เฟิ่งสือจิ่นหลบอยู่หลังม่าน จึงมองเห็นพระสนมอวี๋ได้อย่างชัดเจน ร่างของนางบอบบาง น่าทะนุถนอม แววตาแฝงไปด้วยความโศกเศร้าและหดหู่ ดูน่าสงสาร ทว่าก็น่าหลงใหลเหลือเกิน ถึงว่า ตาเฒ่าหัวงูนั่นถึงจ้องจะพระสนมอวี๋เช่นนี้
พระสนมอวี๋ขยับแขนเบาๆ นางหยิบบางสิ่งออกมาจากใต้หมอน แล้วค่อยๆ เปิดมันออก ในนั้นเป็ผงปริศนาหลากสี ซึ่งทำให้เฟิ่งสือจิ่นหัวใจกระตุกวูบขึ้นมา นางพอจะเดาได้ไม่ยากว่าผงตรงหน้าก็คือยาห้าสหายนั่นเอง
พระสนมอวี๋ชะงักลงชั่วครู่ ท่าทีของนางแลดูโศกเศร้าเสียใจเป็อย่างมาก ไม่นานนางก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ยกยาห้าสหายขึ้นมาเหนือริมฝีปาก เตรียมจะกินยาในห่อลงไป เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งเฮือก เตรียมจะเข้าไปห้าม เป็จังหวะเดียวกับที่ซวงเอ๋อร์กลับมาพอดี เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ซวงเอ๋อร์ก็ทิ้งจานขนมที่ถือเข้ามาด้วยลงพื้น แล้ววิ่งเข้าไปห้ามอย่างไม่ลังเล นางจับแขนของพระสนมอวี๋เอาไว้ พลางพูดด้วยสายตาเย็นสะท้าน “เ้ากำลังจะทำอะไร?”
พระสนมอวี๋สลัดมือของอีกฝ่ายไม่สำเร็จ จึงพูดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก “อย่าห้ามข้าเลย ให้ข้ากินเถอะ ข้ายอมตาย ดีกว่าต้องถวายตัวให้ฮ่องเต้”
ทั้งสองยื้อแย่งกันเป็เวลานาน ก่อนซวงเอ๋อร์จะพูดขึ้นอีก “แต่จะให้ข้าทนเห็นเ้าตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร เ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเราถึงจะมีความหวัง หากเ้าตาย พวกเราจะไม่เหลืออะไรเลย”
คำพูดของเขาทำให้เฟิ่งสือจิ่นใจนแทบจะเสียสติ นางคิดว่าตนเข้าใจเื่ทั้งหมดแล้ว
เสียงของซวงเอ๋อร์ไม่ได้อ่อนหวานน่าฟังเหมือนตอนกลางวัน แต่กลับทุ้มต่ำแถมยังแหบเล็กน้อย แม้เสียงจะไม่ได้ทุ้มจนเกินไป แต่ก็ยังฟังออกว่านี่เป็เสียงของผู้ชายอย่างแน่นอน!
เขาเป็ชายที่ปลอมเป็หญิง และติดตามอยู่ข้างกายพระสนมอวี๋นั่นเอง หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งสือจิ่นแอบเข้ามาในห้อง นางคงไม่มีทางรู้เื่นี้แน่ ซวงเอ๋อร์ปลอมตัวได้อย่างแเี แม้แต่เฟิ่งสือจิ่นก็ยังหาจุดบกพร่องใดๆ ไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนรับใช้คนอื่นๆ ในตำหนัก!
พระสนมอวี๋เริ่มร้องไห้ออกมา ท่าทางของนางดูเศร้าใจและน่าสงสารกว่าเดิมหลายเท่า “แต่หากข้าหายดี ก็... ก็ต้อง...”
เฟิ่งสือจิ่นก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าก็เริ่มเศร้าสลดลงเช่นกัน นางเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นดี สตรีที่งดงามราวกับดอกไม้เช่นพระสนมอวี๋ เมื่อมีคนรักคอยอยู่เคียงข้างแล้ว มีหรือจะยอมถวายตัวให้ตาเฒ่าหัวงูอายุครึ่งร้อยแบบนั้น! อำนาจ ลาภยศ ความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทั้งหมดนั้นหรือจะเทียบเท่าความสุขที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับชายที่รัก
เฟิ่งสือจิ่นมองแผ่นหลังของซวงเอ๋อร์ แผ่นหลังนั้นมีขนาดใหญ่และแข็งแรง ไม่ได้ดูอ่อนแอบอบบางเหมือนสาวใช้คนอื่นๆ ซึ่งเฟิ่งสือจิ่นสังเกตเห็นมาั้แ่แรกแล้ว แค่ไม่ได้นึกสงสัยเท่านั้น
ซวงเอ๋อร์กอดพระสนมอวี๋เอาไว้แนบอก พลางลูบหัวของนางอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็ไร ไม่เป็ไรหรอก ไม่ว่าเ้าจะเป็อย่างไร ข้าก็จะรักเ้าไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ขอแค่เ้ายังมีชีวิตอยู่ แค่นั้นก็สำคัญกว่าสิ่งใดๆ ทั้งปวงแล้ว ในเมื่อ... ในเมื่อหนีไม่พ้น เช่นนั้นก็ยอมรับมันเสียเถิด...” เขาพูดด้วยท่าทางหนักอึ้งทว่าเต็มไปด้วยความรักที่แสนลึกซึ้ง
พระสนมอวี๋กอดซวงเอ๋อร์แล้วร้องไห้โฮออกมา ในเวลาเช่นนี้ นางกลับยังต้องเก็บกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้อย่างสุดชีวิต ด้วยเกรงว่าสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกจะได้ยินนั่นเอง “ข้าจะไม่ไปไหน จะอยู่เคียงข้างเ้าตลอดไป แม้จะต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะถูกมองว่าเป็สาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่งก็ไม่เป็ไร”
ซวงเอ๋อร์ลูบหลังของพระสนมอวี๋พลางพูดปลอบด้วยเสียงแ่เบา “ในเมื่อพวกเราขัดขวางหรือหนีเื่นี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็เผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญเสียเถิด ต่อไป อย่ากินของแบบนี้อีก เพราะคนที่ข้า้าปกป้องไปตลอดชีวิต คือเ้าที่มีร่างกายแข็งแรง”
พระสนมอวี๋ร้องไห้จนน้ำตาท่วมใบหน้า แต่ถึงกระนั้น เฟิ่งสือจิ่นก็ยังมองว่านางงดงามมากเหลือเกิน คาดว่าซวงเอ๋อร์เอง ก็คงมองว่าพระสนมอวี๋งดงามที่สุดในโลก และไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่นางได้เช่นกัน พระสนมอวี๋พูดขึ้น “หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้ ข้าน่าจะตัดขาดกับเ้าั้แ่ก่อนเข้าวัง เ้าจะได้ไม่ต้องมาเห็นสภาพที่น่าสมเพชของข้าเช่นนี้...”
ซวงเอ๋อร์หัวเราะขมขื่น เขาประทับจูบลงบนหน้าผากของพระสนมอวี๋ “ความรักใช่สิ่งที่จะตัดขาดกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน?”
จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกเศร้าใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางจับจมูกตัวเองเบาๆ เพราะอยากร้องไห้ จมูกจึงเริ่มแสบขึ้นมาเล็กน้อย นางรู้สึกราวกับว่าเื่ราวตรงหน้า ก็เคยเกิดขึ้นกับตนเหมือนกัน
พระสนมอวี๋เองก็คงตระหนักได้แล้วว่าตนไม่มีทางให้ถอยกลับไปได้อีก จึงร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ สุดท้ายนางก็เงยหน้ามองซวงเอ๋อร์ทั้งน้ำตา “ให้ข้ากินเป็ครั้งสุดท้ายเถอะ...” ซวงเอ๋อร์มองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือ ปล่อยให้พระสนมอวี๋ยกยาห้าสหายขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา แล้วกรอกมันเข้าไปในปากจนหมดราวกับหิวกระหาย นางกลืนยาห้าสหายลงคออย่างบ้าคลั่ง ขณะที่มือก็ดึงเสื้อของซวงเอ๋อร์เอาไว้แน่น “ไม่ว่าจะเป็หรือตาย ข้าขอกินมันเป็ครั้งสุดท้าย ตามใจข้าอีกสักครั้งเถอะ...” นางกระซิบด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
เฟิ่งสือจิ่นคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ดูอ่อนแออย่างพระสนมอวี๋ แท้จริงแล้วจะดื้อรั้นและหัวแข็งได้ถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็ปล่อยให้พระสนมอวี๋ตายไม่ได้เด็ดขาด หากนางตาย เฟิ่งสือจิ่นกับอาจารย์ต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่ พวกเขาจะไปบอกกับฮ่องเต้ว่าอย่างไร?
ทว่าปล่อยให้พระสนมอวี๋ทำตามใจอีกสักครั้งก็ไม่เป็ไร ยาห้าสหายในครั้งนี้ไม่ทำให้นางมีอันตรายถึงชีวิตแน่ วันพรุ่งนี้ ให้จวินเชียนจี้รักษาและให้ยามากินต่ออีกสักหน่อย รอให้พิษถูกขับออกมาจากร่างกายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว แต่มีข้อแม้ว่าพระสนมอวี๋ต้องไม่ใช้ยาอันตรายเช่นนี้อีกเด็ดขาด ซึ่งเฟิ่งสือจิ่นมั่นใจว่าซวงเอ๋อร์ที่เป็ห่วงสุขภาพของพระสนมอวี๋มากกว่าใคร ย่อมไม่ยอมให้พระสนมอวี๋แตะต้องของพวกนี้อีกแน่
อย่างไรเสีย เฟิ่งสือจิ่นก็แอบเข้ามาในห้องของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น เมื่อเห็นว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้ห้ามอะไร เฟิ่งสือจิ่นจึงปล่อยให้พระสนมทำตามใจอีกครั้ง ไม่ได้ออกไปห้ามปรามแต่อย่างใด
เมื่อยาห้าสหายเริ่มออกฤทธิ์ ความร้อนรุ่มก็เริ่มกลับมาเล่นงานอีกครั้ง สีหน้าของพระสนมอวี๋ค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเดิม ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่ง ขาวเนียนยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า แถมยังอมชมพูระเรื่ออย่างสุขภาพดี แม้แต่ชุดคลุมบางๆ ที่คลุมร่าง บัดนี้ก็ยังดูงดงามจนราวกับความฝันเลย
พระสนมอวี๋กอดเอวของซวงเอ๋อร์เอาไว้แน่น พลางส่ายหน้าเบาๆ “อย่า... อย่าจากข้าไป...”
“ข้าไม่มีทางจากเ้าไปอยู่แล้ว”