“เฮ้ มองอะไรน่ะ!” ชายอ้วนในรถเห็นมีคนมาแอบมองก็หมดอารมณ์ขึ้นมาและหยุดการกระทำทุกอย่าง ก่อนจะยื่นหน้าออกมาะโใส่เนี่ยเซิงเสี่ยว “หรือเพราะว่าไม่มีผู้ชายมาทำไรแบบนี้ด้วยเลยอิจฉา?”
เนี่ยเซิงเสี่ยวอยากจะถีบประตูรถจริงๆ คนคนนี้ปากเสียเกินไปแล้ว
ความจริงแล้วเธอก็อดยอมรับไม่ได้ว่าผู้ชายของเธอ ไม่ได้อยู่กับเธอมาเจ็ดปีแล้ว ความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ถูกมองออกทำให้เธอเริ่มมีความกล้าขึ้นมาและตัดสินใจจะถีบประตูรถไปตามใจคิด
แต่เท้ายังไม่ทันเตะโดน ประตูรถของหมอนั่นก็มีเสียงดังปัง จากนั้นเนี่ยเซิงเสี่ยวก็มองตามต้นเสียงไปเจอเข้ากับขายาวๆ ที่เหมือนกับของเหยียนจิ่งจื้อ เลื่อนสายตาขึ้นมาอีกก็พบร่างกายที่เหมือนกันกับเขา จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่ใบหน้า
เธอรู้สึกว่าประตูรถของคนคนนั้นจะต้องถูกถีบจนบุบลงไปแน่ๆ
แต่มันก็ทำให้ความโกรธของเธอลดลงมาได้เยอะ
“เฮ้ คนสวย ผมว่าคุณหน้าคุ้นๆ นะ เราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า?” เหยียนจิ่งจื้อเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางสบายๆ ด้านหลังก็เป็คู่ชายหญิงรถสั่นที่โมโหจนหน้าบิดเบี้ยว
เนี่ยเซิงเสี่ยวยิ้ม “เคยเจอสิคะ ที่ใต้สะพานเมื่อชาติที่แล้วไง คุณลืมไปแล้วหรือ?”
“จะลืมได้ไงล่ะ” เหยียนจิ่งจื้อเดินเข้ามาโอบเธอไว้และพิงไปที่รถของตัวเอง ก่อนจะจับมือเธอไปลูบที่ป้ายทะเบียนรถ “เธอคิดว่าเธอเป็ต้าอวี่[1]หรือ? ถึงได้ผ่านบ้านไปสามครั้งแล้วไม่ยอมเข้ามาน่ะ [2]”
ตอนนั้นเขานั่งอยู่บนรถเฝ้ามองเธอที่มองป้ายทะเบียนรถทุกคันด้วยความขบขัน แถมยังเดินผ่านหน้าเขาไปถึงสามรอบ
เนี่ยเซิงเสี่ยวไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แล้วมองไปยังเขา ภายในความมืดยามค่ำคืน สายลมอ่อนๆ ผู้ชายของเธอจะมองอย่างไรก็หล่อ
“หล่อมากใช่ไหมล่ะ?” เหยียนจิ่งจื้อพูดเหมือนรู้ความคิดของเธอ
ไม่รู้ว่าไฟของรถใครสว่างขึ้นมาในตอนนั้น สลัดบรรยากาศดีๆ จนหายไปหมด เนี่ยเซิงเสี่ยวยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “หลงตัวเองมากเกินไปไม่ดีนะ”
คู่ชายหญิงรถเขย่าเหมือนจะแต่งตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวจะลงจากรถมาจัดการพวกเขา เนี่ยเซิงเสี่ยวจึงรีบจับมือของเขาแล้วพาเดินไปไกลๆ
แต่เหยียนจิ่งจื้อไม่ยอม อยากจะดึงเธอกลับมาแล้วให้คนพวกนั้นได้เห็นว่าอะไรถึงเรียกว่ารถสั่นที่แท้จริง ในตอนที่คู่นั้นทำอะไรกันบนรถ รถไม่ได้สั่นเท่าไรเลย
รองเท้าส้นสูงของเนี่ยเซิงเสี่ยวเหยียบลงไปที่เท้าของเขา ยังดีที่ยั้งแรงไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงเจ็บจนร้องไม่ออก “อย่าหาเื่น่า ฉันอยากไปเดินเล่น”
เหยียนจิ่งจื้อเองก็ไม่อยากหาเื่อะไรแล้ว สำหรับเขาแล้ว ได้เดินเล่นกับเธอในตอนนี้เป็เื่ที่ล้ำค่ามากกว่า จึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เขาที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอหนึ่งก้าว คอยมองเธอั้แ่เท้าขึ้นไป ั้แ่ส้นเท้ากลม เอวบอบบาง และทรงผมที่เซ็ตมาเพื่อเขา เหยียนจิ่งจื้ออดที่จะชมเธอออกไปไม่ได้ “สวยมาก”
เขาชมเธอไม่เคยขาดปาก
เนี่ยเซิงเสี่ยวหันหัวกลับมา “ชุดนี้สวยมากใช่ไหม?”
ในตอนนั้นเหยียนจิ่งจื้อถึงได้สังเกตเธออย่างจริงจัง ก่อนจะพูดข้อสรุปออกมา “สวยไปหมดทั้งตัว”
เนี่ยเซิงเสี่ยวลูบแก้มตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก แถมด้านข้างยังมีคู่รักคู่หนึ่งกำลังจูบกันพอดี ฝ่ายชายมองมาที่เหยียนจิ่งจื้ออย่างเหยียดหยาม “ไอ้บ้า สมัยนี้แล้วยังใช้วิธีแบบนี้มาเอาใจผู้หญิงอีกหรือ” แขวะที่เขาไม่รู้จักทำอะไรตรงๆ จากนั้นก็เดินผิวปากผ่านไป
เหยียนจิ่งจื้อมองแผ่นหลังคู่รักคู่นั้นไปก่อนจะพิงไปที่ราวสะพาน ไม่เดินต่อ จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศาไปมองฟ้า
เนี่ยเซิงเสี่ยวเองก็แพ้ให้เขาแล้ว เธอเดินกลับมายืนตรงหน้าเขา รอให้เขาพูดอะไรสักอย่าง
เหยียนจิ่งจื้อกอดเอวเธอ “โดนดูถูกซะแล้ว ทำยังไงดีล่ะ”
เนี่ยเซิงเสี่ยวก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยการเขย่งเท้าน้อยๆ ก่อนจะเริ่มจูบไปที่คางของเขา ใบหน้าสะอาดสะอ้านนั้นกลับมีเคราน้อยๆ ที่ทำให้ตัวเธอสั่นอย่างที่ไม่ได้เป็มานาน ไล่จูบลงไปที่มุมปาก ก่อนที่สุดท้ายจะถูกเขาทาบทับลงมาแนบสนิท
เริ่มต้นจากริมฝีปากที่ัักันก่อนจะลากไล้ไปยังไรฟัน พวกเขาเหมือนได้กลับไปคิดถึงสิ่งดีๆ ทั้งหมดของกันและกันอีกรอบ คนที่เดินผ่านไปมาต่างหัวเราะและพูดว่าจะต้องเป็คู่รักที่อยู่ใน่รักหวานแหววแน่ๆ
่รักหวานแหววของพวกเขาเหมือนจะมีมายาวนานมาก
เหยียนจิ่งจื้อกอดเนี่ยเซิงเสี่ยวที่เริ่มจะขาดอากาศหายใจ ก่อนจะพูด “เสี่ยวเสี่ยว เธอเหนื่อยหรือยัง ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ทั้งตัวของฉันมีพลังเต็มเปี่ยมเลยล่ะ”
เนี่ยเซิงเสี่ยวรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ผู้ชายของคนอื่นมักจะใช้เื่บางเื่มาแสดงความรับผิดชอบของตัวเอง แต่ทุกครั้งเขามักจะอุ้มเธอขึ้นพาดไหล่ หลังจากนั้นก็พูดว่า “มาดูกันว่าฉันมีความรับผิดชอบเท่าไหร่”
เหยียนจิ่งจื้อชอบออกกำลังกาย ไม่ไปปีนเขาก็จะไปว่ายน้ำ หรือไม่วิ่งก็ตีแบดมินตัน และมักจะพาเนี่ยเซิงเสี่ยวเดินั้แ่ถนนใหญ่ยันซอยเล็กๆ ไปด้วย
ซึ่งทุกครั้งเธอจะกุมหน้าและคิดว่าเป็งานอดิเรกที่บ้ามาก
แต่กลับกันแล้วเธอกลับชอบงานอดิเรกอันนี้ของเขาเป็พิเศษ
“แต่คืนนี้ฉันใส่กระโปรงมานะ” เนี่ยเซิงเสี่ยวบอกให้รู้ว่าเธอไม่สามารถทำได้
เหยียนจิ่งจื้อจ้องเธออยู่นานก็รู้สึกว่ากระโปรงตัวนี้ก็ไม่ได้น่ารักขนาดนั้นแล้ว
จู่ๆ เนี่ยเซิงเสี่ยวก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “เมื่อวานฉันเจอติงเจียลี่ด้วยล่ะ”
เหยียนจิ่งจื้อดึงเธอเข้ามาโอบก่อนจะเดินไปด้วยกัน เงาที่พาดลงไปที่พื้นก็เข้ามารวมตัวกันทันที เขาชี้ไปที่พื้นอย่างไม่คิดอะไรมาก “วันนี้ไม่คุยเื่ที่ไม่จำเป็”
เหมือนเธอจะได้กลิ่นที่เติบโตขึ้นไม่เหมือนกับเมื่อเจ็ดปีก่อนมาจากตัวเขา เนี่ยเซิงเสี่ยวเงยหน้ามองไฟที่อยู่ไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตา
เื่ราวทั้งหมดของพวกเขาก็เหมือนกับสายตาของเธอ ถ้ายังอยู่ในระดับความสามารถของเธอก็พอจะมองเห็น แต่ถ้ามันยุ่งยากจนเกินไป เธอก็ไม่อยากจะไปคิดถึงมันแล้ว
“พี่ชายคะ ซื้อดอกไม้ให้พี่สาวไหมคะ” บนสะพานแห่งความรักนี้มักจะมีเด็กหญิงมาขายดอกไม้อยู่สักคนสองคน
“ไม่ได้พกเงินมา” เหยียนจิ่งจื้อพูดความจริง เขาไม่มีนิสัยชอบพกเงินติดตัวสักเท่าไร บัตรอะไรก็อยู่บนรถทั้งหมด และถึงกระเป๋าตังอยู่บนตัวเขา ที่นี่ก็ไม่มีที่ให้เขารูดบัตรทองเสียด้วย
โรคใจอ่อนของเนี่ยเซิงเสี่ยวกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว เธอเห็นเด็กหญิงก็คิดไปถึงเหนี่ยวเหนี่ยว แต่โดยปกติแล้วถ้าได้รับการดูแลที่ดีหน่อยก็คงไม่ให้เด็กออกมาขายดอกไม้ดึกๆ แบบนี้ “ฉันมี”
ก่อนที่เธอจะหยิบกระเป๋าเงินออกมาก็หันไปถามเหยียนจิ่งจื้อ “เงินนี่นายจะคืนฉันไหม?”
เหยียนจิ่งจื้อไม่ได้พูดอะไรในตอนนั้น รอจนเธอซื้อดอกไม้เสร็จแล้วถึงก้มลงไปจูบเธอผ่านดอกไม้ “ใช้ตัวฉันจ่ายคืนได้ไหม อยากได้ฉันไหม?”
ในเื่นี้เขาจะพูดออกมาตรงๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น บางทีอาจจะรับวัฒนธรรมของต่างประเทศมามาก ครั้งนี้ก็ยิ่งตรงมากขึ้นไปอีก
เนี่ยเซิงเสี่ยวหน้ากระตุกแต่ในใจกลับสั่น ในเื่นี้เธอตรงกันข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง ทั้งขี้อาย ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างหน้าไม่อายแบบเขา เธอผลักเขาก่อนจะพูดว่า “จริงจังหน่อยสิ”
จะเดตกันดีๆ ได้ไหม
เหยียนจิ่งจื้อก้มหน้าไปหาเธอจนหน้าผากแตะกัน เป็การบอกว่าเขาไม่ยอมทำตามที่เธอพูด “ตอนนี้แม้แต่พระก็ยังกินเนื้อแล้ว และฉันก็ไม่ใช่พระด้วย”
จากนั้นเนี่ยเซิงเสี่ยวก็คิดอยากจะคุยเื่กินเนื้อนี้มากๆ เสียแล้ว “ถ้าอย่างนั้นพูดมา เวลาเจ็ดปีที่จำฉันไม่ได้ นายกินเนื้อไปเท่าไหร่แล้ว”
เหยียนจิ่งจื้อหัวเราะออกมาจนตัวสั่น ยังไม่ทันได้ตอบก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังมาไม่ไกล จากนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้น
จินเป้ยน่าปรากฏตัวอยู่ในระยะสามเมตรที่ระดับสายตาของพวกเขาสามารถมองเห็นได้
เหยียนจิ่งจื้อมองหน้าเธอ เนี่ยเซิงเสี่ยวทำได้แค่เบือนหน้าหนี ในตอนที่กำลังทำตัวใกล้ชิดกันแล้วมาเจอกับจินเป้ยน่า มันจึงทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่หน่อยๆ
เหยียนจิ่งจื้อเมื่อถูกรบกวนการจู๋จี๋ก็แสดงออกมาให้เห็นชัดเลยว่าเขาไม่พอใจ “ผู้ช่วยจิน ผมเคยพูดไปแล้วไม่ใช่หรือว่าคืนนี้ผมมีธุระส่วนตัวน่ะ”
“แต่ว่าท่านประธานคะ ตอนนี้คุณท่านมานั่งอยู่ในบ้านของคุณ แถมยังตามหาคุณไปทั่วเลยค่ะ”
….
เกิดความเงียบขึ้นมาในทันที คุณท่านที่ออกมาจากปากของจินเป้ยน่ามีเพียงแค่คนเดียวคือ เหยียนจวิ้น
เนี่ยเซิงเสี่ยวผลักเหยียนจิ่งจื้อออก แล้วแยกออกมายืนอยู่ด้านข้าง ใน่เวลาที่เธอกับเหยียนจิ่งจื้อกำลังมีความสุขอยู่ก็ลืมว่าต้องแก้ปัญหาไปเลย
“ฉันจะให้คนไปส่งเธอที่บ้าน” เหยียนจิ่งจื้อจูบลงไปที่หน้าผากเธอ “ขอโทษนะ ให้เวลาฉันหน่อย”
เนี่ยเซิงเสี่ยวพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วมองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ถ้าหากเป็เมื่อก่อนเขาคงจะวางแผนพาเธอออกมา จากนั้นก็ถามว่า “เธอคิดว่าแบบนี้พอจะได้ไหม?” หรืออาจจะพูดเสริมออกมาอย่างซุกซนว่า “มีปัญหาหรือ? ห้ามแย้งนะ”
แต่ว่าตอนนี้เธอเหมือนกำลังมองสิ่งหนึ่งที่จากเธอไปนานหลายปี เริ่มจะหนักแน่นขึ้นและไม่ยอมเปิดเผยสิ่งที่คิดออกมา จนเธอรู้สึกเป็กังวล
เหยียนจิ่งจื้อขับรถไปจนถึงหน้าบ้าน ตอนที่ลงจากรถก็มีคนเข้ามาช่วยเปิดประตูให้เขา ซึ่งนั่นก็คือคนดูแลข้างกายของเหยียนจวิ้น พร้อมส่งรอยยิ้มเป็มิตรที่ดูจอมปลอมมาให้ “คุณชาย คุณท่านรอคุณนานมากแล้วครับ”
เหยียนจิ่งจื้อไม่ได้สนใจเขา เชิดหน้านิ่งมองชายแก่ในชุดกันลมสีเงินที่ยืนขวางตรงหน้าประตูนิ่ง
[1] 大禹 เป็จักรพรรดิองค์หนึ่งของจีน
[2] 三过家门而不入 เป็เื่เล่ากันว่า ต้าอวี่แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง หลังจากแต่งงานได้ไม่นานก็ออกมาจากบ้าน ครั้งแรกที่เดินผ่านบ้านเขาก็ได้ยินเสียงร้องของเมียเขาที่กำลังจะคลอดลูกและเสียงของเด็กร้อง แต่ในตอนนั้นเขากลัวว่าจะเสียเวลางานจึงไม่ได้เข้าบ้าน ครั้งสองที่ผ่านบ้านเป็ตอนที่เมียของเขาพาลูกออกมาโบกมือทักทาย แต่ตอนนั้นงานเขายุ่งจึงแค่โบกมือและเดินผ่านไป ครั้งที่สามตอนที่ผ่านหน้าบ้าน ลูกเขาอายุได้สิบขวบ วิ่งเข้ามาขอให้เขาเข้าไปในบ้าน เขาจึงลูบหัวลูกชายแล้วบอกว่าน้ำไม่ยอมสงบลงง่ายๆ เขาจะต้องดูแลควบคุมน้ำ ไม่มีเวลากลับบ้านและจากไปโดยไม่ได้เข้ามาในบ้าน