ท่าทีเช่นนั้นเต็มไปด้วยความยโสโอหัง แต่หลิวฉงกลับโกรธเกรี้ยวและเกลียดตัวเองที่มีตบะต่ำต้อย
เมื่อเฉียนหงเห็นเฉียนเปียวคว้าชัยชนะ สีหน้าของเขาก็เผยความพอใจ กระทั่งรีบหมุนตัวไปและกล่าวกับลู่ตงว่า “ท่านพ่อตา พลังของเฉียนเปียวเห็นประจักษ์ชัดแจ้ง สมกับเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งในที่แห่งนี้ เพราะฉะนั้นเฉียนเปียวเหมาะที่จะไปมาหาสู่กับน้องลู่เหยา ท่านพ่อตาโปรดตัดสินด้วยเถอะ!”
ลู่ตงได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะผงกศีรษะขึ้นลงหลายครั้ง เมื่อครู่เขาดูศึกระหว่างเฉียนเปียวและหลิวฉงอย่างไม่คาดสายตา แล้วค่อนข้างพอใจกับศักยภาพของเฉียนเปียว เฉียนเปียวไม่เพียงแต่มากพร์ แต่ยังมีเื้ัที่ทรงอำนาจคอยสนับสนุน ผนวกกับความสัมพันธ์ระหว่างเฉียนหง ลู่ตงก็ได้ตัดสินใจเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ลู่เหยาอาจจะปวดใจ แต่ในฐานะบิดา ลู่ตงย่อมเลือกสิ่งที่ดีให้กับบุตรสาวของตน หากได้ครองคู่กับเฉียนเปียว เช่นนั้นอนาคตของลู่เหยาจะรุ่งเรือง ซึ่งดีกว่าหนานกงอวี่ที่ไร้ซึ่งเื้ัคอยสนับสนุน ดังนั้นลู่ตงจึงยอมรับเฉียนเปียวที่จะเป็สามีของบุตรสาวคนที่สองของตน จากนั้นลู่ตงพูดขึ้นว่า “ศักยภาพของเฉียนเปียวยอดเยี่ยม ข้ายอมรับในศักยภาพของเขา ข้าจึงตัดสินใจว่าผู้ที่จะได้มาหาสู่กับลู่เหยาก็คือเฉียนเปียว”
เมื่อลู่เหยาได้ยินเช่นนี้ก็เผยสีหน้าสิ้นหวัง รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา ทว่าเฉียนเปียวกลับปลื้มปีติ เขาเฉียนเปียวสนใจลู่เหยามาตลอด ทั้งยังชื่นชมความงามของนาง จนในที่สุดวันนี้เขาก็ได้มา แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“เป็เฉียนเปียวตามคาด เขาทรงพลังและมากพร์ คุณหนูลู่เหยาจะกลายเป็ผู้หญิงของเฉียนเปียว ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!” ผู้คนได้ยินคำพูดของลู่ตงต่างก็มองเฉียนเปียวด้วยสายตาอิจฉา การที่คว้าหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงโจวมาเป็ภรรยาได้ก็คุ้มค่าที่จะให้พวกเขาอิจฉาแล้ว
“ช้าก่อน!”
อย่างไรก็ตามตอนที่ผู้คนคิดว่าลู่เหยาจะกลายเป็ผู้หญิงของเฉียนเปียว จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงนี้ฟังแล้วเฉยชา แต่แฝงด้วยความมั่นใจ จากนั้นทุกคนก็หันไปมองต้นเสียงด้วยความสนใจ
เฉียนเปียว เฉียนหง และลู่หว่านต่างชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นมองไปทางต้นเสียงและเห็นว่าผู้พูดเป็ชายผู้หนึ่ง ชายผู้นี้มีอายุประมาณ 16-17 ปี หน้าตาหล่อเหลา สง่าผ่าเผย ซึ่งก็คือเย่เฟิงที่เอาแต่ดื่มสุราจนผู้คนเกือบลืมการมีอยู่ของเขา
“มีเื่อันใด?” ลู่ตงเอ่ยถามขณะมองเย่เฟิง เขาไม่รู้จักเย่เฟิง แต่รู้เพียงว่าเย่เฟิงเป็สหายของหนานกงอวี่ ส่วนเื่อื่นนั้นลู่ตงก็ไม่ทราบ
“ผู้นำลู่เหมือนจะลืมอะไรไปอย่าง หนานกงอวี่สหายข้ายังไม่ได้ประลองฝีมือกับเฉียนเปียว ตัดสินเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ” เย่เฟิงกล่าวขึ้นพร้อมดวงตาส่องประกายคมกริบ ทั้งยังยืนหลังตรงดุจพู่กัน
“หมอนี่เป็ใครมาจากไหน ไม่นึกว่าจะกล้ากังขาคำตัดสินของผู้นำลู่ สงสัยคงอยากตายมาก!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน ในความคิดของพวกเขา เย่เฟิงเป็เพียงชายไร้นาม แต่ลู่ตงคือผู้มีอำนาจแห่งเมืองชิงโจว แม้จะกล่าวอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่คนอย่างเย่เฟิงจะมากังขาได้
“เ้าเป็ใคร กล้าดียังไงมากังขาคำตัดสินของท่านพ่อข้า รีบพาสหายเ้าไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!” ลู่หว่านตวาดเสียงกร้าว
“ผู้นำลู่ ข้าและหนานกงอวี่คือแขก ท่านโปรดสั่งสอนลูกสาวท่านด้วย ตระกูลลู่ท่านจะได้ไม่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง” เย่เฟิงกล่าวกับลู่ตงพลางปรายตามองลู่หว่านด้วยสายตาเ็าแวบหนึ่ง ผู้หญิงที่โง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ เขาไม่มีทางสนใจเด็ดขาด
ลู่ตงอึ้งงันคล้ายไม่คิดว่าเย่เฟิงจะเป็คนไม่มีมารยาทและพูดจาเช่นนี้ แต่เขารับรู้ได้ถึงความมั่นใจจากตัวเย่เฟิง แม้อยู่ต่อหน้าเขาที่เป็ถึงผู้นำตระกูลลู่ แต่ก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ สำหรับชายหนุ่มอายุไม่ถึง 17 ปีเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากยิ่ง
แต่ไม่ว่าอย่างไรลู่ตงก็เป็ผู้นำตระกูลลู่ การกระทำของลู่หว่านเมื่อครู่นี้อับอายขายหน้าจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงพูดกับลู่หว่านว่า “ลู่หว่าน เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเ้า ห้ามเข้ามายุ่ง เด็กคนนี้พูดถูก การตัดสินใจของข้าเมื่อครู่ยังขาดการไตร่ตรอง เฉียนเปียวควรจะประลองกับหนานกงอวี่ก่อน”
ลู่หว่านและเฉียนหงได้ยินคำพูดของลู่ตงต่างก็เหลือบมองหน้ากัน ครู่ต่อมาเฉียนหงเผยรอยยิ้มเย็นเยือก เพราะเฉียนหงมั่นใจในศักยภาพของเฉียนเปียวผู้เป็ลูกผู้น้องของเขา เชื่อว่าเฉียนเปียวสามารถเอาชนะหนานกงอวี่ได้ง่ายดาย มิหนำซ้ำเฉียนเปียวจะยังทำให้หนานกงอวี่อับอายขายหน้าได้อีกด้วย แล้วเหตุใดจะไม่ยินดีทำเล่า?
“เฉียนเปียว เ้ายินดีประลองกับหนานกงอวี่สักตาหรือไม่?” ลู่ตงเอ่ยถามเฉียนเปียว ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้เขาก็ตกลงที่จะให้เฉียนเปียวไปมาหาสู่กับลู่เหยา แต่บัดนี้กลับคำพูดไปเสียแล้ว เขาก็ย่อมต้องถามเฉียนเปียวก่อน
เฉียนเปียวเผยสีหน้าเย่อหยิ่ง พร้อมเหลือบมองไปที่หนานกงอวี่ด้วยสายตาเฉียบคมแฝงความดูแคลน ในสายตาเขา หนานกงอวี่เป็เพียงคนบ้านนอกคอกนาที่มาจากดินแดนห่างไกลความเจริญ แค่การประลองสักตาไม่มีทางทำให้เขาเสียเวลาได้ ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงลู่ตงได้ไม่นาน เฉียนเปียวก็พูดขึ้นว่า “ข้าเฉียนเปียวคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในคนรุ่นเยาว์ที่อยู่ในที่แห่งนี้ หากประลองอีกสักตาจะเป็อะไรเล่า?”
“ดี เช่นนั้นก็รอหนานกงอวี่ตื่นขึ้นมาแล้วค่อยประลอง!”
ลู่ตงมองเฉียนเปียวด้วยสายตาชื่นชม เขาชอบคนอย่างเฉียนเปียวที่ไม่ใส่ใจกับเื่เล็กน้อย
ตอนนี้หนานกงอวี่ยังคงจมอยู่ในสภาวะเรียนรู้ฝ่ามือสะท้านนภา ทั้งยังมีปราณประหลาดรายล้อมร่างหนานกงอวี่ จากนั้นมีปราณสะท้านนภาแผ่ออกจากร่างหานกงอวี่อย่างช้า ๆ พร้อมเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังที่กลางอากาศ
“นี่มัน...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ประหลาดใจ และเริ่มคาดเดาในใจว่าหนานกงอวี่กำลังตระหนักรู้อะไร
เฉียนเปียวหลับตาลงโดยไม่สนใจหนานกงอวี่ เขาคืออัจฉริยะมากฝีมือ ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับหนานกงอวี่ เขาก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ
ในที่สุดหนานกงอวี่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพร้อมแสงปะทุออกจากดวงตา คนหนึ่งคนราวกับเปลี่ยนไปเฉียบคมขึ้น
“ศิษย์พี่ตื่นขึ้นมาแล้ว!” ลู่เหยาเห็นหนานกงอวี่ตื่นขึ้นมาก็กล่าวด้วยความตื่นเต้น เพราะนางฝากความหวังไว้กับหนานกงอวี่หมดแล้ว
“สวะ ตื่นแล้วสินะ ข้ารอตั้งนาน!” เฉียนเปียวเดินมาทางนี้ทันทีที่เห็นหนานกงอวี่ตื่นขึ้นมา พร้อมกับมองหนานกงอวี่ด้วยสายตาหยิ่งผยอง
“เรียนรู้ฝ่ามือสะท้านนภาเป็ไงบ้าง?” เย่เฟิงส่งเสียงผ่านจิตไปหาหนานกงอวี่โดยไม่สนใจคำพูดเฉียนเปียว
“ขั้นพื้นฐานแล้ว!” หนานกงอวี่กล่าว เมื่อครู่หนานกงอวี่ใช้เวลาไปครึ่งชั่วยามก็เรียนรู้ฝ่ามือสะท้านนภาถึงขั้นพื้นฐาน เพื่อที่จะได้อยู่กับลู่เหยา เขาต้องกระตุ้นศักยภาพของตนเองออกมา
“ไม่เลวนี่!”
เย่เฟิงเอ่ยชมหนานกงอวี่ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “เฉียนเปียวอยู่ขั้นยุทธ์แท้ ศึกต่อสู้นี้อาจยากมาก เ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม”
“อืม!” หนานกงอวี่พยักหน้า พร้อมดวงตาส่องประกายแสงแห่งความแน่วแน่ ก่อนหน้านี้เขาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้เย่เฟิง หากไม่มีเย่เฟิง หนานกงอวี่ไม่มีทางชนะั้แ่ศึกแรกแล้ว
ในเมื่อเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ต่อให้หนทางข้างหน้าต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง หนานกงอวี่ก็จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
“ตบะของเขาแกร่งกว่าเ้ามาก เพราะฉะนั้นพยายามอย่าปะทะกับเขาตรง ๆ ตอนสู้ข้าจะเตือนเ้า เมื่อถึงเวลาก็จงใช้ฝ่ามือสะท้านนภาโจมตีเขาเต็มกำลัง!” เย่เฟิงกล่าวอวยพรหนานกงอวี่
“ข้าเข้าใจแล้ว!” หนานกงอวี่พยักหน้า
“สวะ ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง?” เฉียนเปียวเห็นหนานกงอวี่ไม่สนใจ เขาก็กล่าวด้วยโทสะเช่นนั้น
“พูดมากจริง ๆ อยากสู้ก็เข้ามา!”
เมื่อหนานกงอวี่มาถึงจุดนี้ เขาก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ถ้อยคำก็ยังแข็งกร้าวและดุดัน
“หาที่ตาย ไม่รู้ว่าคุณหนูลู่ชอบเ้าตรงไหน ตายซะเถอะ!” เฉียนเปียวแสยะยิ้ม พร้อมพลังแห่งขั้นยุทธ์แท้ปะทุออกจากร่าง จากนั้นเหวี่ยงหมัดซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังที่คู่ต่อสู้สองคนก่อนหน้านี้เทียบไม่ติดเข้าโจมตีหนานกงอวี่อย่างไม่ลังเล
หนานกงอวี่ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะถอยหลังไป แต่รังสีหมัดของเฉียนเปียวเร็วเกินไป ไม่นานก็มาถึงเบื้องหน้าของหนานกงอวี่ ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้หนานกงอวี่จำต้องเหวี่ยงหมัดต่อต้าน
“ปัง!” มีเสียงดังขึ้นแทบจะทันที นาทีที่รังสีหมัดของทั้งสองคนเข้าปะทะกัน หนานกงอวี่รู้สึกว่ากระดูกที่แขนมีเสียงดังลั่น และอดเซถอยหลังไปไม่ได้ สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
“หนานกงอวี่ผู้นี้ไม่เจียมตัวเสียจริง ๆ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียนเปียว ครั้งนี้เขาอาจจะต้องชดใช้!”
ผู้คนเห็นหนานกงอวี่ถูกเฉียนเปียวโจมตีอย่างโเี้ต่างก็คิดเช่นนี้ นี่คือเฉียนเปียวผู้แข็งแกร่งที่หนานกงอวี่ไม่มีทางเอาชนะได้ จึงถูกกำราบเช่นนี้
“สวะ เ้ามีปัญญาแค่นี้เองหรือ? หากเป็เช่นนี้ เ้าก็ไปตายซะเถอะ!” เฉียนเปียวกล่าวเสียงเย็นขณะมองหนานกงอวี่ แต่ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็สะบัดมือ พลันฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง และมีอักขระโคจรอยู่บนนั้นก็พุ่งเข้าหาหนานกงอวี่
หนานกงอวี่ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เพิ่งเริ่มต่อสู้เขาก็รู้สึกเหนื่อยและอ่อนแอ อาจกล่าวได้ว่าพลังของทั้งสองคนอยู่คนละระดับกัน
“ปัง!”
หนานกงอวี่พยายามหนี แต่ความเร็วของเขาช้าไป จึงถูกฝ่ามือของเฉียนเปียวฟาดเข้าที่ไหล่ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งทำให้กระดูกบริเวณไหล่ข้างนั้นแตกร้าว หนานกงอวี่ต้องกัดฟันเพราะความเ็ป
“สวะ เป็ไงล่ะ รู้หรือยังว่าเ้ากับข้ามันห่างชั้นแค่ไหน?” เฉียนเปียวกล่าวดูถูก จากนั้นวาดฝ่ามืออันทรงพลังเข้าโจมตีสองครั้งติดจนบีบหนานกงอวี่ให้ถอยหลังอย่างน่าเวทนา
“ฮ่า ๆ ๆ น้องเล็ก นี่น่ะหรือคนที่เ้ารัก ต่อหน้าเฉียนเปียวก็ไม่ได้เื่!” ลู่หว่านกล่าวดูถูกขณะมองลู่เหยา
“ศิษย์พี่ข้าเพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 9 ส่วนเฉียนเปียวเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ แม้ศิษย์พี่ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียนเปียว ข้าก็ไม่สนใจ หากศิษย์พี่ข้าอยู่ขั้นยุทธ์แท้เหมือนกัน เขาเฉียนเปียวจะนับเป็สิ่งใดได้?”
ดวงตาของลู่เหยาฉายแววอย่างแน่วแน่ขณะสบตามองลู่หว่าน เพื่อศิษย์พี่นางแล้ว ลู่เหยาไม่มีทางอ่อนแอง่าย ๆ
“เ้าพูดตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร หนานกงอวี่นั่นแพ้เฉียนเปียวแน่ แล้วจะมีโอกาสบรรลุขั้นยุทธ์แท้หรือ?” ลู่หว่านกล่าวดูถูก แม้แต่เฉียนหงที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำพูดของลู่หว่านก็เผยรอยยิ้มได้ใจ พวกเขาหวังให้หนานกงอวี่ตายที่นี่
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเฉียบคมขณะมองหนานกงอวี่ที่มีแนวโน้มตกเป็เบี้ยล่าง จากนั้นเขาปลดปล่อยพลังจิตของตนเข้าปกคลุมร่างเฉียนเปียว และหนานกงอวี่โดยไร้เสียงไร้กลิ่นอาย เช่นนี้เขาก็สามารถวิเคราะห์วิถีโจมตีของเฉียนเปียว และคอยบอกหนานกงอวี่ลับ ๆ ได้แล้ว
“อย่าตื่นตระหนก ทำจิตใจให้มั่นคง แล้วหลบการโจมตีของเขาตามขั้นตอนที่ข้าบอก!” เย่เฟิงส่งเสียงผ่านจิตไปหาหนานกงอวี่ จากนั้นส่งความทรงจำหนึ่งสู่สมองของหนานกงอวี่ ซึ่งเป็เคล็ดวิชาท่าร่างที่เรียบง่าย เมื่อมีท่าร่างนี้ก็ลดความกดดันของหนานกงอวี่ลงมาก
