คืนนี้เซวียเสี่ยวหรั่นหลับไม่สบายนัก
รถม้าของซีอู่ค่อนข้างเล็ก อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวหรั่นนอนเบียดกัน แค่พลิกตัวยังลำบาก
ฟ้ายังไม่สว่าง ในถ้ำก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว
เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้นมานั่งหาวท่ามกลางเสียงจอแจเ่าั้
อูหลันฮวาตื่นสักพักแล้ว ออกไปเก็บฟืนมาก่อไฟต้มน้ำ
เซวียเสี่ยวหรั่นหวีผมเสร็จถึงลงจากรถม้า
ข้างกองไฟ เซวียเสี่ยวเหล่ยกับอูหลันฮวากำลังคุยกันเบาๆ ส่วนอาเหลยก็ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายเขา
เซวียเสี่ยวหรั่นเกาหัว เสี่ยวเหล่ยค่อนข้างระวังตัวเวลาอยู่กับเธอ แต่กลับสนิทสนมกับอูหลันฮวา พวกเขาสองคนดูคล้ายพี่น้องกันมากกว่าเธอเสียอีก
"ต้าเหนียงจื่อ" อูหลันฮวาหันมาทักทาย
"พี่สาว" เซวียเสี่ยวเหล่ยลุกขึ้นขานเรียกเสียงเบา
"เสี่ยวเหล่ย เหตุใดถึงตื่นเช้านัก" เซวียเสี่ยวหรั่นมองไปที่รถม้าของพวกเขา "เหลียนเซวียนเล่า?"
"หลางจวินนั่งสมาธิอยู่ขอรับ"
ที่จริงเซวียเสี่ยวเหล่ยควรเรียกเหลียนเซวียนว่าพี่เขย แต่ทั้งเซวียเสี่ยวหรั่นและเหลียนเซวียนต่างไม่ทักท้วงเื่นี้ เซวียเสี่ยวเหล่ยจึงเรียกตามอูหลันฮวาเสียเลย
"เหลียนเซวียน ท่านควรลงมาได้แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นไปยืนข้างรถ เคาะประตูเบาๆ จากนั้นก็ผลักเปิดแล้วชะโงกศีรษะเข้าไป
ผ้าห่มด้านในถูกเก็บเรียบร้อย เหลียนเซวียนนั่งสมาธิอยู่ได้ยินเสียงนางก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมาด้านนอก
เซวียเสี่ยวหรั่นยื่นมือไปช่วยประคองแขน
เซวียเสี่ยวเหล่ยวิ่งมาทางด้านหลัง ปีนขึ้นไปบนรถอย่างคล่องแคล่วแล้วหยิบไม้เท้าส่งลงมาให้
"ท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นอาภรณ์ของเขายับเพียงเล็กน้อย ต้องไม่ได้นอนแน่ๆ
คนผู้นี้พิถีพิถันมากกับบางเื่ ยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ชอบร่วมห้องหรือนอนร่วมกับคนที่ไม่รู้จักมักคุ้น
เมื่อคืนเสี่ยวเหล่ยมาอยู่ด้วย เขาคงไม่อยากนอนกับผู้อื่น
อันที่จริงเซวียเสี่ยวหรั่นเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่เธอทนได้หากไม่มีทางเลือกจริงๆ แต่เขาไม่ใช่คนอดทนกับสิ่งที่ไม่้า
"นั่งสมาธิก็เหมือนกัน" เหลียนเซวียนกล่าวเรียบๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองเขาปราดหนึ่ง นึกวิตกในใจอยู่บ้าง การเดินทางยังใช้เวลาอีกหลายวัน เขาจะไม่นอนเลยสักคืนได้อย่างไร
นั่งสมาธิอะไรกัน รู้สึกลี้ลับเกินไปแล้ว
นอกถ้ำไม่ไกลนัก มีลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง ทุกคนต่างวิ่งไปล้างหน้ากันที่นั่น
คนค่อนข้างเยอะ เซวียเสี่ยวหรั่นจึงต้องไปล้างหน้าและบ้วนปากเป็เพื่อนเหลียนเซวียน
หลังจากนั้นก็ให้เสี่ยวเหล่ยพาเหลียนเซวียนไปปลดทุกข์ กลับมาถึง น้ำที่ต้มไว้เย็นกำลังดี ซาลาเปาก็ย่างเสร็จเรียบร้อย
"ทุกคนมากินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวตอนแวะพักในเมือง พวกเราค่อยซื้อเสบียงอาหารมาตุนไว้ จะกินแต่ซาลาเปาทุกวันก็ใช่เื่" เซวียเสี่ยวหรั่นส่งซาลาเปาให้พวกเขา
"ซาลาเปาอร่อย" เซวียเสี่ยวเหล่ยเอ่ยเสียงเบา ยื่นมือไปรับมากินคำเล็กๆ สำหรับเขาแล้วการได้กินซาลาเปาเป็ความสุขอย่างหนึ่ง
อูหลันฮวาก็พยักหน้า เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านนั้น แค่ขนมเปี๊ยะไส้ผักสักชิ้นก็ยังยากเลย นับประสาอันใดกับซาลาเปาขาวๆ เช่นนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มอย่างจนใจ เอื้อมมือไปลูบศีรษะเซวียเสี่ยวเหล่ย "ถึงอร่อยก็กินทุกวันไม่ได้ กินมากไปจะเบื่อจะเลี่ยนเอา พวกเราต้องเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นบ้าง"
เหลียนเซวียนตวัดสายตาไปที่พวกนาง พลางกินไปเงียบๆ ซาลาเปาค้างคืนรสชาติจะอร่อยสักแค่ไหนกันเชียว
ขบวนพ่อค้าทางโน้นก่อไฟทำกับข้าว กลิ่นอาหารหอมฉุยก็โชยมา
พอได้กลิ่นหอม ผู้คนตามมุมหลืบต่างมองไปทางนั้นอย่างอดไม่ได้
เตาขนาดใหญ่สองสามใบติดไฟพร้อมกัน ควันทำอาหารลอยมาเป็ระยะ อาหารในหม้อใบใหญ่กำลังเดือดปุดๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มสอดส่ายสายตาไปยังรถม้าสีแดงเข้มแลดูสะดุดตาคันนั้น
พบว่ารถม้าไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว แต่แล่นไปจอดอยู่ตรงที่ว่างนอกถ้ำ
ตรงนั้นยังตั้งเตาเล็กอีกใบ สตรีสองคนกำลังยุ่งอยู่หน้าเตา
ส่วนรถม้าที่อยู่ใกล้กัน ยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยยืนอยู่อีกสี่คน
แต่กลับไม่เห็นเงาคุณชายคนเมื่อคืนผู้นั้น
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นภายในรถไม่มีความเคลื่อนไหว ก็เดาว่าเขาคงยังไม่ตื่น
"ต้าเหนียงจื่อ รถม้าคันนั้นหรูหราจังเลยนะเ้าคะ" อูหลันฮวาจ้องไปที่รถม้าคันนั้น "ข้าได้ยินพวกเขาคุยกัน นั่นคือรถม้าของนายน้อยเหล่าวาณิชสกุลเมิ่งเ้าค่ะ"
คุณชายบนรถหรูหราก็คือนายน้อยสกุลเมิ่ง หญิงสูงวัยกับหญิงสาวเ่าั้ก็คงเป็สาวใช้ที่เขาพามาด้วยสินะ จิ๊ๆ ขนาดออกมาข้างนอกยังทำตัวฟู่ฟ่าขนาดนี้
"โอ้อวดเสียขนาดนี้ไม่กลัวผู้อื่นจะริษยาบ้างเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นกระซิบกระซาบเสียงเบา
"ได้ยินว่าสกุลเมิ่งเป็เศรษฐีอันดับต้นๆ ของแคว้นหลี ปรกติพวกโจรป่าไม่มีใครกล้ายุ่ง ดังนั้นคาราวานของพวกเขาจึงมีรถม้าติดตามมามากมาย" อูหลันฮวาเก็บรวบรวมข่าวสารมาไม่น้อย
สกุลเมิ่ง? เหลียนเซวียนนิ่งงัน เขาพอรู้เกี่ยวกับแคว้นหลีมาบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสกุลเมิ่งนี้เลย
อูหลันฮวาเล่าเื่ที่ไปสอบถามมาให้ฟังอย่างละเอียด
นายน้อยแห่งสกุลเมิ่งผู้เข้ามารับหน้าที่หมาดๆ ผู้นี้มีนามว่าเมิ่งเฉิงเจ๋อ ไม่เพียงแต่เป็ชายหนุ่มรูปงาม ชั้นเชิงทางการค้ายังแพรวพราว เมื่อก่อนสกุลเมิ่งเป็เพียงพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น ภายใต้การจัดการของเขาเพียงไม่กี่ปีสกุลเมิ่งก็ผงาดขึ้นมาเป็คหบดีระดับต้นๆ ของแคว้นหลี
เมิ่งเฉิงเจ๋อจึงกลายเป็ประเด็นร้อนแรงที่ได้รับการกล่าวขวัญสูงสุดในแคว้นหลี
"โอ้ เขาเก่งกล้าขนาดนี้เชียวหรือ" แม้อูหลันฮวาจะพูดไม่ชัด แต่เซวียเสี่ยวหรั่นกลับฟังอย่างเข้าถึงอารมณ์
เหลียนเซวียนปรายตามา
"นายน้อยเมิ่งผู้นั้นนอกจากร่ำรวยมาก หน้าตายังหล่อเหลาเป็พิเศษ ได้ยินว่าเขาเป็ตัวเลือกบุตรเขยที่ดีที่สุดของหญิงสาวในเมืองชางตานเลยเ้าค่ะ"
ดวงตาของเซวียเสี่ยวหรั่นผุดแววอยากรู้อยากเห็น เมื่อคืนเธอมองดูแล้ว แต่อยู่ไกลเกินไป ประกอบกับสายตาไม่ค่อยดี ไม่อาจเห็นเค้าโครงใบหน้าของเมิ่งเฉิงเจ๋อ แต่รู้สึกได้ว่าน่าจะเป็ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ช่างน่าเสียดายนัก
"มองอยู่ไกลๆ ก็ดูเหมือนว่าจะหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสูงเพรียว สวมอาภรณ์สีขาว ศีรษะประดับเกี้ยวหยก มือยังถือพักโบกเบาๆ ข้างกายในสตรีติดตามสามสี่คน ดวงตาสุกสกาวราวกับดวงดาวทีเดียว
พอนึกภาพตาม อูหลันฮวาก็หัวเราะ
"แฮ่ม ผิดจรรยาอย่าฟัง ผิดจรรยาอย่าพูด" เหลียนเซวียนปั้นหน้านิ่ง แม่นางทั้งสองยิ่งคุยก็ยิ่งออกรส
พอได้ยินเขาพูดว่า ผิดจรรยาอย่าพูด เซวียเสี่ยวหรั่นก็กลอกตา อูหลันฮวารีบหุบปากอมยิ้ม
พอฟ้าสาง คาราวานวาณิชสกุลเมิ่งก็เริ่มออกเดินทาง
ขบวนรถยาวเหยียดเคลื่อนที่ไปด้านหน้า รถม้าของพวกเซวียเสี่ยวหรั่นรั้งอยู่ท้ายสุด
"ฝนหยุดแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นยังคงชะโงกศีรษะออกไปนอกรถเหมือนเดิม เห็นพื้นดินเฉอะแฉะมีน้ำขัง ก็ขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่
"ถนนของแคว้นฉีล้วนเป็โคลนเลนเช่นนี้หรือไม่"
นอกจากละแวกเมืองหลินอันที่เป็พื้นลาดศิลา นอกนั้นล้วนเป็ถนนดินแดง
"ถนนส่วนใหญ่ของแคว้นฉีลาดด้วยศิลาทั้งสิ้น" เหลียนเซวียนตอบกลับประโยคหนึ่ง
สถานการณ์ของแคว้นหลีจะมาเทียบกับแคว้นฉีได้อย่างไร เสียงของเขาค่อนข้างราบเรียบ
"นั่นก็สมควรแล้ว หากแม้แต่ถนนยังสร้างไม่ดี จะเอ่ยอ้างถึงความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร หากอยากดูว่าแว่นแคว้นมั่นคงแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้องดูจากถนนหนทางก่อน"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงฉายาของบ้านเมืองตนที่ว่า "จอมบ้าระห่ำแห่งการก่อสร้าง" ก็อดเผยสีหน้าภาคภูมิใจไม่ได้
