ครั้นมองไปที่เนี่ยนเฉินน้อย จวินจิ่วเฉินไม่สามารถแยกออกได้ว่าตนเองคุ้นเคยกับภาพของการยกชามบะหมี่เจหรือคุ้นเคยกับใบหน้าอ่อนวัยและไร้เดียงสา
เขาค่อยๆ ทะยานตัวลง สายตายังคงจับจ้องเนี่ยนเฉินน้อยโดยไม่กล่าวถึงสิ่งใด
เนี่ยนเฉินน้อยรีบยื่นชามบะหมี่เจไปด้านหน้าของชายหนุ่ม “เตี้ยนเซี่ย นี่คือบะหมี่”
จวินจิ่วเฉินจึงรู้สึกตัว เขารับบะหมี่เจมานั่งทานบริเวณต้นไม้อย่างเงียบเชียบ ความคุ้นเคยมักจะแวบผ่านอย่างรวดเร็วจนเขามิอาจคว้าเอาไว้ได้ มันจึงไร้ประโยชน์ในการคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เนี่ยนเฉินน้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าของชายหนุ่ม เด็กน้อยเอียงศีรษะเหม่อมองเขาทานอาหารด้วยรอยยิ้มดีใจที่มีความไร้เดียงสาและความเรียบง่าย
ครั้นจวินจิ่วเฉินรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เนี่ยนเฉินน้อยจึงรับชามกับตะเกียบมาพลางเตรียมเดินออกไป แม้ว่าเด็กน้อยจะยิ้มแย้มอยู่ตลอด ทว่าเขาไม่ใช่คนช่างพูด นิสัยเงียบเฉยนี้คล้ายคลึงจวินจิ่วเฉินเหลือเกิน
จวินจิ่วเฉินหยุดเขาไว้พลันเอ่ยถาม “เ้าเป็เด็กกำพร้าหรือ? ”
แม้ว่าวัดต้าฉือจะเป็วัดประจำราชวงศ์ ทว่าภิกษุสงฆ์ในนี้เป็คนของจวินจิ่วเฉินมานานแล้ว สามเณรน้อยผู้นี้ถูกรับเลี้ยงโดยผู้ดูแลาุโ จวินจิ่วเฉินจึงรับรู้เื่ราวมาั้แ่แรกแล้ว
เนี่ยนเฉินน้อยผงกศีรษะตอบรับ “ใช่แล้ว! ”
จวินจิ่วเฉินจึงถามต่อไป “อายุเท่าใดแล้ว? ”
“เก้าปี? ” เนี่ยนเฉินน้อยนับนิ้วครุ่นคิดพลางส่ายศีรษะไปมา “แปดปี? ”
เขาสับสนอยู่นาน สุดท้ายจึงลูบศีรษะแวววาวพลันยิ้มแย้มด้วยความเขินอาย “น่าจะแปดถึงเก้าปี”
จวินจิ่วเฉินเอ่ยถามอีกครั้ง “คิดถึงบิดามารดาหรือไม่? ”
เนี่ยนเฉินน้อยฉีกยิ้มจนดวงตาทั้งสองเปล่งประกายแวววาว “คิดถึง”
จวินจิ่นเฉินประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นเด็กกำพร้าคนไหนมีความสุขยามพูดถึงบิดามารดามาก่อน ในยามนี้เนี่ยนเฉินน้อยดูเหมือนมิใช่เด็กกำพร้าแต่เป็เด็กน้อยที่เคยได้รับความรักจากบิดามารดา
ชายหนุ่มจึงเกิดความสงสัย “บิดามารดาไม่้าเ้าแล้ว เ้าไม่โกรธเคืองหรือ? ”
เนี่ยนเฉินน้อยยังคงยิ้มแย้ม รอยยิ้มอ่อนโยนของเด็กน้อยปรากฏถึงความเวทนาที่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยจะมี เด็กน้อยประดุจเทพเ้าที่วัดต้าฉือให้ความเคารพนับถือ จิตใจของเขาสามารถรองรับความชั่วร้าย ความสังเวช และความทุกข์ยากลำบากบนโลกมนุษย์ได้ทั้งหมด เด็กน้อยไร้เดียงสาราวกับเป็พระที่รู้แจ้งเห็นจริง เพราะมีทั้งความกรุณาปรานีและกุศลอันดีงาม
เนี่ยนเฉินน้อยกล่าวว่า “สำหรับบิดามารดานั้น ข้ายกโทษให้แล้ว! ”
มีสิ่งใดที่ไม่สามารถยกโทษให้บิดามารดากัน?
จวินจิ่วเฉินตกตะลึงในใจ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเงียบขรึมไปนาน ผ่านมาครู่หนึ่งเขาก็ยังคงไม่ได้พูดต่อ ได้แต่ลูบศีรษะแวววาวของสามเณรน้อยพลันสาวเท้าออกไป
จวินจิ่วเฉินออกจากวัดต้าฉือโดยที่เดินทางไปยังเมืองจิ้นหยาง ในขณะเดียวกันกูเฟยเยี่ยนก็กำลังรับมอบหน้าที่การงานของห้องยาสำนักหมอหลวงต่อจากใต้เท้าหนานกง
ใต้เท้าหนานกงรู้ซึ้งถึงความสามารถของกูเฟยเยี่ยนมาั้แ่แรกแล้ว เขาไม่รู้สึกแปลกใจกับการเลื่อนตำแหน่งของกูเฟยเยี่ยนในครั้งนี้ สิ่งที่เขาแปลกใจมากก็คือกูเฟยเยี่ยนแสดงศักยภาพและอิทธิพลออกมาทันทีที่ตนเองเข้ารับตำแหน่งใหม่
หลังจากที่มอบหมายตราประทับกับงานต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าหนานกงจึงเจตนาเดินไปหากูเฟยเยี่ยนพลางเอ่ยกระซิบเตือนสติ “ศาสตราจารย์แพทย์กู ภายในห้องยาสำนักหมอหลวงไม่ได้ง่ายดายเฉกเช่นที่เ้าคิด ปัญหาน้อยลงหนึ่งเื่ดีกว่าปัญหาเพิ่มขึ้นหนึ่งเื่ พวกเราเป็แพทย์ พวกเราควบคุมตำรับยาสมุนไพรให้ดีก็เพียงพอแล้ว”
กูเฟยเยี่ยนลอบคิดว่าเพราะมีการกระทำของใต้เท้าหนานกง ห้องยาสำนักหมอหลวงจึงมีคนอย่างซ่างกวนยิงหงกับเวินอวี่โหรว หญิงสาวพยักหน้าทว่าไม่ได้ตอบกลับ
เมื่อเห็นว่าถังจิ้งยังไม่มีการเคลื่อนไหว นางจึงไปพบซูไท่อีที่สำนักไท่อี ซูไท่อีเป็คนของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย กูเฟยเยี่ยนไว้ใจเขามากกว่าใต้เท้าหนานกง กูเฟยเยี่ยนพูดคุยกับเขาเป็เวลานาน ทว่านางไม่ได้พูดถึงเื่ของสำนักไท่อี แต่เป็เื่ของห้องยาสำนักหมอหลวง
ใบสั่งยาที่ออกโดยสำนักไท่อีจะต้องได้รับการตรวจสอบ จัดเตรียม และปรุงตัวยาโดยห้องยาสำนักหมอหลวง ทั้งสองสำนักนี้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังตรึงกำลังกันและกัน ดังนั้นความลับมากมายจึงปกปิดไว้ไม่อยู่
กูเฟยเยี่ยนรับฟังข้อมูลจนรับรู้คร่าวๆ แล้ว นางรู้ว่าคนกลุ่มไหนที่ตนเองสามารถใช้งานได้ และคนกลุ่มไหนที่ตนเองควรระมัดระวัง
ผ่านไปไม่นานขันทีที่ซูไท่อีส่งออกไปก็กลับมารายงาน เขากล่าวว่าเทียนอู่ฮ่องเต้ทรงติดตามถังจิ้งด้วยตนเอง พระองค์้าติดตามเป็เพื่อนตลอดทั้งวัน ถังจิ้งไม่สามารถออกมาได้ในเร็ววันแน่ๆ
เห็นได้ชัดว่าเทียนอู่ฮ่องเต้พยายามเอาใจเพื่อ้าติดสินบนราชทูตถังจิ้ง
กูเฟยเยี่ยนไม่เชื่อว่าพี่ถังจิ้งจะรับการติดสินบน นางจึงฝากให้ขันทีส่งต่อคำพูดถึงถังจิ้งแล้วออกจากพระราชวังเพื่อกลับไปที่ตระกูลกู
ระหว่างทาง หญิงสาวครุ่นคิดถึงเื่หนึ่ง นางคิดว่าตนเองจำเป็ต้องเลี้ยงดูคนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งภายในและภายนอกพระราชวังให้เร็วที่สุด นางต้องซื้อตัวผู้ที่มีหูตาเป็สับปะรด [1]
ครั้นกูเฟยเยี่ยนเดินทางมาถึงตระกูลกู ท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว ทว่าหน้าประตูใหญ่ตระกูลกูกลับรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนมากมาย บริเวณนี้มีแสงไฟสว่างจ้าและครึกครื้นเหลือเกิน
ประตูใหญ่ตระกูลเปิดอ้ากว้าง ด้านหน้าเรียงรายไปด้วยหีบสมบัติมากมายอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยดั่งัยาวตัวหนึ่ง หีบสมบัติเหล่านี้ตั้งวางั้แ่หน้าประตูไปจนถึงขั้นบันได ทอดยาวตรงไปจนถึงตัวบ้าน หีบสมบัติทั้งหมดเปิดอ้าออก ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับเพชรพลอยและผ้าไหมแพร
เกิดเหตุใดขึ้น?
รางวัลที่เทียนอู่ฮ่องเต้มอบให้นางไม่ได้มากมายเพียงนี้มิใช่หรือ?
กูเฟยเยี่ยนผลักกลุ่มคนออกพลางสาวเท้าเข้าไปในจวนตามทางที่รายล้อมไปด้วยหีบสมบัติ หญิงสาวเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงห้องโถงเฟิงหวา ภายในห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยหีบสมบัติล้ำค่าเช่นกัน กองสมบัติสีทองอร่ามและเพชรนิลจินดาระยิบระยับจนแทบจะทำให้ดวงตาของนางบอดลง
กูเอ้อร์เย่กับหวังฟูเหรินนั่งอยู่ในตำแหน่งหลักด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็กันเอง โดยเฉพาะหวังฟูเหรินที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนแทบจะมองไม่เห็นดวงตาแล้ว ในส่วนของเฉิงอี้เฟยกับหลินฟูเหรินผู้เฒ่านั้นนั่งอยู่บริเวณด้านข้างด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
์ทราบดีว่าพวกเขาพูดคุยกันอย่างราบรื่นเพียงใด เพราะไม่มีใครสังเกตเห็นว่ากูเฟยเยี่ยนมาถึงหน้าประตูแล้ว ครั้นกูเฟยเยี่ยนตั้งใจฟังจึงรับรู้ว่าพวกเขากำลังพูดคุยถึงเื่ของการมีบุตร
ทันทีที่กูเฟยเยี่ยนร้อนรน หญิงสาวก็เอื้อมมือไปปิดฝาหีบสมบัติที่อยู่ด้านข้างอย่างรุนแรง “ปัง!
ทั้งสี่คนรวมไปถึงเฉิงอี้เฟยต่างก็หยุดชะงักพลันพร้อมใจกันหันมามองด้วยความตกตะลึง
หวังฟูเหรินรู้สึกตัวเป็คนแรก นางรีบสาวเท้าไปหากูเฟยเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดศาสตราจารย์แพทย์ของพวกเราก็กลับมาแล้ว! รีบมานี่เร็ว ฟูเหรินผู้เฒ่ากับท่านแม่ทัพรอเ้ามาเป็เวลานานแล้ว”
หวังฟูเหรินเอ่ยพลางคว้าแขนของกูเฟยเยี่ยนด้วยความสนิทสนม ทว่ากูเฟยเยี่ยนกลับผลักออกอย่างไม่เกรงใจ ในขณะที่หวังฟูเหรินจะเอ่ยออกมา กูเฟยเยี่ยนก็ส่งสายตาตักเตือนไปเพื่อให้นางหุบปากอย่างเชื่อฟัง
ในยามนี้ไม่เพียงแค่กูเอ้อร์เย่กับหวังฟูเหรินที่เกิดความอึดอัด เพราะแม้แต่หลินฟูเหรินผู้เฒ่ายังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน ทว่าเฉิงอี้เฟยที่เป็ผู้เสนอความคิดเช่นนี้ออกมากลับไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งไขว่ห้างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างไร้จิตสำนึก
กูเฟยเยี่ยนเดินวนรอบห้องเพื่อปิดหีบสมบัติที่เปิดอ้าอยู่ทีละใบ สุดท้ายจึงหันไปมองเฉิงอี้เฟยพลันกล่าวด้วยความจริงจัง “เ้าออกมากับข้าหน่อย! ”
เฉิงอี้เฟยลุกขึ้นบิดี้เี จากนั้นจึงรีบตามไปในทันใด
กูเฟยเยี่ยนเอ่ยออกมาด้วยโทสะ “เ้าจำเป็ต้องทำให้เื่ราวใหญ่โตจนผู้คนรับรู้ทั่วทั้งเมืองหรือ? ”
เฉิงอี้เฟยวิงวอนด้วยท่าทีที่น่าเวทนาใจ “แพทย์หญิงน้อย เ้าแต่งงานกับข้าเถอะนะ เ้าก็ได้ยินแล้วว่ามารดาของข้าเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยหลานๆ แล้ว” แม้ว่านางจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็ศาสตราจารย์แพทย์แล้ว ทว่าเขาก็ยังคงชื่นชอบเรียกนางว่าแพทย์หญิงน้อย เขาแทบอยากจะให้นางเป็แพทย์หญิงน้อยของเขาแต่เพียงผู้เดียวไปตลอดกาล
กูเฟยเยี่ยนเอ่ยด้วยความจริงจัง “ข้าไม่แต่ง! ”
เฉิงอี้เฟยเกิดความคร่ำครวญ “เช่นนั้นเ้า้าแต่งงานเมื่อใด? ”
กูเฟยเยี่ยนตอบออกมาโดยไม่ลังเล “ไม่แต่งตลอดกาล! ”
เฉิงอี้เฟยหัวเราะเสียงดังทันที “เ้าพูดเองนะว่าจะไม่แต่งงานตลอดกาล เปิ่นเจียงจวินจดจำไว้แล้ว! หากวันใดวันหนึ่งเ้า้าแต่งงาน เปิ่นเจียงจวินจะเป็คนแรกที่ไม่อนุญาต! หากเ้ากล้าแต่งงาน เปิ่นเจียงจวินจะฉุดเ้าสาวอย่างแน่นอน! ”
อะไรนะ?
————————
เชิงอรรถ
[1] ตาเป็สับปะรด หมายถึง มีพรรคพวกที่คอยสอดส่องเหตุการณ์ให้อยู่รอบข้าง