พวกเขาสูญเสียสิทธิที่จะไล่ตามความฝัน
เห็นใบหน้าที่ย่อท้อของพวกเขาแล้ว ในใจซุนเฟยก็พลันเ็ปไปด้วย
ในใจของเขาพลันกระตุก ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดที่ยอดเยี่ยมบางอย่าง
……
เมื่อกลับมาที่พระราชวัง เหล่าข้ารับใช้ก็เตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย ซุนเฟยก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของแองเจล่าและเจ็มม่า ในใจก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อกินข้าวไปได้ไม่กี่คำก็เตรียมจะเข้าไปในห้องโถงเงียบๆ คนเดียว ในใจคิดวางแผนสำคัญหลายอย่างที่ต้องทำ ตอนนี้เอง แองเจล่าก็เดินนำเจ็มม่าเข้ามา ในที่สุดพวกนางก็กลับมาแล้ว
“พวกเ้าสองคน วันนี้ไปไหนกันมาหรือ ทั้งวันข้าไม่เห็นแม้แต่เงาเลย?” ซุนเฟยถามกึ่งๆ หยอกล้อ
“ฮิๆ ฝ่าา คิดถึงพี่แองเจล่าใช่ไหมล่ะ?” สาวน้อยเจ็มม่าเหล่มองไปที่แองเจล่าที่เดินไปอยู่ข้างๆ ซุนเฟยก่อนหัวเราะคิกคัก
แล้วตอบไปว่า “พูดไปก็เป็เื่บังเอิญ วันนี้พวกเราบังเอิญไปพบองค์หญิงที่เป็เอกอัครราชทูตของราชอาณาจักรเซนิทบนถนนเข้าน่ะ เลยสนทนาพูดคุยกันอยู่นาน...ฝ่าา องค์หญิงองค์นี้ทรงสุภาพอ่อนโยนมาก พูดจาไพเราะ ไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งเลยนะ สนทนากับแองเจล่าอย่างร่าเริงเชียว...ฮิๆ ใช่แล้ว นางยังถามเกี่ยวกับเื่ราวของฝ่าามากมายเลยล่ะ”
---------------------------