บทที่ 2 ยาอายุวัฒนะไท่หยวน
เมื่อเห็นลู่อวี่มีสีหน้าท่าทางเช่นนั้น ก็เกิดความโกลาหลในศาลบรรพชนขึ้นอีกครั้ง
“เ้าคนหน้าด้าน ตระกูลลู่ใช้เงินมหาศาลเพื่อส่งเ้าไปเรียนรู้การปรุงยา แต่เ้ากลับไม่หวงแหนมัน ทั้งยังถูกาาโอสถขับไล่ออกมาจากสำนัก เ้าทำลายชื่อเสียงตระกูลลู่ของเราที่มีมานับพันปีไม่พอ ยังทำให้ตระกูลลู่กลายเป็ตัวตลกในสายตาของตระกูลใหญ่ทั่วทั้งเทียนตูอีก เพราะเหตุนี้จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลลู่กับคนจากเขาหนิงชุยเฟิงแยกออกจากกัน ก่อเกิดเป็ความเสียหายครั้งใหญ่ต่อตระกูล แล้วเ้ากล้าดีอย่างไรมาบอกว่าตนเองไม่มีความผิด?”
บุรุษผู้ไว้หนวดเคราน้อยๆ ะโออกมาต่อว่าลู่อวี่อีกครั้ง คนอื่นๆ ก็พลอยเห็นคล้อยตามกันทันที
“ใช่ หลังจากใช้เงินทองมากมายไปเพื่อเ้า แต่เ้ากลับถูกขับไสไล่ส่งออกมา เช่นนั้นแล้วไม่ใช่ว่าที่ตระกูลลู่ลงแรงไปทั้งหมดจะเสียเปล่าหรือ?”
“แล้วเดือนที่ผ่านมานี้เ้าไปไหนมา? เหตุใดถึงไม่เห็นแม้แต่เงาคน คงรู้ตัวว่ามีบาปหนาจึงไม่กล้ากลับมาน่ะสิ!”
“เ้าอาศัยอยู่ที่เขาหนิงชุยเฟิงมาสามปี ต่อให้เป็หมูตัวหนึ่ง สามปีก็ต้องเรียนรู้อะไรมาได้บ้าง แล้วเ้าไปทำอะไรมาบ้างเล่า? ทำอะไรไม่สำเร็จสักเื่ มิหนำซ้ำยังถูกไล่กลับมาอีก คงไม่ได้คิดจริงๆ ใช่หรือไม่ว่าตนเองคือนายน้อยของตระกูลลู่ แล้วจะกำเริบเสิบสานทำอะไรก็ได้?”
“ลู่อวี่เ้านั้นช่างอ่อนแอเมื่ออยู่ในตระกูล แต่กลับเที่ยวไปใช้อำนาจบาตรใหญ่เมื่ออยู่ภายนอก ครั้งนี้ยังมาทำลายความคาดหวังของตระกูลลู่อีก นับว่าตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
ลู่อวี่เลิกคิ้วพลันมองไปรอบกายอย่างเ็า แล้วยิ้มเยาะเย้ย “เ้าพวกตาหนูมองเห็นได้เพียงนิ้วเดียว เขาหนิงชุยเฟิงมันมีอะไรดีหนักหนา เสิ่นตานเจวี๋ยเป็เพียงคนปรุงโอสถขั้นห้าเท่านั้น แต่กลับได้รับการยกย่องว่าเป็ถึงาาโอสถ ช่างตลกเสียจริง!”
ชาติก่อนเขาเป็ถึงปรมาจารย์ปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งยาอายุวัฒนะก็กลั่นมาแล้ว กับเพียงคนปรุงโอสถขั้นห้าผู้หนึ่งจะนับว่าอยู่ในสายตาได้อย่างไร? ครั้นจึงพูดประโยคนั้นออกไปอย่างไม่สะทกสะท้านด้วยสีหน้าท่าทางของปรมาจารย์ปรุงโอสถ เพราะในสายตาของเขาแล้วเื่เท่านี้ไม่นับว่าเป็อะไร แต่สำหรับในสายตาของผู้อื่นแล้ว กลับเหมือนเป็การไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!
เมื่อเห็นลู่อวี่แสดงท่าทีแบบนี้ หลายคนถึงกับโกรธมาก เื่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขายังจะกล้าพูดจาเหยียดหยามเช่นนี้อยู่อีกหรือ?
“าาโอสถ ไม่ใช่คนที่เ้าจะจะมาเยาะเย้ยหรือถากถางได้ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
“เ้ามันก็แค่คนไร้ค่าที่มีพลังยุทธ์อยู่ขั้นหลอมร่างระดับสามคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์าาโอสถเฒ่า?”
“เชอะ ก่อเื่ใหญ่เช่นนี้แล้วยังจะกล้ามาะโเสียงดังในศาลบรรพชนอยู่อีก ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียบ้าง หากไม่รีบขับไล่เ้าออกไปจากตระกูลลู่ เช่นนั้นแล้วนับจากนี้ไปตระกูลลู่ยังจะมีอะไรให้น่าเชื่อถือได้อยู่อีก? ยิ่งไปกว่านั้นลู่เหว่ยจุนยังเป็…”
“ผัวะ!” ทันใดนั้นก็พลันปรากฏแสงวิเศษสีเขียวพุ่งออกมาจากฝ่ามือของลู่อวี่ แล้วตบไปที่ใบหน้าของคนที่กล้าเอ่ยปากพูดเป็คนสุดท้าย พลังมือมหาศาลส่งผลให้คนผู้นั้นตัวลอยปลิวออกไปไกล แล้วล้มลงกระแทกกับผนังห้องโถงทันที
แรงปะทะในครั้งนี้กลับทำให้ค่ายกลป้องกันบนตัวผนังเกิดแรงปะทะเด้งสวนกลับ ทำให้คนที่ถูกตบจนตัวลอยออกไปกระอักเืออกมาและเด้งตัวกลับ จนเสียการทรงตัวล้มลงบนพื้น และเป็ลมหมดสติไปในทันที!
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันช่างรวดเร็วเสียจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ที่สำคัญไปกว่านั้น ยังไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าลู่อวี่จะกล้าลงมือในศาลบรรพชน!
“ขั้นพลังจิต?!” ลู่เหว่ยจุนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าผู้อื่นเป็คนแรกที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของลูกชาย ก็พลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก!
การบำเพ็ญเพียรนั้นจะเริ่มต้นจากการฝึกลมปราณ ขั้นพลังยุทธ์จะเริ่มจากขั้นต่ำไปสูงและแบ่งออกเป็ขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรม ขั้นประสานพลังปราณ ขั้นพลังจิต ขั้นฟันฝ่า และขั้นตงซวน
ขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรมถือเป็ขั้นแรกที่แท้จริงของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ก่อนหน้าจะถึงขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรมนี้จะยังถือเป็โลกมนุษย์ปุถุชน เหมือนกับยอดฝีมือธรรมดาในยุทธภพของโลกมนุษย์ แต่เมื่อไต่ระดับถึงขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรมแล้ว จึงนับว่าเป็ก้าวแรกที่ได้ัักับการบำเพ็ญเพียร เพราะหากไม่มีขั้นเหล่านี้ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรจะมีคุณสมบัติดีเพียงใด มีทรัพยากรมากน้อยเท่าไร หรือมีภูมิหลังอย่างไร แต่หากไม่คิดฝึกฝนต่อไป นานวันเข้าก็จะสูญเสียโอกาสบำเพ็ญเพียรนี้ไป ดังนั้นการขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรมนี้ จึงเปรียบเหมือนประตูบานหนึ่ง ที่เมื่อหาประตูบานนี้พบแล้วผลักมันเปิดออกก็จะก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ได้ มิเช่นนั้นหากก้าวไม่ถึงขั้นก็จะยังคงอยู่ในโลกมนุษย์ตลอดไป
แต่หลังจากก้าวขึ้นถึงขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรม พลังปราณแรกเริ่มที่ฝึกฝนจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็พลังปราณขับเคลื่อนได้ ไม่ว่าจะในระดับความบริสุทธิ์หรือในอานุภาพ ก็ล้วนแล้วแต่เกิดผลลัพธ์และเห็นถึงความก้าวหน้าที่ดีไม่น้อย
ขั้นประสานพลังปราณนั้นคือขั้นต่อมาหลังจากถึงขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรมแล้ว จะเป็การฝึกฝนพลังปราณควบแน่นและประสานเป็พลังเวท ในขั้นนี้จำเป็ต้องฝึกฝนอย่างระมัดระวังและพิถีพิถัน เป็เพราะพลังปราณและพลังเวทสามารถก่อร่างกันและสลับสับเปลี่ยนกันได้ สองพลังนี้ถือว่ามีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย พลังปราณนั้นจะใช้เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง หรือเพื่อใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ระยะประชิด หรือเพื่อใช้พลังจิตเบื้องต้น ในขณะที่พลังเวทจำเป็ต้องอาศัยการร่ายคาถา ไม่ว่าจะเป็คาถาธาตุทั้งห้า คาถาสายฟ้าหรือคาถาอื่นๆ และไม่ว่าจะเป็เคล็ดลับวิชาอะไร ล้วนแล้วแต่ต้องขับเคลื่อนด้วยพลังเวททั้งสิ้น
ดังนั้นจึงมีเพียงการเข้าขั้นประสานพลังปราณเท่านั้น ที่จะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างอิสระ
ต่อมาขั้นพลังจิตคือขั้นที่ต้องอาศัยทั้งพลังปราณและพลังเวท แต่จำต้องฝึกฝนจนถึงขีดจำกัดสูงสุดถึงจะสามารถเลื่อนขั้นบำเพ็ญเพียรนี้ได้ หากสำเร็จไม่ว่าจะเป็พลังปราณหรือพลังเวท ก็คล้ายจะมีจิติญญาในพลัง สามารถแสดงเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่แปรเปลี่ยนพลังได้อีกร้อยแปดพันเก้าวิชา และยังบังคับพลังได้ตามที่ใจ้าและเมื่อฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ได้แล้ว ก็จะสามารถเริ่มฝึกอาวุธเวทย์ที่ติดตัวมาั้แ่เกิดของตนเองได้
ขั้นฟันฝ่าคือก้าวแรกของการแบ่งแยกเขตแดนที่ใหญ่ที่สุดของการฝึกตน ขั้นฟันฝ่านี้ไม่ใช่การฝ่าด่านความว่างเปล่า แล้วเปิดหน้าต่างสู่โลกอีกใบ แต่เป็การกำจัดความปรารถนาและความเห็นแก่ตัวจนสิ้น ให้ได้มองเห็นเนื้อแท้ภายในจิตใจของตนเอง ด่านการบำเพ็ญเพียรนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็แสนยาก เพราะเมื่อผ่านการฝึกฝนระดับนี้ไปได้แล้วถึงจะได้เป็นักพรตอย่างแท้จริง อีกทั้งยังจะมีที่เล็กๆ อีกหนึ่งที่เป็ตัวเองในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร และยังมีคุณสมบัติไล่ตามหาความเป็ะ
วกกลับเข้ามาที่เื่เดิม ลู่อวี่ไร้ซึ่งพร์ ซ้ำยังไม่ได้เล่าเรียนทักษะใดๆ มาั้แ่เมื่อครั้งยังเด็ก ดังนั้นตอนที่ไปฝากตัวเป็ศิษย์ของเขาหนิงชุยเฟิง จึงได้อยู่เพียงระดับสามของการฝึกฝนพลังลมปราณเท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียร หลังจากเรียนรู้อยู่ที่เขาหนิงชุยเฟิงมาได้สามปี ขั้นพลังยุทธ์ของลู่อวี่กลับไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่า หลังออกจากเขาหนิงชุยเฟิงมาได้เพียงเดือนกว่าๆ เขากลับฝีมือก้าวะโขึ้นมาจนถึงขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรมและขั้นประสานพลังปราณสองขั้นใหญ่ได้ และยังฝ่าด่านการบำเพ็ญเพียรมาจนถึงขั้นพลังจิต สิ่งนี้ทำให้ลู่เหว่ยจุนทั้งประหลาดใจและดีใจ จนถึงขั้นพูดไม่ออกขึ้นมาทันที
หลังจากจัดการคนในตระกูลลู่ที่กล้าเอ่ยวาจาสามหาวแล้ว ลู่อวี่ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเ็าแฝงไปด้วยถ้อยคำดูถูก “เ้าตัวตลก! กล้าเอ่ยปากว่าข้าไม่เคารพาาโอสถผู้นั้น แต่เ้ากลับกล้าเรียกชื่อท่านประมุขเช่นนี้ หมายความว่าเ้า มีความเคารพต่อผู้เฒ่าเช่นนั้นหรือ? ข้าจะตบหน้าลงโทษเ้า! และแม้ว่าเสิ่นตานเจวี๋ย จะอ้างว่าตนเป็ถึงคนปรุงโอสถขั้นห้า แต่เขากลับกลั่นยาอายุวัฒนะขั้นห้าได้เพียงหนึ่งหรือสองชนิดเท่านั้น และเป็เพียงยาอายุวัฒนะขั้นธรรมดา มีอะไรให้ควรคู่แก่การโอ้อวดกัน?”
“อวดดี!” ท่านผู้เฒ่ารองแห่งตระกูลลู่ ลู่หงชาง ะโด่าด้วยความโมโห แม้ว่าขั้นพลังยุทธ์ของลู่อวี่จะเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในสายตาเขาแล้ว เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกัน
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในเทียนตูไม่ได้เปี่ยมไปด้วยผู้เก่งกาจมากนัก หากมีคนปรุงโอสถขั้นห้าได้ก็นับว่าเป็ผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดแล้ว าาโอสถเสิ่นตานเจวี๋ย จึงถือเป็ปรมาจารย์ปรุงโอสถอันดับต้น ๆ ของโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตูแล้ว คนจากหลายตระกูลและอีกนับไม่ถ้วนในสำนักวิชาต่างพากันชะเง้อคอมองและพยายามหาทางประจบประแจง! แม้ว่าตระกูลลู่จะเป็ตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานนับพันปี ก็ยังไม่อาจหาญกล้ามีเื่ขัดใจกับาาโอสถผู้นั้นๆ!
ไม่ต้องพูดถึงคนปรุงโอสถขั้นห้า เพราะแม้แต่คนปรุงโอสถขั้นเก้าที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรม ก็นับว่ายังมีสถานะสูงกว่านักพรตขั้นพลังจิตธรรมดาผู้หนึ่งมาก
“ยาชิงซินของาาโอสถถือเป็ยาอายุวัฒนะที่มีฤทธิ์ต้านทานปีศาจที่อยู่ภายในจิตใจของนักพรตที่จะฝ่าด่านเพื่อก้าวขั้นพลังยุทธ์ได้ ต่อให้นักพรตผู้นั้นจะมีพลังยุทธ์ของขั้นตงซวนแรงกล้าจนฝ่าด่านการบำเพ็ญเพียรได้ก็ตาม ฤทธิ์ของยาชิงซินก็จะยังทรงอานุภาพดังเดิม ลู่อวี่เ้ายังไม่รู้วิธีปรุงยาด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดถึงได้กล้าดูถูกยาอายุวัฒนะขั้นห้าของาาโอสถได้เล่า?” ลู่หงชางพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ยาชิงซินจะนับเป็อะไรได้” ลู่อวี่หัวเราะเยาะ พลางหยิบขวดหยกขนาดเล็กที่แสนประณีตออกมาจากช่องเก็บของในแหวนลับ แล้วทำท่าทางส่ายไปมาให้ลู่หงชางมองตาม แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถาม ก็พลันโบกมือขึ้นให้วัตถุหนึ่งลอยไปทางลู่เหว่ยจุน
ลู่เหว่ยจุนที่จับตาดูลูกชายมาตลอดแบมือออก แล้วพลันปล่อยพลังที่มองไม่เห็นออกไปรับขวดหยกนั้นมา หลังจากตรวจดูแล้ว ก็ดึงจุกเปิดออกมาด้วยความสงสัย และทันใดนั้นเองกลิ่นหอมแปลกๆ กลิ่นหนึ่งก็ลอยโชยออกมา
ทันทีที่ได้กลิ่นหอมแปลกๆ นี้ ผู้เฒ่าสามลู่หงจีก็อุทานออกมาทันที “มันคือยาอายุวัฒนะไท่หยวน?!”
จู่ๆ ภายในศาลบรรพชนก็บังเกิดเป็ความเงียบขึ้นมาทันที เพราะทุกสายตาของคนตระกูลลู่กลับเพ่งมองขวดหยกในมือของประมุขลู่เหว่ยจุนที่เปิดออกมาด้วยความสงสัย
ลู่เหว่ยจุนค่อยๆ จัดการเทขวดหยก เทเอายาจากด้านในออกมาเม็ดหนึ่ง แล้ววางลงบนฝ่ามือพลันพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด ผู้เฒ่าาุโทั้งสี่คนที่นั่งอยู่บนที่นั่งและนักพรตคนอื่นๆ ของตระกูลลู่ที่มีคุณสมบัติก้าวขึ้นมานั่งอยู่ ณ ที่นี้ ต่างก็จ้องมองมันด้วยแววตาลุกโชน ทุกสายตาเพ่งมองไปทางยาอายุวัฒนะในมือของประมุขตระกูลลู่
นั่นคือยาอายุวัฒนะสีเขียวมรกตขนาดเท่านิ้วก้อย สีใสบริสุทธิ์และสละสลวยเหมือนหยก นอกจากนี้ยังมีแสงอ่อนๆ เปล่งประกายออกมาจากด้านนอกของยาอายุวัฒนะด้วย เมื่อผู้เฒ่าสามลู่หงจีเห็นเช่นนั้นก็อดเอนตัวไปเบื้องหน้าเพื่อดูใกล้ๆ ไม่ได้ ดวงตาเบิกกว้างและอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ใช่ยาอายุวัฒนะไท่หยวนขั้นหกจริงๆ ด้วย”
ยาอายุวัฒนะนั้นมีทั้งหมดเก้าขั้นด้วยกัน ขั้นเก้าถือเป็ขั้นที่ต่ำที่สุด ส่วนขั้นสูงสุดจะเป็ขั้นหนึ่ง ทว่ายาอายุวัฒนะขั้นหก กลับถือเป็ยาอายุวัฒนะที่มีระดับสูงสุดของโลกการบำเพ็ญเพียรในเทียนตูแล้ว นักพรตจำนวนไม่น้อยยังไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสได้เห็นมันด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ได้ลองลิ้มรสเลย
และยาอายุวัฒนะไท่หยวนถือเป็ยาพิเศษในบรรดายาอายุวัฒนะขั้นหก ไม่เพียงแต่ตัวยาที่จำเป็ต่อการปรุงยานั้นจะหายาก เพราะกว่าจะกลั่นยาออกมาได้นั้นนับว่าเสียหายมากกว่าสำเร็จ ยิ่งกว่านั้น ความสำคัญของมันในหมู่ยาอายุวัฒนะด้วยกัน ก็นับว่ามีประสิทธิผลดีกว่ายาชิงซินขั้นห้าด้วยซ้ำ ดังนั้นทันทีที่ยาอายุวัฒนะนี้ปรากฏออกมา ก็ล้วนทำให้ทุกคนตกตะลึงกันถ้วนหน้า
“ยาอายุวัฒนะไท่หยวน! นี่คือสมบัติล้ำค่าของยอดเขาเจิ้งซานในเขาหนิงชุยเฟิง เดิมทีไม่ขายให้กับคนภายนอก อีกทั้งตระกูลลู่ของเรายังไม่เคยได้รับมันมาหลายร้อยปีแล้ว! ยาอายุวัฒนะไท่หยวนเม็ดสุดท้ายในอดีต เป็ข้าที่ได้กินมัน ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันนี้จะได้พบมันอีกครั้ง!” ผู้เฒ่าใหญ่ลู่หงเซิ่งทั้งประหลาดใจและร้องอุทานออกมา เพราะยาอายุวัฒนะไท่หยวนทุกเม็ดต่างช่วยเสริมพละกำลังและความแข็งแกร่งให้คนตระกูลลู่ไม่น้อย
“ยาอายุวัฒนะไท่หยวนขั้นหก ถึงแม้ประสิทธิผลจะเทียบเท่ายาชิงซินขั้นห้าไม่ได้ แต่ประโยชน์ของมันเมื่อนำมาเทียบกันแล้วย่อมดีกว่า นับเป็ยาที่ดีที่สุดในการใช้ฝ่าด่านขั้นพลังยุทธ์ ในขั้นที่ต่ำกว่าขั้นตงซวน และใช้กับนักพรตที่มีอุปสรรคในการก้าวขั้นบำเพ็ญเพียร ย่อมเทียบได้กับยาวิเศษ!” ท่านผู้เฒ่าสามลู่หงจีก็ตื่นเต้นมากเช่นเดียวกัน เขาและท่านผู้เฒ่าสี่ลู่หงเฟิงต่างอยู่ใน่เริ่มต้นขั้นตงซวน และจมอยู่กับขั้นนี้มาร้อยปีแล้ว เวลานี้เมื่อมียาอายุวัฒนะไท่หยวน ก็เหมือนกับขอทานที่หิวโหยมาสามวันได้เห็นงานเลี้ยงอาหารของชาวแมนจูและชาวฮั่น
ทุกคนในห้องโถงต่างใไม่น้อย ขั้นหก? ยาอายุวัฒนะไท่หยวน? ยาอายุวัฒนะไท่หยวนในตำนานเช่นนั้นหรือ? ยาอายุวัฒนะไท่หยวนที่ขั้นตงซวนใช้เพื่อฝ่าด่านพลังยุทธ์โดยเฉพาะเช่นนั้นหรือ?
แล้วเหตุใดเขาหนิงชุยเฟิงถึงเป็สถานที่นิยมของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในเทียนตู ไม่ใช่เพราะว่าาาโอสถเสิ่นตานเจวี๋ยพลังยุทธ์สูงส่ง และไม่ใช่ว่าเขาสามารถกลั่นยาชิงซินขั้นห้าได้ แต่เป็เพราะยาอายุวัฒนะไท่หยวน เขาอาศัยยาอายุวัฒนะนี้ อยู่ในโลกของการบำเพ็ญเพียรในเทียนตูและได้รับการเคารพนับถืออย่างกว้างขวางถึงได้รับสมญานามว่า “าาโอสถ” ไม่เช่นนั้นเขาที่มีพลังยุทธ์อยู่ใน่ปลายขั้นฟันฝ่า หากเทียบกับโลกของการบำเพ็ญเพียรในเทียนตูแล้ว ก็นับว่าอยู่เพียงขั้นปานกลางเท่านั้น
แต่ยาอายุวัฒนะไท่หยวนก็ไม่ใช่ใครคิดจะปรุงกันขึ้นมาได้ง่ายๆ ด้วยวัตถุดิบยามีน้อย ปรุงก็ยาก ซ้ำยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ทางเขาหนิงชุยเฟิงก็ปรุงยาอายุวัฒนะไท่หยวนได้เพียงสิบกว่าเม็ดต่อปีเท่านั้น นอกจากเก็บไว้ใช้เองแล้ว ก็ยังนำมาใช้เป็สื่อกลางเชื่อมความสัมพันธ์มอบให้กันเป็สินน้ำใจได้ แต่ก็แสนจะน้อยนิด ดังนั้นจึงเป็สาเหตุให้ยาอายุวัฒนะนี้มีค่ามาก
และแม้ทุกคนในห้องโถงนี้จะถือเป็สมาชิกหลักของตระกูลลู่ แต่ผู้ที่จะได้รับยาอายุวัฒนะนี้ไปต่อปีก็มีเพียงไม่กี่คน นอกเหนือจากเก็บไว้ให้ตนเองแล้ว กลับยังต้องแบ่งบางส่วนให้กับทายาทของตนเองอีก นับว่ายาอายุวัฒนะนี้ไม่เคยเพียงพอ ผู้ที่ถือครองก็ต่างใช้กันอย่างขัดสน และส่วนใหญ่ที่ได้รับมา ก็ล้วนแล้วแต่เป็ยาอายุวัฒนะขั้นต่ำไม่ขั้นแปดก็ขั้นเก้า และยาอายุวัฒนะขั้นเจ็ดก็ถือว่ามีน้อยมาก
เวลานี้ สายตาของบุรุษที่แข็งแกร่งในตระกูลลู่ต่างเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า เพราะหากได้ยาอายุวัฒนะไท่หยวนอย่างเม็ดนี้มา แน่นอนว่าความแข็งแกร่งย่อมต้องก้าวสู่ขั้นสูงได้อย่างแน่นอน!