“ตุ้บ...”
เสียงร่างโครงกระดูกหนามกองลงกับพื้น พร้อมดรอปนิ้วมือที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา นี่แหละไอเทมภารกิจที่ผม้า
ผมเก็บชิ้นส่วนโครงกระดูกเข้ากระเป๋าแล้วลองนับดูอีกครั้ง ครบ 40 ชิ้นพอดี!
จากนั้นผมก็ลองตรวจสอบดูเลเวลสักหน่อย ตอนนี้ผมอยู่ที่เลเวล 20 โดยมีค่าประสบการณ์ถึง 45% แล้ว การที่ผมออนไลน์ต่อเนื่องนานถึง 12 ชั่วโมงทำให้ประสิทธิภาพในการเก็บเลเวลดีมากจริงๆ!
“เฮ้อ! ยังเหลือบอสตัวสุดท้าย...”
ผมมองไปที่ผู้นำิญญาชิงหยู่จากที่ไกลออกไป ถึงเวลาที่ต้องกลับไปตามทหารมาช่วยฆ่าบอสตัวนี้แล้วล่ะ!
......
แต่ทันใดนั้นเองผมก็รู้สึกเวียนหัวและรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังจะล้มลง และในขณะเดียวกันนั้นผมก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นที่ข้างหู
“ติ๊ง!”
ระบบแจ้งเตือน : ค่าความหิวของคุณลดเหลือ 20 โปรดกินทันทีไม่อย่างนั้นจะมีผลร้ายแรง
จากนั้นดวงไฟสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าเหมือนกับอุลตร้าแมนที่มีพลังงานไม่เพียงพอจนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมลืมสนใจสิ่งหนึ่งไป มันก็คืออาหารนั่นเอง!
ร้านอาหารเล็กๆ ในเมืองฝูปิงต่างก็ขายของกินพวกขนมปังและเนื้อแผ่นเพื่อเอาไว้เสริมพละกำลัง แต่น่าเสียดายที่ป้อมศีตเหมันต์ไม่มีของพวกนี้ขายเพราะวิธีการกินอาหารของพวกิญญารัตติกาลนั้นง่ายมาก คือการกินศพนั่นเอง!
ไม่ผิดหรอก ความสามารถแต่กำเนิดของพวกิญญาก็คือ— การกัดกินศพนั่นเอง! ในระหว่างกัดกินศพมันไม่เพียงแต่จะช่วยฟื้นฟูพละกำลังและเพิ่มค่าความหิว แต่มันยังช่วยฟื้นคืนพลังชีวิตได้ทันทีด้วย สิ่งนี้ก็เป็อีกข้อได้เปรียบของพวกิญญารัตติกาลที่มีมาแต่กำเนิดเช่นกัน
ค่าคุณสมบัติของผมลดลงไป 50% ดังนั้นทั้งการโจมตี พลังป้องกันและพลังชีวิตต่างจึงลดต่ำลง และไม่ไกลจากที่นี่ก็มีบ่อเืที่มีศพมนุษย์เน่าเปื่อยลอยอยู่ในน้ำ สภาพศพที่บวมเป่งพวกนั้นมีรูปร่างคล้ายกับหมั่นโถวสีขาวก้อนใหญ่
“แหวะ...”
ผมแทบจะอาเจียนออกมาพร้อมกับคิ้วสองข้างที่ขมวดพันกัน บ้าเอ๊ย ตีผมให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางใช้ความสามารถกัดกินศพนี้แน่ๆ!
ผมพาร่างกายที่อ่อนปวกเปียกเดินออกจากสุสานใหญ่ ไม่ไกลจากตรงนี้มีหมู่บ้านเล็กๆ ของมนุษย์อยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีพวก NPC เลเวลต่ำๆ จำนวนหนึ่งกำลังปลูกพืชผักอยู่ด้านนอกหมู่บ้านพอดี ถ้าผมฆ่าใครสักคนแล้วกินเขาซะผมคงมีแรงพอให้ออนไลน์ต่อโดยไม่ต้องทนหิวไปอีก 24 ชั่วโมง
“ไม่เอา!”
ผมทนกัดฟันเดินต่อไปข้างหน้า แต่จู่ก็มีเสียง “กรุบกรับ” ดังแว่วมา เมื่อได้ยินเสียงนั้นผมก็หันมองไปยังที่ไกลๆ และได้พบกับผู้เล่นิญญารัตติกาลสวมเกราะสีนิลตนหนึ่งกำลังกัดกินศพของมนุษย์อยู่ และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็กุ่ยกู่จือนั่นเอง!
“รสชาติเป็ไง”
ผมก้าวเข้าไปหาแล้วถาม
กุ่ยกู่จือเช็ดปากเปรอะเืพร้อมยกยิ้มร้าย “รสชาติไม่เลว ตายไปไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็ถือว่ายังหอมหวานอยู่เลยนะ มากินด้วยกันไหมล่ะ”
“แหวะ ฉันไม่กิน!”
ผมย่นคิ้วแล้วเดินจากมา แต่กุ่ยกู่จือกลับหัวเราะเยาะขึ้น “ฮ่าๆ นายคงไม่มีทางได้เป็ยอดฝีมือแน่ๆ นึกไม่ถึงว่าก้นบึ้งของหัวใจนายยังมีเมตตาอยู่อีก ฮ่าๆๆ!”
ผมหันกลับไปอย่างขุ่นเคืองแล้วจ้องมองกุ่ยกู่จือด้วยสายตาอาฆาตก่อนจะพูดกับเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สิ่งที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจของฉันมันไม่ใช่เมตตาห่าเหวอะไรทั้งนั้น แต่มันคือจิตสำนึกและเส้นแบ่งศีลธรรมของฉันโว้ย!”
“เหอะ ตามใจแกเถอะ อย่าหิวตายก็แล้วกัน ไม่งั้นฉันคงไร้คู่ต่อสู้กันพอดี!”
กุ่ยกู่จือหัวเราะออกมาก่อนจะก้มหน้า “กินอาหาร” ต่อไป
......
ผมเดินโซซัดโซเซมุ่งหน้าไปที่ป้อมศีตเหมันต์ และที่แย่ที่สุดก็คือค่าความหิวของผมก็ลดลงฮวบฮาบ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีค่าความหิวก็ลดลงเหลือเพียง 5 หน่วยเท่านั้น ตอนนี้แม้กระทั่งแรงจะเดินผมก็ไม่มีแล้ว!
“ฟุบ!”
ร่างของผมโงนเงนก่อนจะล้มลงบนผืนหญ้า แล้วทันใดนั้นเม็ดฝนก็เริ่มเทลงมาจากฟ้า สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบขึ้นมาอย่างดุดันแต่ละสายทำลายความมืดมิดไปจนสิ้น จากนั้นกลุ่มเมฆดำมืดก็คืบคลานเข้ามาราวกับกำลังถ่ายทอดคำบัญชาศักดิ์สิทธิ์มาให้แก่ิญญารัตติกาลที่ชั่วร้าย
ผมหอบหายใจแรงมองไปที่ผืนหญ้าตรงหน้าด้วยความรู้สึกหดหู่ แต่ทันใดนั้นผมก็ตัดสินใจใช้ปากงับต้นหญ้าอ่อนบนพื้นอย่างรุนแรง!
รสชาติของมันเกินจะรับไหว ความขมของมันกระจายไปทั่วปาก
“ติ๊ง!”
แจ้งเตือนจากระบบ : คุณได้กินต้นหญ้า (ค่าพลังงาน 1) ได้รับค่าความหิวเพิ่ม 0.1 หน่วย!
......
เวร! ได้แค่ 0.1 หน่วยเนี่ยนะ ล้อกันเล่นหรือไง
น้ำตาผมแทบจะไหลพราก
แล้วอยู่ๆ ในหัวผมก็ว่างเปล่าและสติก็ใกล้จะหลุดลอยออกไปเต็มที
และในตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นราวกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างลงมาท่ามกลางความมืดมิดไม่มีสิ้นสุด
“พี่ชาย เป็อะไรไปน่ะ”
......
ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วผมก็พบเด็กสาวในชุดกระโปรงยาวสีม่วงคนหนึ่งกำลังก้มมองผมอยู่ใต้ต้นไม้ เธอมีรูปร่างหน้าตาที่สะสวย มีใบหน้ากลมกลึงและมีดวงตาคู่โตสีไพลิน นอกจากนี้ในมือของเธอยังถือตะกร้าที่มีเห็ดอยู่จำนวนหนึ่งเอาไว้ด้วย อ้อ ที่แท้ก็เป็เห็ดเก็บโลลิ (เด็กสาว)นี่เอง เอ้ย ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็สาวน้อยโลลิเก็บเห็ดสิถึงจะถูก
“เอ่อ...”
ผมส่งเสียงตอบกลับไป แต่พูดอะไรไม่ออก ถ้าค่าความหิวไม่เพียงพอมากสุดก็แค่หิวตาย ถ้าเลเวลตกสักเลเวลก็คงไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร พยายามอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็คงอัปกลับขึ้นมาได้แล้ว
“นี่พี่ชาย...” สาวน้อยโลลิคนนั้นมองมาที่ผมแล้วเผยยิ้มงดงามราวกับนางฟ้าออกมา “พี่ชายท่านนี้ พี่คงจะหิวมากใช่หรือไม่”
ผมพยักหน้าซ้ำๆ
จากนั้นสาวน้อยก็เลิกกระโปรงยาวขึ้นจนเผยให้เห็นต้นขาเรียวงามที่ถูกฝนจนเปียกชุ่มคู่หนึ่ง และขณะที่ผมจ้องมองเธออยู่พักใหญ่ เธอก็หยิบขนมปังจากในกระเป๋าข้างตัวยื่นมาตรงหน้าผมแล้วพูดขึ้นมาด้วยอารมณ์ขัน “เอ้านี่ ขนมปังข้าวโอ๊ตที่แม่ข้าทำเอง อร่อยมากเลยนะ พี่กินสิ!”
ผมรู้สึกอับอายกับการคิดไปไกลเมื่อครู่แล้วรีบรับขนมปังเข้าไปทันที!
ขนมปังข้าวโอ๊ต (ค่าพลังงาน 100) : การทำอาหารระดับ 1 ฟื้นคืนค่าความหิว 75 หน่วย!
......
ของเขาดี!
ผมรีบยัดขนมปังข้าวโอ๊ตเข้าปาก ถึงจะชุ่มไปสักหน่อยแต่กลับมีกลิ่นกายของเด็กสาวอยู่ ในตำนานมีใบชาประเภทหนึ่งที่หลังจากเด็ดมาแล้วก็จะนำไปวางอบแห้งที่อกของหญิงสาว เื่นี้เป็ที่แพร่หลายในเขตอันฮุย ใบชาประเภทนี้เรียกว่า XXX (โธ่เว้ย! ผมลืมจนได้) ขนมปังข้าวโอ๊ตในตอนนี้ก็ล้ำเลิศไม่ต่างกัน เป็รสชาติที่น่ารื่นรมย์เสียจริง
พละกำลังส่วนใหญ่ฟื้นฟูขึ้นมาทันที ถึงระดับของขนมปังก้อนนี้จะไม่สูงนัก แต่เลเวลของผมเองก็ไม่สูงเหมือนกัน เพราะงั้นมันจึงช่วยฟื้นฟูค่าพละกำลังของผมได้มากโขเลยทีเดียว!
ผมพลิกตัวลุกขึ้น ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีกำลังวังชาขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นผมก็หันไปถามสาวน้อยด้วยรอยยิ้ม “น้องสาว เธอชื่ออะไรล่ะ?”
“ข้าชื่อซินหราน!” เธอตอบกลับมาเสียงหวาน
อันที่จริงไม่ต้องบอกผมก็เห็นว่าบนหัวของเธอมีตัวหนังสือลอยอยู่ สาวน้อยซินหราน เลเวล 15 เธอเป็เด็กสาวบริสุทธิ์ไม่มีพิษมีภัยกับใคร ไม่งั้นคงไม่มายุ่งกับิญญารัตติกาลที่มีแต่คนอยากจะกำจัดอย่างผมหรอก
เห็นดังนั้นผมก็พูดต่อ “ซินหราน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ นี่มันเป็ที่ที่พวกิญญารัตติกาลผ่านไปมาอยู่บ่อยๆ นะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง”
ซินหรานกะพริบตาก่อนจะตอบกลับมา “ตอนนี้แม่ข้ามองอะไรไม่เห็นแล้ว พวกพ่อมดในเมืองบอกว่าถ้าใช้เห็ดที่เกิดใหม่กลางสายฝนก็จะช่วยรักษาตาของท่านแม่ได้ เพราะงั้นข้าก็เลย...”
“อ้อ แบบนี้เอง งั้นต่อไปเธอจะมาที่นี่ทุกวันไหม”
“ใช่เ้าค่ะ!”
ผมคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะขยับออกห่างซินหรานเล็กน้อยเพราะกลัวว่ารูปลักษณ์ของผมจะทำให้เธอหวาดกลัว จากนั้นผมก็หัวเราะเบาๆ “ซินหราน งั้นต่อไปนี้ฉันจะมาเจอเธออยู่ที่นี่ทุกวัน เธอเอาขนมปังมาให้ฉันวันละอันได้ไหม”
ซินหรานพยักหน้า “ได้สิพี่ชาย พี่ชอบขนมปังที่แม่ข้าทำใช่ไหมล่ะ”
“อื้อๆ!”
“ฮ่าๆ ซินหรานจะจำไว้เ้าค่ะ!”
ผมพูดอะไรไม่ออก สาวน้อยใสซื่อคนนี้ไม่้าสิ่งตอบแทนอะไรเลยสักนิดเหรอ?
พอคิดได้เท่านั้นผมก็หยิบเหรียญเงินเหรียญหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วใช้มือดีดมันลงกลางตะกร้าของซินหรานอย่างสวยงาม
“เอาไปซื้อแป้งสิ ฉันกินฟรีไม่ได้หรอกนะ”
“เ้าค่ะ ได้เลย เช่นนั้นข้ากลับบ้านก่อนนะพี่ชาย แม่ข้าอยู่คนเดียวคงเป็ห่วงแย่แล้ว”
“ไปเถอะ!”
......
เธอหิ้วตะกร้าพลางะโโลดเต้นอยู่กลางทุ่งหญ้าเหมือนผีเสื้อแสนสวย แล้วไม่นานเธอก็หายลับไป โธ่ ช่างเป็เด็กสาวใสซื่อที่หาพบได้ยากจริงๆ!
เมื่อฟื้นคืนพลังได้แล้วผมก็รุดกลับไปที่ป้อมศีตเหมันต์ทันที เมื่อมาถึงในค่ายตรงที่นักดาบิญญาซูหลุนอยู่ผมก็ลองคลิกดูที่ปุ่มเรียนรู้ทักษะ จากนั้นทักษะเรียนรู้สำหรับเลเวล 20 ก็เด้งออกมาอยู่ตรงหน้าผม
[ทักษะเรียกิญญา] : เรียกสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและอ่อนแอกว่าตัวเองมาเป็ทาส
[ทักษะมุดดิน] : มุดซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน แต่ความคล่องตัวจะลดลง 90% และถูกพบเห็นได้ง่าย
......
ทักษะแต่ละอย่างต้องใช้เหรียญเงิน 20 เหรียญเป็ค่าเรียนรู้ แต่โชคดีที่ตอนนี้ผมเป็เศรษฐีที่มีเงินอยู่ตั้ง 92 เหรียญเงิน จึงใช้เงินนั้นเพื่อเรียนรู้ทักษะทั้งสองอย่าง
ทักษะเรียกิญญาเป็ทักษะที่มีพลังร้ายกาจ เราสามารถเรียกิญญามาช่วยสู้รบได้ ไม่ว่าจะเพื่อโจมตีหรือเอามาเป็โล่เนื้อก็ถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก ส่วนทักษะมุดดินน่าจะเป็ทักษะที่ใช้เพื่อการหลบหนี แน่นอนว่าถ้าไม่ยึดติดว่าจะเคลื่อนที่ได้ช้าก็สามารถนำมันมาใช้ในการโจมตีอย่างรวดเร็วได้ด้วย
เมื่อเรียนรู้เสร็จแล้วผมก็ลองกดใช้ทักษะมุดดินดู ทันใดนั้นร่างกายก็กลายเป็เถาวัลย์สีเืเลื้อยลงสู่พื้นดินและยังเห็นสถานการณ์ต่างๆ บนพื้นดินได้แต่จะเคลื่อนไหวช้าไปมากหน่อยเท่านั้นเอง แต่ที่จริงแล้วมันช้าจนน่าสมเพชเลย ถ้าผมเคลื่อนไหวด้วยความเร็วแค่นี้กลับเมืองฝูปิงละก็ กว่าจะถึงก็คงแก่จนผมหงอกกันพอดี
แต่การซ่อนตัวอยู่ใต้ดินแบบนี้กลับมองเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นดินได้ชัดแจ๋ว ทักษะนี้สิที่ร้ายกาจ แล้วทันใดนั้นในหัวของผมก็นึกภาพต้นขาของสาวๆ ขึ้นมา ถ้าหากซ่อนตัวอยู่ใต้ดินหน้าประตูเมืองฝูปิงแล้วมองภูตสาว ปีศาจสาวและมนุษย์สาวคนอื่นๆ ที่เดินผ่านมาละก็ ภาพชายกระโปรงที่พลิ้วไหวและทิวทัศน์สวยงามทั้งหลาย นี่มัน...นี่สิความเพลิดเพลินของแท้!
แล้วภายในเวลาเพียงไม่นาน ทักษะนี้ก็กลายเป็ทักษะเทพที่หนึ่งในใจของผมไปโดยปริยาย
ทว่าในตอนนั้นเองที่นักดาบิญญาซูหลุน อาจารย์ของผมมองลงมาที่ผมซึ่งอยู่ใต้ดินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ไอ้หนู ทำอะไรของแกน่ะ ทักษะมุดดินตื้นๆ แบบนั้นยังกล้าเอามาใช้ที่นี่อีกเหรอ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็ยกเลิกทักษะมุดดินไปทันที จากนั้นร่างที่กลายเป็เถาวัลย์สีเืก็รีบโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินแล้วจะหลอมรวมกลับเป็รูปร่างเดิมก่อนจะหยิบกระดูกนิ้วทั้ง 40 ชิ้นออกมา “อาจารย์ ผมได้นี่มาจากศัตรู แล้วผู้นำิญญาชิงหยู่ก็อยู่ในสุสานครับ”
ซูหลุนรับกระดูกนิ้วไปแล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นใ “เ้าชิงหยู่ไม่รู้จักรักตัวกลัวตายจริงๆ กล้าดีอย่างไรถึงเข้ามาในพื้นที่ของข้า ต้องสั่งสอนให้มันได้เห็นความร้ายกาจของปรมาจารย์วิชาดาบแห่งิญญารัตติกาลสักหน่อยแล้ว! โครงกระดูกน้อย เ้าไปกับข้า ข้าจะสอนบทเรียนให้เ้าว่าพลังที่แก่กล้านั้นเป็อย่างไร!”
“ครับอาจารย์ เชิญทางนี้เลย!” ผมพูดขึ้นด้วยความเลื่อมใสศรัทธาที่เปี่ยมล้น
ตลอดทางที่พาซูหลุนเข้ามาถึงส่วนลึกในสุสาน โครงกระดูกที่เกิดมาใหม่ระหว่างทางเกือบทั้งหมดก็ถูกซูหลุนจัดการไปหมดในพริบตา เขาใช้ดาบสองมือเล่มใหญ่ที่แกว่งเบาๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถตัดสังหารโครงกระดูกเหล็กเลเวล 22 ได้แล้ว ช่างดุเดือดจริงๆ!
......
แล้วไม่นานนักพวกเราก็มาถึงบริเวณรอบนอกสุสานโดยมีผู้นำิญญาชิงหยู่ยืนถือดาบยาวอยู่ที่ใจกลางสุสานอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นดังนั้นนักดาบิญญาซูหลุนซึ่งเป็อาจารย์ของผมก็ถือดาบเล่มใหญ่เดินไปที่รอบนอกของสุสาน ก่อนจะใช้สองมือเท้าสะโพกแล้วหันไปทางผู้นำิญญาชิงหยูก่อนจะตะคอกขึ้นมาเสียงดัง “ชิงหยู่ ไอ้ผู้ดีสถุล ออกมาสิวันนี้เป็วันตายของแก!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้