เพราะว่าชอบ ดังนั้นจึงต้องทำลาย แม้จะปวดร้าวใจมากก็ตาม
ด้วยนิสัยตัดสินใจอะไรเด็ดขาดแบบนี้ จะไม่นึกโอดครวญหรือไม่นึกเสียใจภายหลังบ้างเชียวหรือ...
โม่เสวี่ยถงรู้สึกเย็นเยือกจับจิต เป็ความหนาวที่แทรกซึมสู่เืเนื้อ จากปลายนิ้วมือนิ้วเท้าค่อยๆ ซอกซอนเข้าไปในแขนขาทั้งสี่จนถึงกระดูกที่ละท่อน...
ฉินอวี้เฟิงมิได้สังเกตถึงจุดนี้ เขาชอบภาพวาดนี้มาก ยอมทุ่มเทแรงใจไปมากมายกว่าจะได้มา เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยถงกล่าวเหมือนว่ายังอาจซ่อมได้ ไหนเลยจะไม่รู้สึกตื่นเต้น ชั่วขณะนั้นก็จับยึดแขนเสื้อของโม่เสวี่ยถงไว้อย่างลืมตัว ทันใดนั้นกลิ่นหอมจรุงใจก็ลอยมาเตะจมูก หัวใจที่ไม่อาจควบคุมสะดุดไปสองจังหวะ
รีบปล่อยมือจากแขนเสื้อของนาง มองใบหน้าเล็กจ้อยขาวกระจ่างตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด หลังจากถอยเว้นระยะออกมาสองก้าว ก็กล่าวขออภัยด้วยความรู้สึกละอายใจ “ต้องขออภัยน้องหญิงถงด้วย พี่ชายใจร้อนเกินไป อยากรู้ว่าเ้ามีวิธีการดีๆ อะไรที่สามารถซ่อมแซมภาพวาดนี้ได้ จึงลืมตัวเสียมารยาท ขอน้องหญิงอย่าได้ถือสา”
กล่าวจบก็ประสานมือคำนับ
“พี่ชายเฟิงกล่าวอะไรเช่นนั้น ข้ารู้ว่าพี่ชอบภาพนี้มาก ไม่สู้พวกเรามาพนันกันดีหรือไม่” ดวงตาเป็ประกายกลอกไปรอบหนึ่ง ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มใสซื่อ น่ารักน่าเอ็นดูไว้ได้ั้แ่ต้นจนจบ ทำให้คนเข้าใจว่านางเป็เพียงสาวน้อยไร้เดียงสาผู้อ่อนต่อโลกคนหนึ่งเท่านั้น
“พนันกัน?” ฉินอวี้เฟิงอึ้งงัน มองหน้าญาติผู้น้องตาค้างด้วยความงุนงง แม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนที่ไม่ยึดมั่นกฎเกณฑ์อะไรมากนัก แต่แท้ที่จริงแล้วเป็คนคิดมากและยังมีความคิดเป็ของตนเอง แม้แต่จะทักทายกับโม่เสวี่ยถงเขาก็ต้องตรองจนกระจ่างแล้วจึงลงมือทำ ยามนี้เมื่อถูกโม่เสวี่ยถงท้าทายในสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายจึงงงเป็ไก่ตาแตก
“ใช่เ้าค่ะ ไม่ทราบว่าพี่ชายเฟิงจะกล้าพนันกับข้าหรือไม่ ?” ทันใดนั้นโม่เสวี่ยถงก็ลุกขึ้น ดวงตาสีนิลส่องสว่างประหนึ่งดวงดาราคู่หนึ่งที่อยู่ท่ามกลางม่านฟ้าอันมืดมิด น้ำเสียงประดุจสายลมที่พัดผ่าน ดวงตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาปรายหางตามองมาที่ฉินอวี้เฟิง ท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าเขาไม่กล้าพนันกับตนเองแน่
ความน่ารักและขี้เล่นของนาง รวมถึงดวงตาสว่างเจิดจ้าคู่นั้นทำให้ชายหนุ่มไม่อาจละสายตาไปได้
“พี่ชายเฟิงกล้าหรือไม่?” เห็นฉินอวี้เฟิงไม่ตอบโม่เสวี่ยถงก็ยิ้มยั่วถามจี้อีกประโยค ดวงตาสุกใสเผยแววฉงนราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉินอวี้เฟิงจึงเงียบไป ริมฝีปากที่ทอยิ้มหม่นลงเล็กน้อย
ในที่สุดฉินอวี้เฟิงผู้สงบเยือกเย็น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเื่ที่ไม่มีความมั่นใจมาก่อนก็เงยหน้าขึ้นตกลงยอมรับคำท้า สายตาจับจ้องที่มุมปากของนางที่หยักโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มงดงามอีกครั้ง แล้วเอ่ยปากออกไปตามจิตใต้สำนึก “เอาสิ พี่พนันกับเ้าก็ได้ แต่จะเดิมพันอย่างไรเล่า?”
เขาผู้ซึ่งไม่เคยทำในสิ่งที่ตนเองไม่แน่ใจมาก่อน บัดนี้กลับยอมเล่นสนุกกับเด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่ง แววตาวูบไหว แม้ว่าจะกลับคืนสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับอยู่ในสายตาของโม่เสวี่ยถงเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มที่ริมฝีปากยิ่งทอประกายสดใสขึ้น ดวงตาพราวระยับงามประดุจหิมะน้ำแข็ง
“หากข้าแก้ไขภาพนี้ได้ พี่ชายเฟิงจะยอมยกภาพวาดนี้ให้ข้าได้หรือไม่” โม่เสวี่ยถงกลอกตา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “หากแก้ไขไม่ได้ ข้ายินดีมอบภาพวาดอื่นให้แทน ดีหรือไม่?”
แต่ไหนแต่ไรมาฉินอวี้เฟิงไม่ยอมทำศึกที่ไม่มั่นใจว่าจะชนะ ดังนั้นชาติก่อนเขาช่วยโม่เสวี่ยิ่วางอุบายใส่นาง ค่อยๆ รุกไล่ทีละก้าว ต้อนให้นางเดินเข้าไปในกับดักที่เขาวางไว้ด้วยตนเองโดยไม่รู้ตัว หลังจากกลับมามีชีวิตใหม่ โม่เสวี่ยถงคิดวิธีรับมือไว้มากมายเพื่อจัดการกับคู่ต่อสู้ในที่ลับที่น่ากลัวที่สุดผู้นี้ วิธีที่ดีที่สุดคือการสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างโม่เสวี่ยิ่กับฉินอวี้เฟิงให้ขาด
แต่นางเพิ่งมาเมืองหลวง ไม่รู้ว่ายามนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ดังนั้นจึงได้เพียงหยั่งเชิงทีละก้าวอย่างระมัดระวัง ภาพนี้เป็ก้าวแรกของนาง
ฉินอวี้เฟิงในยามนี้ทำให้นางรู้สึกฉงนสนเท่ห์ แต่บอกไม่ถูกว่าผิดปรกติตรงไหน สิ่งที่เขากระทำกับนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“หากน้องหญิงถงแก้ไขได้ ภาพนี้พี่ยกให้เลย แต่ถ้าไม่ได้ เ้าต้องให้พี่ชายเข้าไปเลือกรูปภาพถึงเรือนชิงเวยด้วยตนเองเลยนะ จำไว้...” ฉินอวี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้น ในดวงตามีความพึงพอใจวาบผ่านอย่างรวดเร็ว
เขาไม่เชื่อว่าเด็กสาวอายุสิบสามคนหนึ่งจะสามารถแก้ไขรูปภาพที่แม้แต่เขาเองก็ยังหมดปัญญา คิ้วงามเลิกสูง ลืมแม้กระทั่งการใคร่ครวญถึงเื้ั ตัดสินใจวางเดิมพันกับโม่เสวี่ยถงโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย เขารักภาพวาดนี้มากจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่หยิบออกมาบ้านผู้อื่นท่ามกลางสภาวะอากาศย่ำแย่ จนต้องมาติดอยู่ในศาลาเช่นนี้
จากแรกเริ่มที่ดูเหินห่าง เมื่อทั้งสองได้พูดคุยก็เริ่มสนิทสนมยิ้มหัวหยอกล้อกันโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มงดงามเฉิดฉันของสาวน้อยที่มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบคมปานน้ำแข็งหิมะ ฉินอวี้เฟิงก็หันไปมองท้องฟ้าด้วยจิตใต้สำนึก หิมะยังคงตกอยู่ ทว่าเบาบางลงกว่าเมื่อครู่มากแล้ว เหลือเพียงสะเก็ดเล็กๆ ที่ลอยละลิ่วลงมา ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไม่มีที่สิ้นสุด
“พี่ชายเฟิง ข้าต้องไปพบท่านพ่อแล้ว ภาพนี้ข้านำกลับไปเลยนะเ้าคะ อีกสองสามวันจะเอาออกมาให้พี่ชายช่วยประเมินผลงานได้แน่นอน” โม่เสวี่ยถงมองท้องฟ้า คิดว่าไป๋อี้เฮ่าน่าจะออกจากห้องหนังสือของบิดาไปแล้ว จึงม้วนภาพวาพเก็บให้เรียบร้อย มองฉินอวี้เฟิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้ เช่นนั้นพี่ชายจะรอคำเชิญจากถงเอ๋อร์นะ” ฉินอวี้เฟิงยิ้มตอบรับ เคารพให้เกียรติหรือจะสู้น้อมฟังคำสั่งได้ ทั้งยังค้อมเอวประสานมือคารวะต่อนาง ทำให้โม่เสวี่ยถงยิ่งผลิยิ้มงามพร่างพราย
นางกอดรูปภาพไว้แนบอกแล้วหมุนตัวกลับก้าวเท้าย่างลงไปบนหิมะ เกล็ดน้ำแข็งสีขาวละเอียดร่วงกราวลงมาที่หัวไหล่และเส้นผมสีดำสนิท ขับร่างระหงให้ดูประหนึ่งเทพธิดาจากแดนเซียนผู้ไกลห่างจากกลิ่นฟืนไฟของโลกมนุษย์
ทันใดนั้นโม่เสวี่ยถงที่กำลังเดินไปข้างหน้าก็หันศีรษะกลับมา สิ่งที่กั้นกลางอยู่คือหิมะสีขาวที่กำลังโปรยปราย ฉินอวี้เฟิงรู้สึกว่าดวงตาของนางละเมียดละไมประหนึ่งภาพวาด แววตากระจ่างสดใสไม่เ็าเหมือนตอนแรก ดูสว่างไสวเจิดจ้าเหมือนลูกไฟเล็กๆ ที่กำลังเริงระบำ นางหันมายิ้มให้เขาทีหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ชั่วพริบตานั้นคล้ายความสว่างเจิดจ้าที่อบอุ่นพลันเลือนหายไป ฉินอวี้เฟิงมุ่นหัวคิ้วขมวด รู้สึกว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ สาวน้อยผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาจะใช้สายตาเยี่ยงนั้นมองตนเองได้อย่างไร ชายหนุ่มจับจ้องเงาร่างเล็กที่เดินพลิ้วออกไป ดวงตาหรี่เล็กโดยไม่รู้ตัว แววยิ้มในดวงตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็คมกล้า
ที่หน้าประตูห้องหนังสือ โม่อวี้เฝ้ารออยู่นานแล้ว ทันทีที่เห็นโม่เสวี่ยถงเดินมา ก็รีบนำเสื้อคลุมกันหนาวที่ถืออยู่ เดินเข้ามาคลุมบนตัวนางพลางเอ่ยถาม “คุณหนู โม่เหอทำความผิดอันใดหรือเ้าคะ ตอนนี้คุกเข่าอยู่ในเรือน ถามนางก็ไม่ยอมพูดสักแอะ”
โม่อวี้ โม่เหอ โม่หลันล้วนเป็สาวใช้ประจำตัวของโม่เสวี่ยถงที่เติบโตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์เหนียวแน่นยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เมื่อเช้าโม่อวี้ได้รับแจ้งว่าอีกประเดี๋ยวคุณหนูจะกลับมา จึงเก็บกวาดทำความสะอาดรอไว้นานแล้ว ขณะที่กำลังขนข้าวของของคุณหนูเข้ามาในห้อง พลันเห็นโม่เหอหน้าซีดเดินเข้ามา บอกนางเพียงว่าตอนนี้คุณหนูอยู่ในห้องหนังสือของนายท่าน ให้นางไปปรนนิบัติรับใช้
“เ้าคิดว่าโม่เหอไม่น่าจะทำความผิดร้ายแรงใช่หรือไม่?” ลมหนาวกระพือเข้ามา อาภรณ์สีฟ้าของโม่เสวี่ยถงพลิ้วไหว หิมะตกหนักขึ้นอีก ปุยหนาแต่ดอกร่วงลงมาบนตัวนาง เกล็ดหิมะสีขาวทำให้อาภรณ์สีฟ้าดูเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งขับความกระจ่างใสให้ดวงหน้าที่งดงามประดุจหยก ทว่ารอยยิ้มที่ริมฝีปากกลับมีความเ็าอยู่บางๆ
จู่ๆ โม่อวี้ก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งหัวใจ ก้มศีรษะลงไม่กล้าจ้องใบหน้านิ่งเย็นของโม่เสวี่ยถง
“โม่อวี้... พวกเ้าติดตามข้ามาห้าหกปีแล้วกระมัง” โม่เสวี่ยถงยกมุมปากขึ้นบางๆ เรียวคิ้วกระดกขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น รอยยิ้มที่ริมฝีปากคืนกลับมาอบอุ่นอ่อนโยนดังเดิม นางมิได้หันไปมองโม่อวี้ เพียงแต่ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า มองหิมะขาวกระจ่างร่วงลงมาบนพื้นดิน
เดิมทีก็เป็สีเดียวกัน แต่กลับตกลงไปในสถานที่ที่แตกต่าง บ้างก็ยังคงความบริสุทธิ์สูงส่งไว้ได้ บ้างกลับตกลงไปบนดินเลนสกปรก บ้างก็เปลี่ยนจากเกล็ดสีขาวกลายเป็หยดน้ำ แต้มลงบนดอกเหมยที่ส่งกลิ่นหอมจรุงโชยผ่านมาสายหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะตกลงไปที่ใด ล้วนสุดแล้วแต่สายลมจะพัดพาไป ไม่อาจเลือกได้เอง จะบริสุทธิ์สูงส่งก็ดี จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนก็ดี หรือจะแปรเปลี่ยนเป็หยดน้ำบนกลีบบุปผาไปแล้วก็ตาม ใครเล่าจะคิดว่าพวกมันล้วนแล้วเคยเป็หิมะขาวบริสุทธิ์มาก่อน
“คุณหนู... พวกบ่าวอยู่กับคุณหนูมาหกปีแล้วเ้าค่ะ” โม่อวี้ยืนอยู่ด้านหลัง จึงมองไม่เห็นสีหน้าของโม่เสวี่ยถง แต่ฟังออกว่าน้ำเสียงนุ่มนวลของนางเจือไปด้วยความหนาวเหน็บและเศร้าสลดบางๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ยามที่พวกนางสองสามคนมาปรากฏตัวต่อหน้าคุณหนูสามซึ่งอายุเพียงเจ็ดปี ตอนนั้นโม่เหออายุน้อยที่สุด ยืนแอบอยู่หลังนาง คอยลอบมองคุณหนู ไม่กล้าเอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว เอาแต่เกาะชายเสื้อของตนเองไว้แน่น
นางเองก็ตื่นเต้น แอบมองแม่ตุ๊กตาน้อยแก้มแดงปลั่ง กะพริบตาปริบๆ ภาวนาในใจขอให้นางเลือกตนเองไว้ หากพวกนางไม่ถูกซื้อตัวก็ต้องถูกท่านยายพากลับ ทุกครั้งที่ถูกพากลับไปพวกนางก็ต้องถูกสั่งอดอาหารมื้อหนึ่ง ถูกด่าทออีกรอบ ยามที่ได้ยินว่าเด็กสาวตัวน้อยแก้มแดงผู้นั้นชี้เลือกพวกนางให้อยู่ที่นี่ หัวใจของโม่อวี้พลันะโโลดเต้น รีบจูงมือโม่เหอวิ่งไปคุกเข่าตรงหน้าคุณหนูทันที
นาง โม่เหอและโม่หลันก็ถูกทิ้งไว้ให้อยู่ข้างกายคุณหนูนับจากนั้นเป็ต้นมา
“หกปีแล้วหรือ นานมาก...” โม่เสวี่ยถงถอนใจเบาๆ หันไปมองโม่อวี้ที่ดูตื่นกลัวเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “โม่อวี้ พวกเ้าสามคนเคยคิดถึงหนทางภายหน้าของตนเองบ้างหรือไม่ คิดจะติดตามข้าตลอดไปหรือว่ามีความคิดอย่างอื่นอีก แต่ถึงเป็เช่นนั้นข้าก็ไม่โทษพวกเ้าหรอกนะ จะให้ท่านพ่อช่วยจัดการให้เป็อย่างดีด้วยซ้ำ พวกเ้าจะได้จากไปอย่างสุขสบาย ติดตามข้าไปก็มีแต่ทำให้พวกเ้าต้องเดือดร้อน”
“คุณหนูอย่าไล่บ่าวไปเลยนะเ้าคะ บ่าวรับใช้คุณหนูมาหลายปีขนาดนี้ ไม่อาจตัดใจทิ้งคุณหนูไปได้หรอกเ้าค่ะ” โม่อวี้คุกเข่าลงทันที กอดขาโม่เสวี่ยถงไว้แน่น เงยหน้าขึ้นโอดครวญอย่างร้อนใจ นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคุณหนูผู้อ่อนโยนเสมอมาจึงคิดขับไล่พวกนางอย่างโหดร้ายเช่นนี้
อย่าไล่พวกนางไปหรือ? หากโม่เหอยังมีนิสัยเช่นนี้อยู่ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของตนก็คงรักษาไว้ไม่ได้
เดิมทีนางนึกว่าโม่เหอแค่เป็คนบุ่มบ่ามมุทะลุ คิดไม่ถึงว่าวันนี้นางเคลิบเคลิ้มหลงใหลไป๋อี้เฮ่า จนไม่คำนึงถึงสถานะของตนเอง เหิมเกริมก่อเื่ขึ้นมา แม้แต่ผู้เป็นายเช่นนางก็ยังไม่สนใจ ต่อมาก็เกือบทะเลาะกับผู้อื่นหน้าประตูจวน ย่อมไม่มีใครคิดว่าสาวใช้คนหนึ่งจะมักใหญ่ใฝ่สูงอาจเอื้อมถึงไป๋อี้เฮ่า แต่จะเข้าใจว่านางออกรับแทนนายที่แอบหลงใหลในตัวบุรุษผู้นั้นต่างหาก ถึงขั้นทำตัวเยี่ยงสตรีร้ายกาจ ให้สาวใช้ทะเลาะเบาะแว้งกับนางกำนัลของไป๋อี้เฮ่า หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป ตนเองคงต้องใช้ความตายไถ่โทษ!
นี่อาจเป็สาเหตุที่พานางไปสู่ความตาย
ความคิดนี้ทำให้นางหวาดผวาจนตัวสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว หลับตาแน่น ถอนหายใจออกมาก่อนดึงตัวโม่อวี้ให้ลุกขึ้น
เสียงหัวเราะต่ำๆ มาพร้อมกับเสียงเท้าที่เดินมาอย่างสบายใจไร้ความทุกข์ร้อน ทั้งนุ่มนวลทั้งอ่อนโยน น้ำเสียงคล้ายหยอกล้อโม่เสวี่ยถงที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น “คุณหนูสาม กำลังชมหิมะพิโรธอยู่หรือ”
โม่เสวี่ยถงหยุดชะงักหันกลับไปมองทันที โม่อวี้รีบลุกขึ้นเองแล้วยืนอยู่หลังโม่เสวี่ยถงอย่างระมัดระวัง
ก็เห็นผู้ที่ยืนพิงอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกำลังจ้องมองนางอยู่ อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ จะเป็ใครไปได้นอกจากไป๋อี้เฮ่า
จิตใต้สำนึกสั่งให้นางถอยห่างออกไปสองก้าว ตั้งท่าระวังตัว คิ้วเรียวมุ่นขมวดเล็กน้อย แต่เมื่อย้อนคิดกลับไปจึงรู้สึกว่าตนเองหวาดกลัวจนเกินเหตุ ไม่ว่าต่อไปไป๋อี้เฮ่าจะเป็คนเช่นไร ยามนี้เขาเป็เพียงชายหนุ่มที่สุภาพอ่อนโยนผู้หนึ่ง มีนิสัยรักสันโดษ ยังมิใช่ผู้กระหายการเข่นฆ่าสังหาร
นางฉวยจังหวะที่เดินถอยหลัง ขบริมฝีปาก ปรับสีหน้าให้กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง ดวงตาเป็ประกายสดใสเหมือนน้ำพุที่สะอาดบริสุทธิ์ เอ่ยถามเพื่อเบี่ยงเบนหัวข้อที่เขาเอ่ยมา “คุณชายไป๋คุยธุระกับท่านพ่อเสร็จแล้วหรือเ้าคะ”
“ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อันใด แค่มาถามใต้เท้าโม่ว่ายินดีให้คุณหนูสามมาเรียนพิณกับข้าหรือไม่” ไป๋อี้เฮ่ามิได้รู้สึกขุ่นเคืองที่นางชวนคุยออกนอกเื่ มุมปากหยักขึ้นอย่างอดไม่ได้ แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมากลับทำให้โม่เสวี่ยถงตัวแข็งเป็หินในพริบตา
“เรียนพิณ?” ดวงตาของนางเบิกกว้าง ชั่วขณะนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อ้ำอึ้ง กล่าวออกไปได้เพียงประโยคเดียว
“ใช่แล้ว เรียนพิณ ใต้เท้าโม่เพิ่งจะตอบรับข้ามาเมื่อครู่ ทั้งกล่าวว่าคุณหนูสามชื่นชมเลื่อมใสข้ามานาน คิดอยากจะเรียนพิณด้วย หากข้าไม่มาถาม ใต้เท้าโม่ก็มีความคิดจะให้คุณหนูสามเรียนพิณกับข้าอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าใจร้อนไปนิด จึงล่วงเกินคนงามแล้ว”
หากไม่มองหน้าไป๋อี้เฮ่า คำพูดนี้ฟังดูเหมือนสมเหตุสมผลยิ่ง แต่เมื่อเห็นเขาสะบัดแขนเสื้อ ยืนพิงต้นไม้อย่างไม่อนาทรร้อนใจ โม่เสวี่ยถงกลับรู้สึกฉุนขึ้นมา
เรียนพิณ? นาง้าเรียนพิณั้แ่เมื่อไร แล้วที่ว่าเลื่อมใสในตัวเขาจึงอยากจะเรียนพิณด้วย มันเป็อย่างไรมาอย่างไร ดวงตากลมโตฉายแววขุ่นเคืองจ้องเขาที่คุยโวไปเรื่อยๆ อธิบายเป็ฉากๆ ในเื่ที่นางไม่เคยเกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่น้อย ั์ตาของนางวับวาวเอ่ยถามอย่างหัวเสีย “ข้าไม่ทราบเลยว่าตนเองเลื่อมใสศรัทธาในตัวคุณชาย ถึงขั้น้าเรียนพิณกับท่านั้แ่เมื่อไร”
ไป๋อี้เฮ่าถอนหายใจยาว ยื่นมือเข้ามาด้วยท่าทางสูงส่งสง่างาม โม่เสวี่ยถงไม่รู้ว่าเขา้าทำสิ่งใด ได้แต่ตะลึงมองมือเรียวยาวของเขาที่ค่อยๆ วางลงมาบนชุดคลุมสีน้ำเงินปักลายนกยูงของตนเอง แล้วปัดหิมะที่เกาะพราวอยู่บนเสื้อคลุมให้อย่างพิถีพิถัน เขาผู้พิสุทธิ์ปานหิมะ มือของเขายิ่งงดงามไร้ที่ติ บุรุษผู้หนึ่งไฉนจึงมีมือที่งดงามน่ามองยิ่งกว่าสตรีเช่นนี้หนอ...
เมื่อมองมือของเขาปัดอยู่บนอาภรณ์ของตน ใบหน้าเล็กจ้อยของโม่เสวี่ยถงก็แดงเถือกในฉับพลัน รีบถอยห่างออกไปอีกสองก้าว ถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห แพขนตายาวสั่นระริก “ไป๋อี้เฮ่า ท่าน...”
ผู้ที่บริสุทธิ์สูงส่งดังเมฆาบนฟ้ากว้าง ไฉนจึงทำเื่เสียมารยาทเช่นนี้
“ที่แท้ก็ชื่นชมถึงขั้นเรียกชื่อแล้วด้วย เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ ถงเอ๋อร์ บิดาของเ้ากำลังเรียกหาเ้าอยู่แหนะ” ไป๋อี้เฮ่ามองนางด้วยแววตาอ่อนโยนสว่างเจิดจ้า ชั่วเสี้ยวเวลานั้นให้ความรู้สึกนุ่มนวลเสมือนสายน้ำ “รีบไปเถิด ใต้เท้าโม่จะคุยกับเ้าเื่นี้แหละ”
กล่าวจบก็หมุนตัวเดินไปโดยไม่รอคำตอบจากนาง
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา หนทางทอดยาว เงาร่างของบุรุษในอาภรณ์ขาวกระจ่างดั่งหิมะค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้