สีหน้าของทุกคนต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน พวกเขาเหมือนถูกสาปให้เป็หินจนขยับตัวไม่ได้เลย
ลมพัดผ่านหน้าของพวกเขาแรงมาก แต่พวกเขากลับรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า!
เล่ากันว่าเขาเป็พวกไม่เอาไหน ไม่มีแม้แต่สิทธิในการฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? ทำไมมันเหมือนข่าวลือเด็กเล่นแบบนี้ล่ะ นี่ ... นี่คือคนไม่เอาไหนอย่างนั้นหรือ?
ผู้ชมฝั่งเมืองใต้ดินหวังเฉิงต่างตะลึงไป ผู้ดูแลซ่งอึ้งหนักมาก จี้หงหลิงเองที่นั่งอยู่ก็อดไม่ได้ถึงกับลุกขึ้นยืน สายตาเฉียบคมของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ถึงแม้นางจะใช้ผ้าสีแดงปิดหน้า แต่ก็นึกภาพออกเลยว่าท่าทางของนางจะตกตะลึงไปถึงขั้นไหน!
สองเดือน แค่สองเดือนเท่านั้นิอวี่กลับเติบโตได้มากขนาดนี้เลย เขาไม่ธรรมดาจริงๆ ... จี้หงหลิงมั่นใจในความคิดนี้มาก ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเขาด้วยตัวเองให้ได้!
ิอวี่เก็บหมัดขวากลับมาแล้วถอนหายใจ เขาคุมเืลมในร่างกายของตัวเอง จากนั้นก็หันไปโบกมือให้กับหยางเสวี่ยหรงที่อยู่ที่ลานพระที่นั่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ในสองเดือนที่ผ่านมาเขาจำเป็จะต้องออกจากวังหลวงไป ผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบากถึงได้กลับมาอยู่ตรงนี้ ก็เพื่อดูว่าหยางเสวี่ยหรงหายป่วยแล้วกับตา เพื่อบอกกับหยางเสวี่ยหรงว่า เขายังมีชีวิตอยู่!
และก็เพื่อให้หยางเสวี่ยหรงได้เห็นว่าตอนนี้เขามีความสามารถมากแค่ไหน ทำให้นางรู้ว่าลูกชายของนางเก่งแล้ว นางภูมิใจในตัวเขาได้ ควรค่าที่นางจะยิ้ม
“ตอนนี้ ข้าทำได้แล้ว”
ิอวี่บ่นพึมพำ ได้รับการตอบแทนแบบนี้มันดีจริงๆ เลยนะ
หยางเสวี่ยหรงเองก็โบกมือให้กับิอวี่อย่างเหม่อลอย นางพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว ในใจของนางเวลานี้มีคำถามเป็หมื่นคำถาม แต่คำถามกลับเหมือนกันหมดทุกคำ ลูกชายที่ข้าเห็นเป็ตัวปลอมหรือเปล่า ...
ก็ไม่แปลกที่หยางเสวี่ยหรงจะสงสัย เพราะการเปลี่ยนแปลงของตัวิอวี่นั้นแตกต่างจากเดิมมาก โชคดีที่ว่าสภาพจิตของนางนั้นไม่แย่เท่าไร ไม่อย่างนั้น หมัดของิอวี่อาจจะทำให้นางหัวใจวายตายได้ ...
บนที่ประทับ ิเฉินเหยียนเอามือจับที่เก้าอี้แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาจ้องมองมาที่ิอวี่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ิอวี่หันไปคำนับให้กับองครักษ์หน้าพระที่นั่งสามคน แล้วก็เสนาบดีทั้งหกกรม จากนั้นก็เดินลงจากลานประลองไปในทันที
การกระทำแบบนี้อยู่ในสายตาของทุกคนเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ ไม่มีหนุ่มสาวที่มีความสามารถคนใดโค้งคำนับให้กับกรรมการเลย ผู้แข็งแกร่งที่มีพร์เลยถูกคนมองว่ามีนิสัยที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แต่ิอวี่กลับมีมารยาทพื้นฐานเช่นนี้
นิสัยที่ถ่อมตน มันทำให้เหล่ากรรมการรู้สึกดีมาก
ลูกชายคนนี้ นิสัยไม่เลวเลย
ตอนที่ิอวี่เดินกลับไปที่ลานพัก สายตาของทุกคนที่มองมาที่เขานั้นก็เปลี่ยนไป พวกองค์หญิงที่ก่อนหน้านี้ต่างมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ตกตะลึง แต่ละคนเดินหลีกทางให้กับิอวี่โดยไม่รู้ตัว
มีองค์หญิงบางคนอยากจะเดินเข้าไปคุยกับิอวี่ แต่พอคิดว่าก่อนหน้านี้นางมองิอวี่ด้วยสายตาแบบไหนก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ แล้วก็รู้สึกไม่ดีที่จะไปชวนคุย
“เ้า ... เ้ากลับมาแล้วหรือ”
องค์ชายสิบหกิซานที่เอ่ยปากเตือนิอวี่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไป พอเขามองิอวี่กลับรู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออกเลย
“อือ ขอบใจเ้ามากนะ ข้าสู้ตายเลย”
ิซานทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ สองที แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อดี
เดิมที ิซานแค่ไม่อยากให้ิอวี่ทำให้ราชวงศ์ขายหน้า แต่ิอวี่กลับซัดหมัดที่ทำให้ราชวงศ์นั้นได้หน้าอย่างมาก แต่ตอนนี้ทำอย่างไรเขาก็ดีใจได้ไม่สุดเลย
มันเหมือนการถูกชิงเอาหน้าไป มันทำให้ิซานรู้สึกอึดอัด แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงเื่นี้ได้
ิอวี่ไม่ได้สนใจอะไริซานอีก แต่กลับมองไปที่เยี่ยซีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน มองผู้หญิงที่ล้อเล่นกับความรู้สึกและทรัพย์สินเงินทองของเขาถึงสองปี
อดีตทุกอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก แต่ตอนนี้ เขาจะต้องทำให้คนที่เคยหลอกใช้เขา จ่ายค่าตอบแทนที่แสนเ็ปนั้นอย่างสาสม
“คิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดของข้าเมื่อสามเดือนก่อน จะทำให้เ้าไล่ตามหลังข้ามาได้ขนาดนี้เลย”
เยี่ยซีเองก็มองไปที่ิอวี่ ครั้งนี้ สายตาที่เ็าของนางกลับมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเล็กน้อย
“ไล่ตาม? เ้าคิดว่าเ้าเป็ใคร คู่ควรที่จะให้ข้าไล่ตามอย่างนั้นหรือ?” ิอวี่ตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลใจ ทำให้ทุกคนหันมามอง
ไม่รู้ว่ามีผู้ชายตั้งมากมายเท่าไรที่อยากจะจับชายกระโปรงของนาง เยี่ยซีพูดออกมาว่าิอวี่ไล่ตามนางอย่างมั่นใจ แต่ิอวี่กลับไร้เยื่อใยมาก แล้วยังพูดอีกว่าเยี่ยซีคิดว่าตัวเองเป็ใคร มันเป็คำพูดที่อวดดีอย่างมากเลย
แต่สีหน้าท่าทางของเยี่ยซีกลับยังนิ่งอยู่ นางไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ กับคำพูดของิอวี่ หลังจากที่นางไปถึงขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่แปดแล้ว จิตและร่างกายของนางก็หลอมเป็หนึ่ง ความสามารถของนางสูงมาก ระดับจิตใจเองก็เติบโตขึ้นไปมากเช่นกัน
“เ้ายังคงอวดดี ไม่ประสาเหมือนเดิมเลยนะ”
คำพูดที่เรียบง่าย แต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจนใจและเวทนา
“เหอะๆ” ิอวี่หัวเราะ คำพูดนี้มันทำให้เืลมของเขาพลุ่งพล่าน เขาโกรธมากราวกับสิงโตหลับที่ถูกทำให้ตื่น!
“เ้านี่น่าสงสารจังนะ”
พอเห็นิอวี่กำลังหัวเราะ คนของตระกูลเยี่ยที่ชื่อว่าเยี่ยเสวียนก็ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “เ้ายังไม่เข้าใจอีกหรืออย่างไร? บางเื่นางมองออกนานแล้ว แต่นางแค่ไม่พูดเท่านั้นเอง”
“ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเ้าบ้าฝึกวิชาจนถึงระดับนี้ พื้นฐานวิชายุทธ์ก็ไม่ได้แน่น เสียพลังไปมาก ระดับขั้นของเ้ายากที่จะก้าวหน้าได้อีก ส่วนทักษะการต่อสู้ ประสบการณ์ต่อสู้อะไรของเ้าก็ไม่มี แล้วเ้าไปเอาความมั่นใจมาเทียบระดับกับเราอีก? เป็คน อย่างไรก็ควรรู้ว่าตัวเองนั้นอยู่จุดไหน ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นะ”
คำพูดของเยี่ยเสวียน มันเหมือนเตือนสติทุกคน
บนโลกใบนี้มีเื่ประหลาดเกิดขึ้นมากมาย มีบางคนดูดซับยาจูหยวนตันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พลังฝีมือก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว บางคนเป็คนธรรมดา แต่กลับได้รับโอกาสพลังเพิ่มพูนขึ้นมาในคืนเดียว แต่ว่าคนพวกนี้กลับไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ชื่อหลงเหลือเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ? เพราะพวกเขาใช้พลังมากเกินขีดจำกัดของตัวเอง พลังฝีมือใน่หลังไม่มีความก้าวหน้า และพลังชีวิตของพวกเขายังลดลงไปกว่าครึ่งด้วย!
เยี่ยซีเดิมก็มีพร์ที่สูงมากอยู่แล้ว อีกทั้งนางยังมีร่างจิติญญาแห่งลมด้วย ร่างกายว่องไวกว่าคนปกติมาก นางฝึกวิชามาั้แ่อายุสิบขวบ สร้างรากฐานมาทีละก้าว ถึงได้มีอย่างทุกวันนี้
ไม่ว่าจะเป็ประสบการณ์การต่อสู้กับทักษะการต่อสู้ ไม่รู้ว่าเยี่ยซีเหนือกว่าิอวี่กี่เท่า
อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้เยี่ยซียังเรียนรู้ค่ายกละเิเพลิงที่แข็งแกร่งมากด้วย มันทำให้นางกับิอวี่ต่างกันออกไปอีก!
ไม่ว่าหลิวซงิ หลินเจ๋อเทียน ซ่งซูเหลียน หรือว่าเยี่ยเสวียน พวกเขาไม่เพียงมีพลังความสามารถสูงมากเท่านั้น ทักษะกับประสบการณ์การต่อสู้ก็เทียบได้ว่าเป็สุดยอดผู้กล้า
พวกเขาแต่ละคนมีขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่เจ็ด ติดหนึ่งในหนึ่งพันอันดับผู้กล้าของราชวงศ์ต้าิด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่คนที่ไม่มีพื้นฐานการฝึกยุทธ์อย่างิอวี่จะเทียบได้เลย
เยี่ยซีหันหลังแล้วเดินไปเลย ไม่พูดอะไรกับิอวี่อีก
ไม่ใช่ว่านางเป็ฝ่ายผิดไม่มีเหตุผล แต่นางทำอะไรเรียบง่าย ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ นางไม่อยากโต้เถียงด้วย!
ที่จริงเหล่าผู้ชมนั้นก็รู้ดี หมัดของิอวี่น่าทึ่งมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่มีความสามารถอย่างพวกเยี่ยเสวียนแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางชนะ
“ถ้าอย่างนั้นเรามารอดูกัน”
ิอวี่เงียบไป ความคลุ้มคลั่งมันพลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจของเขา เหมือนความเงียบก่อนคลื่นลมแรงจะมา
การแข่งขันของเหล่าองค์ชายองค์หญิงจบลง กรรมการทั้งเก้าคนต่างรวบรวมผลคะแนนของผู้เข้าแข่งขันกว่าพันคนเมื่อครู่แล้วกำลังหารือกัน
ไม่นานนัก ผลก็ถูกประกาศออกมา มีผู้เข้าแข่งขันจำนวนแปดสิบคนผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
ซึ่งิอวี่และพวกเยี่ยซีก็ผ่านเข้ารอบสองไปอย่างไม่มีข้อกังขา
“ตู้มตู้มตู้ม ...”
ในเวลานี้พื้นของลานประลองก็สั่นะเื จากนั้นก็เห็นว่ามีลานประลองสีขาวขนาดยี่สิบตารางเมตรสีขาวเทาจำนวนแปดแห่ง ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากลานกว้างจนสูงกว่าพื้นประมาณสองเมตรจึงได้หยุดลง
การประลองในรอบที่สองนั้น น่าจะทำการบนลานประลองแปดแห่งนี้!
“ต่อไป ข้าจะประกาศกฎเกณฑ์การแข่งขันในรอบที่สอง”
มู่หลางะโ แต่ก็อดมองมาที่ิอวี่เป็ระยะไม่ได้ เขาพูดว่า “ต่อไป ข้าจะปล่อยลูกบอลเหล็กน้ำหนักหนึ่งพันกรัมแปดลูก พวกเ้าแปดสิบคน แบ่งเป็แปดกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีเวลาหนึ่งก้านธูปในการแข่งขัน ใครสามารถถือลูกบอลเหล็กไว้ในมือเป็เวลาสิบลมหายใจ คนนั้นก็จะได้รับชัยชนะในรอบนี้ไป และถือเป็หนึ่งในแปดผู้กล้าต่อไป”
“ในเวลาหนึ่งก้านธูป หากมีใครขอถอนตัวหรือว่าถูกบีบจนตกจากลานประลอง ก็จะถือว่าหมดสิทธิ์และถูกคัดออกในทันที เมื่อใครก็ตามสามารถถือลูกบอลเอาไว้ในมือได้สิบลมหายใจ ถือว่าการแข่งขันสิ้นสุดทันที อีกเก้าคนที่เหลือก็จะตกรอบ เหลือผู้ชนะแค่คนเดียวเท่านั้น”
“หากไม่มีใครสามารถถือไว้ในมือได้ถึงสิบลมหายใจ ถ้าอย่างนั้นใครที่ถือเป็เวลานานที่สุด ก็จะเป็ผู้ชนะ”
เมื่อมู่หลางอธิบายกติกาออกมาแล้ว ทุกคนก็เข้าใจ
หากในรอบแรกคือการทดสอบเื่กำลัง ซึ่งมันง่ายมาก ในรอบที่สองไม่เพียงเป็การทดสอบพละกำลังของร่างกาย แต่ยังทดสอบไหวพริบการตัดสินใจอีกด้วย
เพราะไม่ว่าใครที่ได้ลูกบอลเหล็กไปก็จะถูกคนอื่นเข้ามาชิงอย่างบ้าคลั่ง จะไปชิงเมื่อไหร่ หลบอย่างไร หนีตอนไหน มันล้วนแต่ต้องมีวิถี
ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิด มู่หลางก็เริ่มแบ่งกลุ่ม ตามข้อกำหนดของกรรมการ มู่หลางจะแยกแปดอันดับแรกออกเป็แปดกลุ่ม นั่นก็หมายความว่า ในแปดกลุ่มจะมีคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่หนึ่งคน แล้วก็อาจจะเป็คนที่ชนะ แต่ว่าพวกเขาก็อาจจะตกม้าตายก็ได้เช่นกัน
ดังนั้น ิอวี่ เยี่ยซี แล้วก็พวกหลินเจ๋อเทียน ต่างถูกจับแยกไปอยู่คนละกลุ่ม
คนที่ถูกจับไปอยู่กลุ่มเดียวกับเยี่ยซีแทบจะร้องไห้ เพราะไม่ต้องแข่งก็รู้ผลแล้ว เยี่ยซีเองก็เป็ดั่งเทพธิดาของพวกเขา แล้วพวกเขาจะกล้าลงมือได้อย่างไรกัน?
สมาชิกของหลายกลุ่มต่างหาพวกเพื่อปรึกษาวิธีการรับมือ เลยมีเสียงกระซิบกระซาบกันเป็ระยะ
ส่วนิอวี่นั้นอยู่กลุ่มที่ห้า อีกเก้าคนที่เหลือต่างตีตัวออกห่างจากิอวี่ทำให้เขาแทบจะเหมือนตัวคนเดียว ิอวี่คิดจะเดินเข้าไปฟังด้วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามีชายคนหนึ่งกลับผลักเขาออกแล้วพูดว่า “เราหารือวิธีการกันอยู่เ้ายุ่งอะไรด้วย ไปไกลๆ เลย”