พวกของจ้าวเถี่ยจู้จากไปได้นานหลีกางและหวงฉีฝานต่างก็โทรมาถามคนของตนในทันทีพอรู้ว่าคนเกือบร้อยคนที่ส่งมาถูกอีกฝ่ายจัดการจนไม่เหลือใบหน้าก็เปลี่ยนเป็เคร่งเครียดทันที “หรือว่าสองคนนั้นจะอยู่ในอันดับ” หวงฉีฝานพูดกับตัวเอง และั้แ่คืนนี้ไปชื่อของทั้งสองคนก็เป็ที่เพ่งเล็งของพนักงานระดับสูงของเมืองฝูเจี้ยนรวมทั้งในโลกมืดอีกด้วย
จ้าวเถี่ยจู้ไม่มีทางที่จะสนเื่เล็กน้อยพวกนี้เป็แน่ เมื่อกลับถึงบ้านซูเหยียนหนีพูดกับชายหนุ่มไม่กี่ประโยคแล้วรีบขึ้นไปนอนทันทีส่วนหลีหลิงเอ่อร์ที่ทำยังไงก็ไม่ยอมขึ้นไปนอนที่ห้องเองร้อนถึงจ้าวเถี่ยจู้ที่ต้องแบกขึ้นไปส่ง
ขณะที่เขาพาหลีหลิงเอ่อร์มาส่งที่ห้องและกำลังจะออกไปแต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงแขนเอาไว้เสียก่อน “อย่าไปนะ” เขานิ่งอึ้งอยู่สักพักจากนั้นจึงก้มมองหลีหลิงเอ่อร์ที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอดูเศร้าสร้อยหรือว่าเธอกำลังฝันถึงเขา เขายิ้มพร้อมทั้งแอบยินดีอยู่ในใจ
“ชิงตี้ อย่าจากหลิงเอ่อร์ไป” แต่ประโยคที่เพิ่งออกมาจากปากของหญิงสาวทำให้เขาต้องหุบยิ้มลงทันทีดูท่าคนที่หลีหลิงเอ่อร์เรียกจะไม่ใช่เขาเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่ชื่อชิงตี้คือใครทำไมถึงใจร้ายทิ้งสาวสวยแบบหลีหลิงเอ่อร์ได้ลงคอหลีหลิงเอ่อร์ใช้หลังมือของเขาแนบไปที่แก้มัันุ่มนิ่มจากอีกฝ่ายทำให้เืลมในร่างกายเขาสูบฉีดมากกว่าปกติ แต่เขาไม่ใช่พวกชอบฉวยโอกาสเขาไม่มีทางทำเื่แบบนั้นได้ลงคอแน่ เขาจึงได้แต่ทรุดนั่งลงที่พื้นข้างๆเตียงแล้วมองดูหลีหลิงเอ่อร์อยู่แบบนั้น ไม่กล้าดึงมือออกเพราะกลัวเธอจะตื่นขึ้นมา
เฉาจื่ออี๋ที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเดินผ่านห้องของหลีหลิงเอ่อร์ เห็นจ้าวเถี่ยจู้นั่งอยู่ที่ข้างเตียงก็อดยิ้มออกมาไม่ได้จากนั้นจึงถือรูปวาดของตนแล้วเดินเข้าห้องไป
จ้าวเถี่ยจู้พิงด้านข้างของเตียง นอนหลับโดยที่ตายังปิดไม่สนิทดีราวกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
เช้าวันต่อมา หลีหลิงเอ่อร์ตื่นนอนอย่างสะลึมสะลือ เมื่อคืนเธอหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เธอจึงเตรียมจะพลิกตัวไปอีกด้านเพื่อนอนต่อทันใดนั้นสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นจ้าวเถี่ยจู้ที่อยู่ข้างเตียงเธอเตรียมอ้าปากกรี๊ดอย่างใแต่มองไปเห็นมือตนที่จับมือของอีกฝ่ายเข้าเสียก่อนจากนั้นหน้าของเธอจึงเปลี่ยนเป็แดงก่ำทันที
“ตื่นแล้วก็ไม่ต้องนอนต่อแล้ว รีบลุกขึ้นไปหาอะไรทานหน่อยเถอะคออ่อนแล้วยังจะดื่มเบียร์เข้าไปอีก จริงๆ เลย” จ้าวเถี่ยจู้ที่ตื่นก่อนหญิงสาวนานแล้วเห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาแต่ไม่ยอมพูดอะไรตนจึงดึงมือออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วพูดแทน
หลีหลิงเอ่อร์ได้ยินที่อีกฝ่ายบอกก็พยักหน้ารับรอจนจ้าวเถี่ยจู้เดินออกจากห้องไปแล้วเธอก็ก้มมองมือของตนที่จับมืออีกฝ่ายไว้เมื่อสักครู่ราวกับััได้ถึงความอบอุ่นของอีกฝ่ายที่ยังทิ้งเอาไว้ แต่ไม่นานเธอก็ได้สติ “ชิ โดนเอาเปรียบจนได้”
ตอนที่จ้าวเถี่ยจู้เดินลงมาก็เห็นเฉาจื่ออี๋กำลังทำกับข้าวอะไรสักอย่างอยู่ในครัวแล้วเขาเดินไปหยุดที่ด้านหลังของหญิงสาวแล้วสูดหายใจเข้าไปแรงๆ “หอมจัง” ประโยคนี้ของชายหนุ่มไม่รู้ว่าหมายถึงตัวของอีกฝ่ายหรือหมายถึงอาหารกันแน่
“ไปล้างมือเถอะ” เฉาจื่ออี๋บอกพร้อมกับรอยยิ้ม
เพียงแค่พริบตาเดียวก็ถึงวันเปิดเรียนของมหาลัยฝูเจี้ยนแล้วเนื่องจากวันนี้เป็วันแรก จ้าวเถี่ยจู้และหลีหลิงเอ่อร์จึงไปมหาลัยกันั้แ่เช้า
มหาลัยฝูเจี้ยนเป็หนึ่งในมหาลัยที่ดีที่สุดของจีนและยังเป็มหาลัยที่มีนักศึกษาเยอะที่สุดอีกด้วยเพราะเป็มหาลัยที่เปิดให้คนทั่วโลกเข้ามาเรียนได้หนึ่งคณะมีนักศึกษาเรียนอยู่มากกว่าโรงเรียนอื่นทั้งโรงเรียนเสียอีกขนาดของมหาลัยก็ใหญ่โตกินเนื้อที่หลายร้อยไร่ดังนั้นมหาลัยจึงตั้งอยู่ในเขตนอกเมืองขณะนี้ที่หน้ามหาลัยมีคนสองคนเพิ่งลงมาจากรถแท็กซี่ คนหนึ่งเป็สาวสวยไว้ผมสั้นทรงเห็ดดูน่ารักเธอสวมเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวทำให้เห็นหน้าอกที่มีขนาดใหญ่เกินตัวจนคนที่อยู่รอบๆต่างก็หันมามองจนเหลียวหลังที่ด้านข้างของหญิงสาวมีชายวัยรุ่นที่หน้าตาออกจะธรรมดาไปสักหน่อยยืนอยู่แววตาไม่แสดงความกระตือรือร้นแบบวัยรุ่นทั่วไปกลับแสดงแววตาที่เหมือนกับผ่านโลกมาแล้วอย่างโชกโชนแทน เขาสวมเสื้อผ้าง่ายๆถึงแม้จะไม่ได้ดูมอมแมมอะไร แต่ก็ไม่ได้ดูดีเช่นกันคนทั้งสองคนนี้ก็คือจ้าวเถี่ยจู้และหลีหลิงเอ่อร์นั้นเอง
“ใหญ่โตจริงๆ” จ้าวเถี่ยจู้มองไปที่บรรดาตึกที่อยู่ข้างหน้าก่อนจะพูดออกมา
“ใช่สิ มหาลัยฝูเจี้ยนเป็มหาลัยที่มีเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเชียวนะได้ยินมาว่าใหญ่กว่าเมืองๆ หนึ่งเสียอีก” หลีหลิงเอ่อร์พูดอวดพร้อมทั้งหัวเราะออกมาเสียงที่ไพเราะของเธอต่างก็ทำให้คนรอบข้างหันมามองเป็ตาเดียวคนสวยนี่ไปไหนก็ต้องมีคนมองอยู่เสมอเลย เขาคิดอยู่ในใจ น่าเสียดายเขาเองก็ออกจะดูดีจากภายใน แต่ทำไมถึงไม่มีสาวที่ไหนเห็นเลยสักคนนะดูท่าคงจะไม่มีใครที่มองเข้ามาเห็นถึงจิตใจของเขาได้
“ไปเถอะ” หลีหลิงเอ่อร์ใช้มือหนึ่งลากข้อศอกเขาให้เดินต่อทันใดนั้นเองเขารู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่มองมาที่เขาอย่างไม่ประสงค์ดีสักเท่าไหร่เขาได้แต่ถอนหายใจ นี่เขาตกเป็เป้าอีกแล้วเหรอ
เขาโดนหลีหลิงเอ่อร์ลากมาถึงตึกๆ หนึ่งสาขาที่หญิงสาวสอบได้ก็คือสาขาภาษาต่างประเทศ และแน่นอนสาขาที่เฉินซือหลิงจัดให้เขาเข้าเรียนก็ต้องเป็สาขานี้เหมือนกันพวกเขามองตามป้ายจึงหาจุดลงทะเบียนของนักศึกษาใหม่ของสาขานี้เจอ
ซูช่ันเป็นักศึกษาปีสามของสาขาภาษาต่างประเทศเขามามหาลัยั้แ่เช้าเพื่อต้อนรับบรรดานักศึกษาใหม่ เพื่องานนี้เขาถึงกับต้องเลี้ยงข้าวอาจารย์ที่สาขานี้อยู่หลายมื้อก็อย่างที่รู้กันว่าสาขานี้จะมีผู้หญิงมาเรียนมากเป็อันดับสองไม่ใช่แค่เยอะธรรมดานะ แต่ปีนี้มีมากถึงแปดสิบคนจากหนึ่งร้อยคนเลยทีเดียวทำให้เขาที่ถึงแม้ตอนนี้จะเรียนอยู่ปีสามแล้วแต่ยังโสดอยู่ ดีใจจนแทบอยากจะจุดพลุฉลองเลยก็ว่าได้ให้มันดังไปถึงพวกคนมีแฟนแล้วที่ชอบว่าเขาเลยได้ยิ่งดีเขาอิจฉาพวกนั้นจนจะบ้าตายอยู่แล้วเพราะฉะนั้นวันนี้เขาจึงมาที่จุดลงทะเบียนั้แ่เช้าแต่จนถึงตอนนี้เพิ่งมีคนมาลงทะเบียนได้แค่ไม่กี่สิบคนเองแล้วผู้หญิงในบรรดานั้นถ้าไม่สนใจเขาก็เป็พวกหน้าตาบ้านๆทำให้เขาอดรู้สึกเซ็งไม่ได้
“สวัสดีค่ะ ขอถามหน่อยค่ะ ที่นี่คือจุดลงทะเบียนนักศึกษาใหม่ของสาขาภาษาต่างประเทศใช่ไหมคะ” เสียงหวานๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงถามซูช่ั่นจึงเงยหน้าเซ็งๆ ของตนขึ้นมา เตรียมจะหยิบแบบฟอร์มส่งให้และทันทีที่เขาเห็นหน้าอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกราวกับมีลำแสงพุ่งเข้าใส่เขาเข้าอย่างจังเขาจึงใช้น้ำเสียงที่คิดว่าดูดีที่สุดตอบกลับไป “มาๆมานั่งเขียนตรงนี้ อย่ายืนเขียนเลย อากาศมันร้อน เดี๋ยวพี่ขอแนะนำตัวก่อนละกันพี่ชื่อซูช่ั่น เรียนอยู่ปีสามสาขาภาษาต่างประเทศ น้องเรียกว่ารุ่นพี่ก็ได้แล้วน้องละชื่ออะไร”
“สวัสดีค่ะรุ่นพี่ ฉันชื่อหลีหลิงเอ่อร์ค่ะ” หลีหลิงเอ่อร์แนะนำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและรอยยิ้มนั่นเองที่ทำให้ซูช่ั่นแทบจะละลายลงไปกองกับพื้นขณะนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นว่าที่ด้านข้างของหลีหลิงเอ่อร์มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยเขาเงียบอย่างพูดไม่ออก ดอกไม้ดอกนี้มีเ้าของแล้วงั้นเหรอ
“คนๆ นี้คือพี่ชายใช่ไหม แหม ดีจังเลยมีพี่ชายมาเป็เพื่อนด้วย” เขาถามหลีหลิงเอ่อร์ที่เขียนแบบฟอร์มเสร็จก็ส่งคืนให้เขา
“ไม่ใช่ค่ะ เป็แฟนฉันเองค่ะแล้วก็เป็นักศึกษาใหม่ของสาขานี้เหมือนกันด้วยค่ะถ้ายังไงรบกวนรุ่นพี่เอาแบบฟอร์มให้เขาด้วยนะคะ” หลีหลิงเอ่อร์ตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นเดิมซูช่ั่นที่ได้ฟังก็รู้สึกหัวใจแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดีเขาหล่อกว่าผู้ชายตรงหน้าตั้งเยอะ หน้าตาธรรมดายังมีแฟนสวยขนาดนี้ แล้วเขาละทำไมถึงยังไม่มีแฟนสักที
ซูช่ั่นส่งแบบฟอร์มให้จ้าวเถี่ยจู้อย่างหมดอาลัยตายอยากด้านจ้าวเถี่ยจู้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาได้แต่ยื่นมือออกไปรับแบบฟอร์มมาเขียน เขียนเสร็จก็ส่งคืนให้อีกฝ่าย ซูช่ั่นรับมาแล้วดูชื่อของอีกฝ่าย “จ้าวเถี่ยจู้... ขนาดชื่อยังธรรมดาเลย แต่กลับมีแฟนเป็สาวสวยเนี่ยนะคอยดูนะ ถ้ามีลูกก็จะตั้งชื่อลูกว่าซูเถี่ยจู้ไม่ก็ซูเถี่ยฉิวจะได้ไม่ต้องเป็โสดเป็แบบพ่อของมัน”
“พวกเธอถือใบตอบรับนี่ไปหาอาจารย์ที่ตึก A นะ” เขาพูดจบก็ฟุบหน้าลงไปนอนบนโต๊ะอย่างเซ็งๆ เหมือนเดิม
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หลีหลิงเอ่อร์ยังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ซูช่ั่นเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะด้วยใบหน้าสดใสทันทีพร้อมทั้งยกมือลูบผมอย่างเขินอาย “ยินดีๆ ถ้าอีกหน่อยน้องมีเื่อะไรล่ะก็ มาหาพี่ได้เลยนะ” เขาพูดจบก็เห็นหญิงสาวเดินควงชายหนุ่มออกไป
“เฮ้อ” เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
“เลิกเอาพี่เป็โล่ได้แล้ว พี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์นะ” จ้าวเถี่ยจู้พูดกับหลีหลิงเอ่อร์หลังจากที่เดินออกมาจากจุดลงทะเบียนแล้ว
“ทำไมคะ พี่เถี่ยจู้ไม่อยากเป็โล่ให้หลิงเอ่อร์เหรอหรือว่าพี่เถี่ยจู้อยากเห็นหลิงเอ่อร์โดนคนพวกนั้นรังแก” หลีหลิงเอ่อร์พูดพร้อมกับทำหน้าตาน่าสงสาร ส่วนเขาก็ได้แต่เงียบอย่างจนปัญญา
“งั้นเดี๋ยวหลิงเอ่อร์เลี้ยงข้าวพี่เถี่ยจู้ก็ได้”
“ได้”
“หลิงเอ่อร์ล้อเล่นค่ะ”
“.....”