บทที่ 56 เสี่ยวไป๋ฟื้นแล้ว
เมื่อชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาพูด ในที่สุดกู่เทียนก็ยื้อเย่จื่อเฉินเอาไว้ได้
แต่ภายในใจของเขา ก็ยังมั่นใจว่าสาเหตุที่เย่จื่อเฉินโกรธเมื่อครู่นี้เป็เพราะเขาไปพูดประจบ แต่มันก็คือเื่จริง
“สรุปว่านายอยากคุยอะไรกับฉันกันแน่?”
เย่จื่อเฉินนั่งพิงพนักเก้าอี้ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย
ส่วนข้างบนหัวของกู่เทียน หลิวฉิงกำลังลอยอยู่พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาไม่หยุด ซึ่งความจริงแล้วเย่จื่อเฉินคือตัวต้นคิด
ถ้าปล่อยให้เ้านี่พูดไปเรื่อย จะทำให้เขายิ่งแย่ลงไปอีก
“คือว่า…ช่วยบอกให้คนสวยที่อยู่บนหัวผมเลิกซนได้ไหม?”
…
ไม่ว่าจะเป็เย่จื่อเฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หรือว่าหลิวฉิงที่กำลังลอยอยู่ต่างก็อึ้งไป
“นาย…”
เย่จื่อเฉินจ้องเขาเขม็ง กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วไม่พูดอะไร กู่เทียนเลิกคิ้วยิ้มแล้วไหวไหล่พูด
“คุณชายเย่ เราเป็พวกเดียวกัน”
หลังจากส่งสายตาให้หลิวฉิงเป็เชิงบอกให้เธอกลับเข้าไปในเนตรัของตัวเองแล้ว เย่จื่อเฉินจึงได้เลียริมฝีปากที่แห้งผาก ความแปลกใจปรากฏขึ้นในดวงตา
“นายมองเห็นเธอเหรอ?”
“ใช่ครับ แล้วผมก็ยังรู้อีกด้วยว่าเธอเป็ิญญาผีสาวที่ยังไม่สิ้นอายุขัย” รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นที่มุมปากของกู่เทียน แล้วจึงพูด “คุณชายเย่สามารถอยู่ใกล้เธอได้ขนาดนี้ แถมยังมีของวิเศษที่สามารถเก็บเธอเอาไว้ได้ แบบนี้คุณชายเย่ยังจะบอกว่าเราไม่ใช่พวกเดียวกันอยู่อีกไหม?”
เย่จื่อเฉินเงียบไป
ดูท่าว่าเ้าเด็กไอคิวต่ำคนนี้จะมองว่าเขาเป็คนกันเองแล้ว หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่สักพัก เย่จื่อเฉินจึงได้เปิดปากพูด
“โอเค เรามันพวกเดียวกันจริงๆ นั่นแหละ ว่าแต่ที่นายมาหาฉันนี่้าอะไรกันแน่?”
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกครับ” กู่เทียนจับเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มไปหนึ่งอึกแล้วจึงพูด “ครั้งนั้นตอนที่คุณชายเย่อยู่ที่ร้านบาร์บีคิว ผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย”
“ฟู่เฉิงิส่งมาเหรอ?”
เมื่อนึกถึงร้านบาร์บีคิว ตอนนั้นสถานการณ์ก็กำลังร้ายแรงอยู่จริงๆ แต่กู่เทียนไม่เหมือนคนประเภทที่ต้องเลียแข้งเลียขาเพื่อผูกมิตร
“เขาให้นายมาหาฉันทำไม อยากกำจัดฉันงั้นเหรอ?”
กู่เทียนเลิกคิ้วขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าเย่จื่อเฉินจะสามารถมองได้ขาดว่าฟู่เฉิงิเคยมาหาเขาจากคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ
ซึ่งมันทำให้เขายิ่งแน่ใจกับความคิดที่จะทำความรู้จักกับเย่จื่อเฉิน
“ฟู่เฉิงิเคยมาหาผมจริง แต่หลังจากที่เห็นคุณในร้านบาร์บีคิว ผมก็ถอนตัว”
"แล้วนายมาหาฉันทำไม?”
“ก็แค่อยากทำความรู้จักสักหน่อย อยากเป็เพื่อนด้วย”
“ฉันไม่อยากเป็เพื่อนกับนาย”
เย่จื่อเฉินมองค้อนกู่เทียน แล้วจะเดินออกไปนอกร้านอาหาร
กู่เทียนรีบก้าวเท้าตามไป แล้วพูด “ทำไมล่ะ? หรือว่ามีตรงไหนที่ผมทำให้คุณชายเย่ไม่พอใจ?”
“คนแก่ที่ไปหาฉันที่มหาลัยวันนั้นเป็คนของนายสินะ?”
“ใช่ครับ”
“ตอนนั้นเขาคุกคามคนในครอบครัวของฉัน ฉันเกลียดคนที่คุกคามครอบครัวของฉันที่สุด”
“ไม่ได้มีเจตนาร้ายแน่นอนครับ” กู่เทียนยิ้มฝืนแล้วอธิบาย “ผมไม่ได้จะคุกคามคนในครอบครัวของคุณชายเย่เลยด้วยซ้ำ”
“อ้อเหรอ แต่ฉันก็ไม่อยากเป็เพื่อนกับนายอยู่ดี”
“ทำไมละครับ?”
“คิดเอาเอง”
ทิ้งไว้เพียงคำพูดเดียว เย่จื่อเฉินก็เอาโทรศัพท์ออกมาดูเวลา ก่อนจะหายเข้าไปในฝูงชนของห้างสรรพสินค้า
ของขวัญวันเกิดของเถียนเถียนยังไม่ได้ซื้อเลย เขาจะเอาเวลาไปสนใจคนไอคิวติดลบแบบนี้ได้ยังไง
กู่เทียนยืนคิดอยู่กับที่ตั้งนาน คิดไปคิดมา…
เขาก็คิดไปถึงเซี่ยเขอเข่ออีกแล้ว
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ว กู่เทียนก็หันไปพูดใส่โทรศัพท์
“ช่วยฉันหาข้อมูลใครคนหนึ่งหน่อย”
ได้ตุ๊กตาบาร์บี้กลับบ้านมาหนึ่งตัว เย่หรงตกอยู่ในอาการอ้ำอึ้งเมื่อเห็นตุ๊กตาบาร์บี้ในมือเย่จื่อเฉิน
“จื่อเฉิน ลูกชอบของแบบนี้ด้วยเหรอ?”
ตุ๊กตาบาร์บี้คือของขวัญวันเกิดที่เย่จื่อเฉินเลือกให้เถียนเถียนจากห้างสรรพสินค้า เขากลัวว่าคนในหอจะคิดเป็อื่น จึงได้เอาตุ๊กตามาที่บ้านด้วย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่แม่แท้ๆ ของเขาเองยังไม่เชื่อในตัวเขาเลย
“อันนี้ให้คนอื่นครับ”
เย่หรงได้ยินคำอธิบายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เย่จื่อเฉินแอบถอนหายใจคนเดียวอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยถาม
“เสี่ยวไป๋ตื่นแล้วเหรอครับ?”
“ยังเลย ยังหลับอยู่เลย”
ดวงตาของเย่หรงฉายแววกังวลออกมา หลายวันมานี้เสี่ยวไป๋อยู่กับเธอตลอด บวกกับเสี่ยวไป๋นั้นเป็หมาที่ฉลาดเธอจึงผูกพันและรักมันมาก
่นี้อาการของเสี่ยวไป๋ทำให้เธอค่อนข้างเป็กังวล
“ผมจะไปดูมันหน่อย”
เย่จื่อเฉินตอบกลับไปหนึ่งประโยคแล้วก็เดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน เย่หรงเพียงพยักหน้า
“อีกเดี๋ยวไม่ต้องกลับหอแล้วนะลูก เย็นนี้แม่ทำหมูน้ำแดงไว้ให้ด้วย”
“ครับ”
หลังจากที่รับเย่หรงมาอยู่ที่นี่ เวลาที่เย่จื่อเฉินจะได้อยู่กับเธอยิ่งน้อยลงไปอีก พอเห็นสีหน้าที่เฝ้ารอคอยของแม่ เขาก็ปฏิเสธไม่ลง
เมื่อได้ยินคำตอบยืนยันของเย่จื่อเฉิน เย่หรงก็ยิ้มออกมาทันที จากนั้นก็รีบสาวเท้าเดินออกไปนอกบ้าน
เสี่ยวไป๋ยังคงหลับสนิทอยู่บนฟูกเล็กๆ ของมัน นานขนาดนี้แล้วยังไม่ลุกอีกจนแม้แต่เย่จื่อเฉินก็ยังเป็ห่วง
หลังจากที่นั่งลงบนโซฟาพร้อมมองดูเสี่ยวไป๋อีกครั้ง เย่จื่อเฉินจึงเรียกหลิวฉิงออกมา
“ปลอดภัยแล้วเหรอ?”
หลิวฉิงแอบโผล่หัวออกมามองไปรอบๆ หลังจากที่เห็นว่าเป็บ้านของเย่จื่อเฉิน เธอถึงได้ลอยออกมาอย่างสบายใจ
“เด็กนั่นบอกว่าเขาชื่อกู่เทียน ใช่คนที่มาจากที่เดียวกันกับคุณตากู่คนนั้นที่เธอรู้จักหรือเปล่า?”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง แต่ในเมื่อเขามองเห็นฉันแถมยังใช้แซ่กู่ ก็น่าจะเป็คนในครอบครัวเดียวกันแหละมั้ง”
หลิวฉิงหันไปเบ้ปากใส่เย่จื่อเฉิน แล้วจึงลอยไปลอยมาอยู่ในบ้าน
เย่จื่อเฉินปล่อยให้เธอลอยไปลอยมาภายในบ้าน แล้วค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด
ตอนนี้มีคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติปรากฏขึ้นมาในชีวิตของเขาแล้ว มีความเป็ไปได้มากว่ากู่เทียนอาจจะเป็คนที่ผู้การหลิวและคนอื่นอีกหลายคนเคยพูดถึง…
คนที่มาจากที่นั่น
ไม่ทันไรก็ได้ติดต่อกับคนที่อยู่ที่นั่นแล้ว และไม่รู้เลยว่ามันเป็เื่ดีหรือไม่ดี
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าคิดมาทำลายหลิวฉิงก็แล้วกัน
ในคำพูดของกู่เทียนตอนนี้มีเบาะแสสำคัญหลายอย่างหลุดออกมา
เขาบอกว่าหลิวฉิงเป็ิญญาผีสาวบริสุทธิ์ แถมยังพูดอีกด้วยว่ายังไม่สิ้นอายุขัย
ในคำพูดนี้มันจะต้องมีปัญหาอะไรอยู่แน่ๆ
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่จงใจพูดถึงสองอย่างนี้ แค่พูดว่าเอาิญญาผีสาวมาด้วยก็พอแล้ว
ในขณะที่เย่จื่อเฉินกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พลังงานมหาศาลก็ปรากฏขึ้นมาภายในบ้าน
พอเย่จื่อเฉินลืมตาขึ้น ก็เห็นเสี่ยวไป๋ที่นอนอยู่บนฟูกอันเล็กที่ตอนนี้ขนทั้งตัวของมันลุกพรึบขึ้นมา
หลิวฉิงก็รู้สึกถึงความประหลาดจนลอยเข้าไปดูเสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้างล่าง
“เสี่ยวไป๋เป็อะไร?”
“เธอถามฉัน แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง?”
เย่จื่อเฉินทำหน้าตาย ถ้าเขาไม่มีแชทกลุ่มนั้น เขาก็ยังเป็แค่คนธรรมดาเท่านั้นแหละ
ปัญหาใหญ่แบบนี้ เขาจะไปรู้ได้ยังไง
“ฮ่า สบายเป็บ้าเลย”
เสี่ยวไป๋ยังคงอยู่ในร่างของหมาพุดเดิ้ล แต่ที่ทำให้ตกตะลึงก็คือ…
มันพูดได้
“เสี่ยวไป๋!”
เย่จื่อเฉินไม่สามารถซ่อนอาการใของตัวเองได้ เขาเบิกตาโตแล้วะโเรียกเสี่ยวไป๋
“อ้าว เ้านาย”
เสี่ยวไป๋สะบัดหางแล้วะโออกมาจากที่นอนด้วยสีหน้าที่สรรเสริญเยินยอ
“เ้านาย ต่อไปนี้ท่านคือพ่อของข้า ท่านให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำ”
ให้ตายสิ หมาพูดได้…
นี่ถ้าถ่ายเป็คลิปสั้นๆ แล้วอัพลงเว่ยป๋อ ไม่กี่นาทีต้องติดเทรนด์เว่ยป๋อแน่
แต่คำว่าพ่อของเสี่ยวไป๋ทำให้เย่จื่อเฉินหน้าบึ้งตึง ก่อนจะยกมือขึ้นตบหัวมันแล้วด่า
“ใครเป็พ่อแก! ฉันไม่มีลูกชายเป็หมาอย่างแกหรอกนะ อย่าพูดมาก ได้กินอาหารของสุนัข์แล้ว แกน่าจะพัฒนาขึ้นแล้วใช่ไหม”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” เสี่ยวไป๋ยกหัวเล็กๆ นั้นขึ้นอย่างเย่อหยิ่งอวดดี แต่ที่ได้รับกลับมาก็คือฝ่ามือทั้งห้านิ้วของเย่จื่อเฉินอีกครั้ง
“อย่ามาโม้! บอกมา เรียนรู้ทักษะอะไรมาบ้าง”