ฉางฮว๋ายที่นอนอยู่บนเตียงที่เมื่อครู่เพิ่งจะตื่นเต้นเพราะได้เห็นบิดา แต่เมื่อได้ยินบิดามารดาต่างเรียกเขาว่าเ้ารองน้อยก็เบ้ปากทันที จากนั้นจึงร้องไห้งอแง
อวิ๋นซีและจวินเหยียนเห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากัน ก่อนที่นางจะตรวจดู และพบว่าฉางฮว๋ายไม่ได้ฉี่ ไม่ได้อึ แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงได้ร้องออกมาล่ะ จวินเหยียนอุ้มลูกชายขึ้นมาพลางเอ่ยถาม “เ้ารองน้อย เหตุใดจึงร้องเล่า”พูดจบ ฉางฮว๋ายก็ร้องหนักกว่าเดิม เมื่ออวิ๋นซีเห็นเช่นนั้น ในใจก็ทนไม่ไหว นางเอื้อมมือออกไปอุ้มบุตรชายเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ด้วยคิดจะป้อนนมให้ แต่เด็กน้อยกลับเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมกิน
“เหตุใดต้องร้องเล่า ทั้งยังร้องหนักถึงเพียงนี้ด้วย”
สองสามีภรรยาเฝ้ามองลูกชายตนที่ร้องไห้จนหลับไป อดไม่ได้ให้เหงื่อตก จากนั้นก็ยกลูกๆ ให้ฉุนเอ๋อร์กับหวนเอ๋อร์ดูแลต่อ หลังจากนั้นจวินเหยียนก็พาอวิ๋นซีกลับไปยังห้องพักของพวกเขา ที่แช่บ่อน้ำร้อนบนเขานี้มีเรือนพำนักอยู่สิบกว่าเรือน เรือนทุกหลังมีห้องพักหลักหนึ่งห้อง ภายในห้องมีเตาไฟอบอุ่นที่แม้จะอยู่ในฤดูหนาวก็ราวกับได้ััอากาศยามกำลังเปลี่ยนผ่านไปยังฤดูใบไม้ผลิ
อีกทั้ง ห้องพักหลักยังมีบ่อน้ำร้อน เมื่อจวินเหยียนพาอวิ๋นซีกลับไปถึงห้องก็จัดการเปลื้องผ้านางจนเปลือยเปล่า เขายิ้มขณะอุ้มคนลงไปในบ่อน้ำร้อน เนื่องจากเมื่อคืนนี้เขาถามนางแล้วว่า สามารถแช่น้ำร้อนได้หรือไม่
เมื่อนางบอกไม่มีปัญหา เขาก็รู้แล้วว่า ของไม่สะอาดที่มาหลังจากการคลอดบุตรได้สลายหายหมดไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น อาจารย์อาน้อยยังบอกอีกว่า ร่างกายของอวิ๋นซีฟื้นฟูได้ดีมาก สามารถทำกิจกรรมในห้องนอนได้แล้ว
ร่างอวิ๋นซีแช่อยู่ในน้ำร้อน รู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่าง นางทอดถอนใจเบาๆ “สบายจัง” ตอนนี้มีน้ำอุ่นๆ โอบล้อมกาย สบายมากจริงๆ ราวกับว่าทั้งร่างกลับมามีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ชายหนุ่มเขยิบกายเข้าใกล้นาง พูดเสียงเบา “อีกเดี๋ยวจะให้เ้ารู้สึกสบายกว่านี้” พูดจบ มือเขาก็ค่อยๆ เลื่อนลงไปยังด้านล่างของนาง ทว่า ยามที่มือเขาััเข้ากับแผลเป็ที่หน้าท้อง เขาก็เป็อันต้องอึ้งไป
อวิ๋นซีคิดจะรั้งมือเขาไว้ แต่จวินเหยียนกลับโน้มกายลงมาทั้งร่างแล้วจุมพิตลงบนแผลเป็ที่น่าเกลียดนั้นเบาๆ กระทั่งอวิ๋นซีที่คิดอยากจะหลบก็กลับถูกเขากอดเอาไว้ “ฮูหยิน หากไม่ใช่เพื่อข้า บนร่างเ้าคงไม่ต้องมีรอยแผลเป็เช่นนี้ ชาตินี้ข้าโอวหยางจวินเหยียน ต่อให้ต้องทำผิดต่อคนทั้งใต้หล้า แต่จะไม่มีทางผิดต่อเ้า”
คำหวานนั้นทำให้อวิ๋นซีที่ได้ฟัง รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันล้ำลึกอยู่ในใจ “คนโง่ ข้าเต็มใจ”
ให้กำเนิดบุตรแก่เขา เป็สิ่งที่นางเต็มใจ
“ยามนี้มีหวานหว่าน ฉางรุ่ยกับฉางฮว๋ายแล้ว วันหน้าพวกเราไม่จำเป็ต้องมีลูกอีก” จวินเหยียนหวนนึกถึงเื่ร้ายๆ ที่เจอเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แค่คิดก็ไม่อยากต้องพบเจออีกครั้งแล้วจริงๆ อย่างไรเสีย ตอนนี้พวกเขามีลูกสาวแล้วหนึ่งคน มีลูกชายอีกสองคน วันหน้าจึงไม่มีความจำเป็ที่จะต้องให้กำเนิดบุตรอีกแล้วจริงๆ “หากเ้าคิดว่ายังไม่พอ พวกเราก็เลี้ยงต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีให้เหมือนเป็ลูกของเราก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้เ้าคลอดลูกอีกแล้ว”
อวิ๋นซีโน้มกายลงไปกอดเขาท่ามกลางสายน้ำอุ่น และเป็ฝ่ายจุมพิตที่ริมฝีปากเขาก่อน ยามนี้ร่างกายนางฟื้นฟูเป็อย่างดี จึงรู้ว่าตนสามารถทำเื่เช่นนั้นได้แล้ว...
ในคืนนี้ที่ห้องพักหลักมีเสียงบางอย่างเล็ดลอดออกมาเป็พักๆ ขณะเดียวกันฉุนเอ๋อร์และหวนเอ๋อร์ที่ต้องอยู่เวรกันนอกเรือนต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกนางกังวลคือร่างกายของพระชายา ด้วยไม่รู้ว่าจะรับการครั้งแล้วครั้งเล่าของท่านอ๋องไหวหรือไม่?
กังวลส่วนกังวล แต่เื่ของเ้านาย พวกนางไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น
ปลายยามเฉินของวันถัดมา อวิ๋นซีเพิ่งจะตื่นขึ้น และได้พบว่า กระดูกทั้งร่างของนางราวกับสลายไปสิ้นแล้ว ส่วนบนร่างนั้นยังเต็มไปด้วยร่องรอยเขียวม่วง และร่องรอยอื่นอีกมาก ก่อนจะหวนนึกถึงความบ้าคลั่งระหว่างพวกนางเมื่อคืนนี้ ั้แ่ในบ่อน้ำร้อน ระหว่างทางไม่กี่ก้าวก่อนจะถึงเตียงที่ถูกเขากดไว้กับกำแพง แล้วยังจะบนเตียงอีก
ไม่ว่าเขาอยู่บน หรือนางอยู่บน คนทั้งสองก็ล้วนลองมาหมดแล้ว ตอนนี้เมื่อต้องนึกย้อนดูอีกทีก็คิดขึ้นได้ว่า เมื่อคืนนี้ตัวนางบ้าไปแล้วถึงกับขึ้นไปเหยียบเหนือเมฆครั้งแล้วครั้งเล่ากับเขา
หลังจากที่อวิ๋นซีลุกขึ้นมาแล้วก็พบว่า เด็กทั้งสองกินอิ่มแล้ว และกำลังหลับอยู่ จ้าวลี่เจียมองอวิ๋นซีไปทีหนึ่ง พูดเรียบๆ “ข้าก็นึกว่าหากยังไม่พ้นเที่ยง พวกเ้าทั้งสองก็คงจะไม่ลุกขึ้นมาแล้วเสียอีก”
ดวงหน้าของอวิ๋นซีแดงขึ้นทันที นางรู้ว่าจ้าวลี่เจียรู้หมดทุกเื่ จึงไม่คิดโต้เถียงอะไร “อาจารย์อาน้อย ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ นะเ้าคะที่ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ช่วยข้าดูแลเด็กสองคนนี้”
หากให้พูดตามตรง เหตุที่เด็กทั้งสองมีร่างกายที่ดีเช่นนี้ได้คงหนีไม่พ้นความทุ่มเทของอาจารย์อาน้อย
อาจารย์อาน้อยทำเพียงยิ้มบาง “ข้าก็แค่ชอบเด็กสองคนนี้เท่านั้น และคิดว่าตัวข้ากับพวกเขาคงมีวาสนาต่อกัน จึงตั้งใจอยู่ดูแลสักหน่อย แล้วจะเป็อะไรไปได้เล่า” ที่บอกว่าชอบเด็กทั้งสองนั้นเป็เื่จริง แม้นางจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นางจะไม่ปรารถนาครอบครัว
“อาจารย์อารองของพวกเ้าจากไปแล้ว คาดว่าคงกลับไปบ้านเขา แต่ก็นะ ไม่บอกอะไรกันสักคำ ศิษย์พี่ใหญ่เองก็ไม่รู้ร่องรอยของเขา จู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับเดียวที่บอกว่า บางทีชั่วชีวิตนี้อาจไม่มาปรากฏกายในหนานเย่าอีกแล้ว” จ้าวลี่เจียมองฉางฮว๋ายพลางพูดขึ้นลอยๆ “ดังนั้น ไม่แน่ว่า ชาตินี้อาจารย์อาน้อยของเ้าคงจะไม่โอกาสได้มีลูกเป็ของตนเองแล้ว ถึงกระนั้นตัวข้าก็เหมาะจะเป็ย่าของเด็กๆ ทั้งสอง จึงได้รั้งอยู่ที่จวนอ๋อง อย่างไรเสีย ตัวข้าก็ติดใจการเป็ย่าของพวกเขาแล้วล่ะ”
อวิ๋นซีไม่เคยคิดเลยว่า อาจารย์อารองจะตัดสินใจจากไปแล้วจริงๆ เพราะั้แ่ที่เขาไปจากเมืองหลวงก็ไม่ได้ติดต่อกับจวินเหยียนอีกเลย ส่วนจวินเหยียนก็ได้แต่บอกว่า คนหายตัวไปเป็เื่ปกติ ทุกคนจึงไม่ใส่ใจ มิคาดยามนี้จะจากไปจริงๆ แล้ว
อีกทั้ง เมื่อได้มองท่าทางของจ้าวลี่เจียในยามนี้ ก็คิดว่าอาจารย์อารองคงจะจากไปอย่างถาวรแล้วจริงๆ วันหน้าคนคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว ก่อนจะนึกถึงว่า สตรีตรงหน้าผู้นี้ชอบอาจารย์อารองมานานถึงยี่สิบปี แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ทำให้ในใจนางอดไม่ได้ให้รู้สึกแย่น้อยๆ อย่างไรเสีย สตรีที่คลั่งไคล้ในรักเช่นนี้ก็หายากยิ่ง
ขณะเดียวกัน จ้าวลี่เจียที่ได้เห็นความสงสารในดวงตาของอวิ๋นซี นางก็อึ้งไป จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก็แค่บุรุษคนเดียวเองไม่ใช่หรือ หรือเ้าคิดว่า หากอาจารย์อาน้อยไม่มีบุรุษก็จะอยู่ไม่ได้”
เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ที่ไหนเล่าเ้าคะ ข้าแค่คิดว่าคนเช่นอาจารย์อาน้อยจักต้องคู่ควรกับชายที่ดีกว่านี้” ชายที่ดีกว่านี้? ในสมองของอวิ๋นซีปรากฏเงาของคนผู้หนึ่ง บุรุษที่ในโลกนี้นอกจากสามี ลูกๆ และพี่รองแล้วถือว่าสำคัญที่สุดสำหรับนาง
“ถ้าอย่างไร รอจนวันหน้าบิดาข้ามาเมืองหลวง ข้าจะแนะนำให้ท่านทั้งสองได้รู้จักกัน เพราะบิดาข้าหล่อเหลานัก ทั้งยังเป็คนที่คลั่งไคล้ในรักเช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่า หากพวกท่านที่ศรัทธาในรักได้อยู่ด้วยกันก็อาจเกิดประกายไฟแลบแปลบปลาบขึ้นมาก็เป็ได้” อวิ๋นซีเริ่มคิดวางแผนในใจแล้วว่า ตนจะเป็สะพานเชื่อมให้บิดาอวิ๋นของนางกับจ้าวลี่เจียผูกสัมพันธ์กันอย่างไร ตอนนี้ดูแล้ว พวกเขาสองคนรูปงามสมกันมาก
แม้จ้าวลี่เจียจะแก่กว่าบิดาตนสองสามปี แต่เื่อายุอะไรเหล่านี้ไม่เคยนับเป็ปัญหาอยู่แล้วนี่ ขอแค่ท่านพ่อและอาจารย์อาน้อยต่างมีใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน สถานะทางอายุก็ล้วนสามารถมองข้ามไปได้ทั้งหมด อีกทั้ง รูปลักษณ์ของอาจารย์อาน้อยเองก็ดูไม่เหมือนสตรีวัยกลางคนที่มีอายุสี่สิบสองเลย
การทำเช่นนี้อาจเป็การไร้น้ำใจต่อมารดาหลิงเยว่เซวียนไปสักหน่อย แต่ว่า ยามนี้คนมีชีวิตใหม่เป็ของตัวเองแล้ว หรือว่ายังต้องให้บิดาอวิ๋นเฝ้ารออีกฝ่ายไปทั้งชีวิต?